ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 29 เรื่องราวของกระบี่และเหล่าเด็กซน
ในสวนโจว หมื่นกระบี่ทะยานสู่ฟ้า ช่วยเฉินฉางเซิงจัดการกับมหาวิหคปีกทอง ทำลายแผนการร้ายของคนชุดดำ เป็นเพราะพวกมันอยากจะออกจากทุ่งหญ้าที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินเลยผืนนั้น และกลับคืนสู่แผ่นดินเกิด
เฉินฉางเซิงรับปากกับกระบี่เหล่านี้ แน่นอนว่าไม่มีทางกลับคำ ดังนั้นหลังจากที่กลับจิงตู ต่อให้เสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังนำเรื่องสระกระบี่มาบอกกับใต้เท้าสังฆราชเป็นเรื่องแรก
ข้อมูลนี้ในตอนแรกยังไม่ได้แผ่ออกไปในหมู่ชาวบ้าน แต่หลังจากที่พระราชวังหลีได้แจ้งให้กับแต่ละที่ในดินแดนต้าลู่แล้ว ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ตอนเช้าของวันนี้ที่เฉินฉางเซิงข้ามขั้นเอาชนะโจวทงที่ อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว ก็ยิ่งทำให้คนจำนวนมากเริ่มสงสัย นอกจากกระบี่มีชื่อเหล่านั้นแล้ว เขาได้พบกับสิ่งอื่นที่สระกระบี่อีกหรือไม่ ไม่เช่นนั้นลำพังเพียงการชี้แนะของซูหลี ไหนเลยที่เพลงกระบี่ของเขาจะก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
เฉินฉางเซิงไม่สนใจว่าข่าวเรื่องการปรากฏของสระกระบี่ออกสู่โลกจะทำให้ดินแดนต้าลู่ต้องสั่นสะเทือนมากมายขนาดไหน และก็ไม่ได้สนใจว่าสายตาที่คนอื่นมองมายังเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เขารู้สึกเพียงแค่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะน่ารำคาญอยู่บ้าง
เมื่อคืนวานพระราชวังหลีได้ส่งรายชื่อที่ยาวมากๆ มาให้เขาชุดหนึ่ง สำนักและพรรคมากมายได้แสดงความขอบคุณต่อพระราชวังหลีไปจนถึงเฉินฉางเซิงอย่างจริงใจ ในเวลาเดียวกันก็แนบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขอร้องให้ทางพระราชวังหลีมอบกระบี่ของบรรพจารย์คืนให้กับพวกเขา ใบรายชื่อชุดนี้มีความยาวอย่างมาก ที่อยู่อันดับแรกสุดคือกระบี่จำศีลของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย ถัดมายังมีศาสตราเทพที่เคยมีชื่อเสียงมากมาย เฉินฉางเซิงอ้างอิงจากใบรายชื่อ และนำกระบี่ที่อยู่ในฝักมาจัดเรียงใหม่รอบหนึ่ง จึงพบว่าถึงแม้ใบรายชื่อจะยาวมาก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนกระบี่มีชื่อในสระกระบี่แล้ว ยังคงเป็นเพียงแค่ส่วนที่เล็กน้อยมากๆ จากเรื่องนี้สามารถเห็นได้ว่า พรรคและผู้แข็งแกร่งที่เคยมีชื่อสะท้านต้าลู่ในตอนนั้น ในตอนนี้ที่ยังสามารถหาผู้สืบทอดที่อยู่บนโลกได้อยู่ ก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
เมื่อใช้สายตาของประวัติศาสตร์มองดูเรื่องนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าจะรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ทำให้ง่ายต่อการที่จะทำให้คนรู้สึกปลงอนิจจังต่อโลกที่ไม่เที่ยงนี้ แต่สำหรับเขากับสำนักฝึกหลวงแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดี…บรรดากระบี่มีชื่อที่ตามเขาออกมาจากสวนโจว อย่างน้อยก็ยังมีถึงเจ็ดพันกว่าเล่มที่ไม่อาจจะหาสำนักพรรคที่เคยอยู่ได้ พูดอีกอย่างคือ ในตอนนี้เขาก็คือเจ้านายของกระบี่เหล่านี้
เสียงกระทบกันที่ชัดเจนพลันดังขึ้น กระบี่เก่าเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยแผลปรากฏขึ้นบนพื้นของหอตำรา
ที่ตามมาติดๆ คือเสียงโลหะที่กระทบกันซึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจนและไม่ขาดสาย เวลาเพียงไม่กี่นาที ภายในหอตำราที่เดิมทีมีที่ว่างกว้างขวาง ก็เต็มไปด้วยกระบี่มีชื่อหลากหลายประเภทกองกันอยู่ กระบี่เหล่านั้นถึงกับมีจำนวนมากมายขนาดนี้ เมื่อมารวมไว้ด้วยกันก็หนักถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้พื้นของหอตำราถูกทับจนทรุดลงไป และรู้สึกว่าแทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว
เจ๋อซิ่วลืมตาขึ้น มองไป หลังจากนั้นก็ไม่อาจจะหลับตาลงได้อีก
ภายใต้แสงไฟที่มืดสลัว ภายในหอตำรามีกองภูเขากระบี่ลูกย่อมๆ ปรากฏขึ้นมา
เขาเพียงแค่อยากได้กระบี่ในสระกระบี่เล่มเดียว เฉินฉางเซิงกลับนำสระกระบี่ย้ายกลับมาทั้งสระ
ถังซานสือลิ่วมองภูเขากระบี่ลูกนั้น และกลับไปมองเฉินฉางเซิง สุดท้ายก็มองกลับไปที่ภูเขากระบี่ลูกนั้นอีก เขาอ้าปากค้าง ครู่หนึ่งแล้วก็ยังไม่อาจจะหุบลงไปได้
เขาเคยได้ยินเฉินฉางเซิงเล่าว่าได้พบสระกระบี่ในสวนโจว รวมถึงเรื่องที่ร่วมมือกับหมื่นกระบี่เผชิญหน้ากับศัตรู แต่เมื่อได้เห็นกระบี่เหล่านี้เข้าจริงๆ นั่นก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ถึงจะเป็นตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยที่ถูกเรียกว่าร่ำรวยสุดในแผ่นดิน ก็ไม่อาจจะได้เห็นภาพเช่นนี้
เขารู้สึกอย่างกะทันหัน ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะสูญเสียสมบัติและเงินทองมากมายไปในสวนโจว แต่การค้าครั้งนี้ก็ถือว่าได้กำไรอย่างมากแล้ว
เซวียนหยวนผ้อได้ยินเสียงเข้า ก็เลยมายังหอตำรา ในมือยังถือผ้าสำหรับล้างจานที่แสนสกปรกมาผืนหนึ่ง
เสียงของหล่นดังขึ้น ผ้าล้างจานที่ใหญ่กว่าผ้ากันเปื้อนตามปกติผืนนั้นหล่นลงสู่พื้น ทำให้มีน้ำกระเด็นมาส่วนหนึ่ง
เฉินฉางเซิงมองไปแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เคยบอกหลายครั้งแล้ว ว่าผ้าสำหรับล้างจานต้องเปลี่ยนบ่อยๆ”
เซวียนหยวนผ้อในตอนนี้ไหนเลยจะได้ยินว่าเขากำลังพูดว่าอะไร ตัวเขาก็เหมือนกับหมีน้อยที่ปีนขึ้นต้นไม้ไม่ปาน คำรามและก็พุ่งตรงเข้าไปที่ภูเขากระบี่กองนั้น
ภูเขากระบี่ไม่ได้ถูกร่างกายที่ใหญ่โตของเขาชนเข้า เพราะว่าเขานึกขึ้นได้อย่างกะทันหันว่านี่เป็นของของเฉินฉางเซิง ในนาทีสุดท้ายจึงได้หยุดเท้าลง เขาหันหน้าไปมองเฉินฉางเซิง และก็ไม่ได้พูดอะไร ในดวงตารื้นด้วยน้ำตา มองดูแล้วช่างน่าสงสารนัก
“เจ้าอยากได้หรือ” เฉินฉางเซิงถามขึ้น
เซวียนหยวนผ้อพยักหน้าอย่างแรง เพราะว่ารวดเร็วอย่างมาก อีกทั้งศีรษะของเขาก็ใหญ่มาก ถึงขนาดที่ในหอตำราตอนกลางคืน ถึงกับมีลมพัดขึ้นมา
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เจ้าเลือกเอาเองเลย”
เซวียนหยวนผ้อดีใจจนส่งเสียงร้องขึ้นมา เขายื่นมือเข้าไปจับด้ามกระบี่เล่มหนึ่งในกอง หลังจากนั้นก็ออกแรงขึ้นออกมา
เสียงโลหะกระทบกัน ดังสะท้อนอยู่ในหอตำราที่เงียบสงบ
นั่นเป็นกระบี่เหล็กที่ดำทมิฬทั้งตัวเล่ม ไม่มีคม และใหญ่โตอย่างมาก มองดูแล้วเหมือนกับพลองเหล็กแท่งหนึ่งมากกว่า
เซวียนหยวนผ้อชะงัก เขาพบว่าน้ำหนักของกระบี่เหล็กเล่มนี้กับความรู้สึกเหมาะมือนั้นเหมาะกับกำลังของตนอย่างมาก กระทั่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเดิมทีกระบี่เล่มนี้ก็ควรจะมอบให้กับตน
ไม่พูดไม่ได้ว่า ระหว่างกระบี่กับคนใช้มีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างที่ยากจะอธิบาย บางทีอาจพูดได้ว่าเป็นพรหมลิขิต ก็เหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้าที่ห่างไกลเหล่านั้นที่มีสายสัมพันธ์ของโชคชะตาที่ไม่มีคนมองเห็นก็มิปาน
เซวียนหยวนผ้อเลือกส่งๆ ก็หยิบได้กระบี่เล่มนี้ซึ่งเป็นกระบี่เหล็กดำ มันหนักดั่งขุนเขา อานุภาพดั่งมหาสมุทร มีชื่อว่ากระบี่มหาสมุทรขุนเขา
อดีตเจ้าของกระบี่เล่มนี้ ก็คือผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งที่ชื่อซีเค่อ พูดกันว่าผู้แข็งแกร่งผู้นี้มีสายเลือดของตระกูลจักรพรรดิขาว ในชีวิตไม่เคยฝ่ายแพ้มาก่อน จนกระทั่งได้ฝ่ายแพ้ให้กับโจวตู๋ฟูภายในสวนโจว สุดท้ายก็ตายภายใต้คนไร้ชื่อผู้หนึ่ง
เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะคิดไม่ถึง ว่าเซวียนหยวนผ้อจะหยิบกระบี่เล่มนี้
กระบี่มหาสมุทรขุนเขาเป็นหนึ่งในกระบี่ที่ยังสมบูรณ์ที่สุดในสระกระบี่ เป็นรองเพียงกระบี่จำศีล อีกทั้งเพราะว่าซีเค่อมีข่าวลือว่ามีสายเลือดของจักรพรรดิขาว ดังนั้นหลังจากที่พระราชวังหลียืนยันได้แล้วว่าซีเค่อไม่มีผู้สืบทอด เดิมทีเขาก็คิดเอาไว้แล้ว ว่าจะมอบกระบี่มหาสมุทรขุนเขาให้กับลั่วลั่ว แต่ในตอนนี้ได้เห็นเซวียนหยวนผ้อที่ดีอกดีใจ และนึกถึงภาพว่าลั่วลั่วที่เป็นสาวน้อยหน้าตางดงามถือพลองเหล็กท่อนใหญ่หวดไปหวดมาก็ออกจะสวยงามเกินไป ดังนั้นเขาถึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
ถังซานสือลิ่วมีสิ่งที่จะพูด
“นี่คือกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ถึงแม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคมกระบี่ถูกดาบสองท่อนของโจวตู๋ฟูตัดทิ้งไปแล้ว แต่ในเมื่อมันหวนคืนสู่โลกอีกครั้ง ก็จะต้องเข้าสู่อันดับร้อยศาสตราเป็นแน่”
กระบี่เก่าที่เสียหายอย่างหนักเล่มหนึ่ง ขอเพียงปรากฏตัวอีกครั้ง ก็จะต้องติดในอันดับร้อยศาสตราเป็นแน่หรือ?
ถังซานสือลิ่วไม่ได้พูดเกินไป ต้องรู้ว่าหากจะจัดอันดับให้กับพวกกระบี่มีชื่อในประวัติศาสตร์เหล่านั้น ไม่ว่าจะจัดอันดับอย่างไร กระบี่มหาสมุทรขุนเขาก็จะต้องอยู่ในสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขาทำตัวเหมือนเด็กกอดของเล่นก็ไม่ปาน โอบกอดกระบี่มหาสมุทรขุนเขาเอาไว้แน่น และมองถังซานสือลิ่วด้วยความระแวงพลางพูดขึ้น “เจ้าคิดจะพูดอะไร ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าล้วนไม่มีทางถูกพวกมนุษย์แสนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าหลอกลวง!”
ถังซานสือลิ่วพูดเย้ยหยันขึ้น “เฉินฉางเซิงเองก็เป็นมนุษย์ ทำไมเจ้าไม่กลัวถูกเขาหลอก แล้วยังกล้ารับกระบี่ของเขาอีก”
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร อัดอั้นอยู่สักพักถึงได้พูดขึ้นมา “เขาเป็นอาจารย์ปู่ของข้า จะเอาไปเทียบกับคนธรรมดาได้อย่างไร อาจารย์ปู่ให้ของกับข้า แน่นอนว่าข้าก็กล้ารับ”
ถังซานสือลิ่วพูดหยัน “ปกติไม่เคยยอมรับ ตอนนี้เพื่อกระบี่ผุพังเล่มนี้ ก็ยินยอมพร้อมใจจะเป็นหลาน ใครพูดว่าพวกเจ้าเผ่าหมีเป็นพวกซื่อ ข้าก็จะเถียงกับเขาให้ดู”
เซวียนหยวนผ้อไหนเลยจะเถียงสู้เขาได้ เขาโกรธจนไม่พูดแล้ว เพียงแต่กระบี่มหาสมุทรขุนเขาที่อยู่ในอ้อมอกถูกกอดแน่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
“เจ้าอยากจะพูดอะไร” เฉินฉางเซิงถามขึ้น
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ทารกผู้หนึ่งมีสมบัติอยู่แล้วเดินไปตามท้องถนน เจ้าว่าจะมีปัญหาอะไร”
เฉินฉางเซิงมองตามสายตาของเขาไป ร่างกายของเซวียนหยวนผ้อสูงใหญ่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ กระบี่มหาสมุทรขุนเขาที่เดิมทีมีน้ำหนักมหาศาล เมื่ออยู่ในอ้อมอกของเขาก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เลย
แต่ที่ถังซานสือลิ่วพูดก็ถูก ในโลกมนุษย์ที่แสนเลวร้าย เซวียนหยวนผ้อก็เหมือนเด็กทารก เป็นเพียงลูกหมีตัวน้อยเท่านั้น
ในตอนนี้เขาเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง เป็นผู้สืบทอดที่ใต้เท้าสังฆราชกำหนด ดังนั้นถึงจะรู้ว่าบนตัวเขามีสมบัติอยู่ นอกจากคนจำนวนน้อยมาก ก็ไม่มีใครที่จะกล้าลงมือนอกกฎกับเขา
เซวียนหยวนผ้อนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนิกายหลวงหรือเมืองของจักรพรรดิขาวล้วนไม่กระทำเรื่องใหญ่โตเพราะเด็กหนุ่มเผ่าปีศาจเพียงคนเดียว
“ถ้าหากเขาเป็นเพียงเด็กซนคนหนึ่ง ข้าก็คร้านจะใส่ใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย ปัญหาอยู่ที่ ในช่วงนี้เจ้าหมอนี่ก็แสดงออกมาไม่เลวเลย” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าว่าไม่สู้เอาเช่นนี้ กระบี่มหาสมุทรขุนเขาเล่มนี้ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลไว้ก่อน เมื่อไหร่ที่เจ้าเอาชนะข้าได้ พิสูจน์ว่าตนมีความสามารถและคุณสมบัติที่จะถือครองศาสตราเทพ ข้าค่อยคืนกระบี่เล่มนี้ให้กับเจ้า”
ตอนที่พูดคำพูดประโยคนี้ เขามองเซวียนหยวนผ้อด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงก็ดูแสนจะไม่ใส่ใจ
เซวียนหยวนผ้อเกือบที่จะถูกหลอกแล้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเฉินฉางเซิงถึงได้สติขึ้นมา เขาคำรามด้วยความโกรธ แผนการของถังซานสือลิ่วถูกเปิดโปงแล้วก็ไม่ได้โมโหอะไร เขาแย้มยิ้มแล้วลุกขึ้นมา ไม่รู้ว่าไปเอาพัดกระดาษมาจากไหน เขาส่ายหน้าไปพลางพูดขึ้นไปพลาง “ที่ข้าพูดเป็นความจริง หากเจ้าเอากระบี่มหาสมุทรขุนเขาไปข้างนอก ไม่ช้าก็เร็วจะถูกคนเล่นงานเอา”
สีหน้าของเซวียนหยวนผ้อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เขารู้ว่าที่ถังซานสือลิ่วพูดมาเป็นความจริง แต่ไหนเลยจะตัดใจยอมส่งกระบี่มหาสมุทรขุนเขาไปให้ถังซานสือลิ่วดูแล เช่นนั้นยังไม่สู้มอบให้เฉินฉางเซิง
“อย่างไรข้าก็ไม่มีทางให้เจ้า แต่ข้าก็จะไม่ให้คนอื่นรู้”
เซวียนหยวนผ้ออุ้มกระบี่มหาสมุทรขุนเขาแล้วก็ออกจากหอตำรา ไม่นานก็กลับมา ในอกก็ไม่มีกระบี่มหาสมุทรขุนเขาแล้ว
“ซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว” เฉินฉางเซิงสงสัยอย่างมากจริงๆ
เซวียนหยวนผ้อเองก็ไม่ได้ปิดบังพวกเขา พลางพูดขึ้น “ที่กองฟืนในห้องครัว”
เฉินฉางเซิงคิดดูแล้วจึงพูดขึ้น “ไม่เลวจริงๆ ต่อให้คนอื่นมาเห็นเข้า เกรงจะคิดว่าเป็นไม้เขี่ยฟืน”
ถังซานสือลิ่วจะอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กในตระกูลธรรมดา กระบี่เวิ่นสุ่ยที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่มีชื่อในสระกระบี่เหล่านั้น ในตอนนี้เขาพบว่าไม่มีวิธีจะนำเอากระบี่มหาสมุทรขุนเขาที่เขาสนใจมาอยู่ในมือ เขาก็หมดความสนใจแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ้อกับเฉินฉางเซิง ทันใดนั้นก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งที่น่าสนใจมากๆ “พวกเจ้าว่า อนาคตอีกหลายพันปีให้หลัง จะมีคนมาพบความลับของกระบี่เหล็กในกองฟืนของสำนักฝึกหลวงหรือไม่ จากนั้นก็บรรลุในวิถีกระบี่ กลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งของโลก”
เซวียนหยวนผ้อคิดอยู่ในใจ ตัวข้าก็ยังไม่ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งของโลก อีกทั้งในอนาคตข้ากลับเผ่าไปแล้ว หรือว่าจะยังทิ้งกระบี่นี้ไว้ที่สำนักฝึกหลวงอีก เฉินฉางเซิงคิดว่าน่าสนใจจริงๆ ช่างเหมือนกับนิทานบางเรื่องในหนังสือ ปัญหาอยู่ที่หลายพันปีให้หลัง พวกตนก็ไม่อยู่เสียนานแล้ว จะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังได้อย่างไร
ถังซานสือลิ่วยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน่าสนุก ดวงตาพลันส่องประกายขึ้นมา
“กระบี่เพียงเล่มเดียวยังไม่พอ จะต้องซ่อนเอาไว้ในสำนักฝึกหลวงอีกหลายเล่ม ไม่ หลายสิบเล่มจนถึงหลายร้อยเล่ม ที่ก้อนหินข้างทะเลสาบซ่อนไว้หลายเล่ม ในโพรงต้นไม้ซ่อนไว้หลายเล่ม ในก้นทะเลสาบซ่อนไว้หลายเล่ม อ่า ใช่แล้ว บนต้นไทรย้อยไม่ใช่ว่ามีรังนกขนาดใหญ่หรือ…หึๆ เจ้าว่านักเรียนของสำนักฝึกหลวงในภายหลัง อีกหลายสิบปี ก็จะพบว่าในที่แห่งหนึ่งมีกระบี่ชื่อดังของโลกซ่อนอยู่ ภาพเหตุการณ์นั้น…”
เขายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เฉินฉางเซิงได้ยินก็ยิ่งจนใจ ในใจคิดว่าปลาที่อยู่ในทะเลสาบก็ว่าไปอย่าง พวกนกที่อยู่บนต้นไม้เหล่านั้นเคยไปล่วงเกินอะไรเจ้ากัน
ถังซานสือลิ่วพูดได้ทำได้ เขาจึงพุ่งไปทางภูเขากระบี่ เตรียมที่จะเลือกพวกกระบี่เก่าที่เสียหายหนัก ไปซ่อนไว้ในสำนักฝึกหลวง
เขาถึงขนาดคิดเอาไว้แล้วว่าจะเอากระบี่ไปซ่อนที่ไหน โดยที่จะไม่บอกใครทั้งนั้น แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ด้วย เช่นนี้ภายหลังตอนหากันถึงจะน่าสนใจ
ก็เป็นในตอนนี้เอง เสียงของเจ๋อซิ่วก็ดังขึ้นมา
เสียงของเขาอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ก็มีความถากถางอยู่จางๆ
“ไม่ใช่ว่าให้ข้าเลือกกระบี่หรือ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย”
พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนถึงนึกขึ้นมาได้ ทั้งแต่ต้นจนจบ เจ๋อซิ่วไม่ได้พูดขึ้นมาเลย
พูดให้ถูกคือ พวกเขาทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างคึกคัก จึงหลงลืมตัวเอกที่แท้จริงไปเลย
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ถังซานสือลิ่วก็ยังมีหน้าพูดขึ้นมาอย่างปลงอนิจจังอีก
“พูดถึงเรื่องการมีอยู่นี้ ก็น่ามหัศจรรย์จริงๆ เลย เห็นชัดๆ ว่าเจ้าเป็นคนที่โหดร้ายที่สุดในพวกเรา ในตอนนี้ก็ยังอนาถขนาดนี้ แต่กลับ…”
เฉินฉางเซิงมองสีหน้าของเจ๋อซิ่ว จึงรีบอุดปากถังซานสือลิ่วเอาไว้ และถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้าอย่างได้กระบี่เล่มไหน”
เจ๋อซิ่วยกแขนขึ้นมา ชี้ไปที่จุดหนึ่งในกองกระบี่
เพราะว่าบาดแผลของเขาสาหัสเกินไป การเคลื่อนไหวของเขาจึงค่อนข้างลำบาก และเชื่องช้า แต่ก็แน่วแน่อย่างมาก
พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนมองตามมือที่ชี้ไปของเขา สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป
“เจ้าแน่ใจว่าจะเอาเล่มนี้”
“ใช่”
“แต่ว่า…ความเป็นมาของกระบี่เล่มนี้…ในอนาคตจะดึงดูดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอยู่บ้าง”
“ในเมื่อโจวทงพูดว่าข้าเป็นสายลับของเผ่ามาร เช่นนั้นแน่นอนว่าข้าต้องใช้กระบี่ของเผ่ามาร”
กระบี่ที่เจ๋อซิ่วเลือกเล่มนั้นแสนจะเก่าโบราณ ค่อนข้างจะเสียหาย แต่ด้านบนกลับยังคงมีกลิ่นอายมารที่ลึกล้ำกับกลิ่นคาวเลือดอยู่
นี่ก็คือกระบี่ธงชัยของแม่ทัพเผ่ามาร