ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 30 สตรีแดนเย่ว์
หลังจากที่แบ่งสมบัติ ไม่สิ แบ่งกระบี่เสร็จแล้ว เจ๋อซิ่วก็ไม่มีความสนใจและกะจิตกะใจจะมาพูดไร้สาระกับพวกเขาแล้ว เขาหลับตาลงอีกครั้ง เฉินฉางเซิงจับชีพจรให้เขา เมื่อยืนยันได้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นแล้ว ถึงวางใจลง อีกทั้งยังรู้สึกได้ว่าชีพจรของเขามีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง จังหวะเลือดลมที่ตีกลับก็ดูเหมือนจะช้ากว่าแต่ก่อนไปมาก หรือว่าจะเป็นสัญญาณของปราณแท้ที่แห้งเหือด เฉินฉางเซิงไม่กล้าจะไปคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เขาปรับแสงตะเกียงให้มืดลง เก็บภูเขากระบี่กลับสู่ฝักกระบี่ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อตามตนออกไปจากหอตำรา
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม” ถังซานสือลิ่วถามขึ้น
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่กลับถามขึ้นแทน “โจวทง เป็นใครกันแน่”
วันนี้เมื่อออกจากกรมอาญา หลังจากที่ได้เห็นสภาพน่าอนาถของเจ๋อซิ่วในรถแล้ว เขาก็แอบตัดสินใจ แต่เขาก็ยังจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่ยืนในเรือนเล็กที่สงบและงดงาม เห็นชัดๆ ว่าดอกไห่ถังร่วงโรยดั่งหิมะ ชุดขุนนางสีแดงของโจวทงชุดนั้นทำให้จิตใจของพวกเขารู้สึกถึงความกดดันและความหวาดกลัว เขาอยากรู้อย่างมาก ตนจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างแท้จริง
“โจวทงโกหก เขาไม่มีพี่สาว”
ในตอนบ่าย ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยได้ส่งรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องมา
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เขากับเหนียงเหนียงก็ไม่ได้พบกันที่จวนอ๋องอะไร แต่เป็นที่สวนร้อยหญ้า ในตอนนั้นเขาน่าจะยังอยู่ในขั้นถอดจิต แต่ในภายหลังได้เลื่อนระดับขั้นพลังอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็รวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ พูดกันว่า นั่นเป็นเพราะตอนที่เขารับคำสั่งจากเหนียงเหนียงไปกวาดล้างจวนอ๋องพวกนั้น ได้แอบหยิบเอาสมบัติมีค่าไปมากมาย”
“หรือว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย” แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่มีทางคิดว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นจึงใช้คำว่าไม่สนใจ
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้า พลางพูดขึ้น “ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของโจวทงเรียกว่าชุดสีแดงสด เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ พูดกันว่าสามารถฝืนบังคับเข้าไปในห้วงแห่งจิตของผู้บำเพ็ญเพียรได้”
เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อนึกถึงทะเลเลือดที่ได้เห็นที่เรือนเล็กในวันนี้ และก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอีกครั้ง ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นต่อ “เมื่อชุดสีแดงสดถูกใช้งาน โจวทงสามารถบดขยี้ห้วงแห่งจิตของพวกเราได้อย่างสบายๆ แน่นอน เขาไม่มีทางทำเช่นนี้ เพียงแต่ถ้าหากพวกเจ้าคิดจะไปแก้แค้นแทนเจ๋อซิ่วในตอนนี้ เช่นนั้นก็จะต้องลิ้มรสชาติเช่นนั้น”
นี่เป็นการเตือนสติและคำเตือน
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจ “ในเมื่อเขาไม่กล้าฆ่าพวกเรา เช่นนั้นทำไมในวันนี้ถึงได้ใช้ชุดสีแดงสดที่เรือนเล็ก ก็เพื่อวางอำนาจหรือ”
“โจวทงผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยมอันตราย แต่ก็เจ้าแผนการเหนือใคร ตามเหตุผลแล้ว น่าจะไม่ทำเรื่องที่ไร้ความหมายเช่นนี้”
ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่ชัดเจน คิ้วกระบี่ของเขาเลิกขึ้น แล้วพูด “ในตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเขาอยากจะอาศัยทะเลเลือดนั่นสั่นไหวจิตใจของพวกเรา หลังจากนั้นก็คิดจะมองให้เห็นอะไรบางอย่าง”
“เขาอยากเห็นอะไร” เซวียนหยวนผ้อที่อยู่ด้านข้างถามขึ้น “อย่างไรเสียข้าก็ไม่กลัว ข้าไม่ได้มีความลับอะไร”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ เพราะว่าเขามีความลับอยู่มากมาย
ที่จริงแล้ว ตอนที่จากซีหนิงมาถึงจิงตู เขามีเพียงความลับในเรื่องร่างกาย แต่ไปตามกาลเวลาที่ไหลไป ความลับของเขาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสวนโจว โลงศพสีดำในสุสานโจว เคล็ดวิชาดาบสองท่อน ยกตัวอย่างเช่น…สวนโจวอาจจะยังไม่ได้ล่มสลายไป เส้นทางที่เชื่อมไปสู่สวนโจวในตอนนี้ก็อยู่ภายในฝักกระบี่ของเขา
……
……
กลับมาถึงอาคารหลังเล็ก เขาอาบน้ำสงบร่างกาย หลังจากนั้นก็สงบใจ
เขามาถึงข้างหน้าต่าง มองดูมหาสมุทรดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า นั่งสมาธิลงบนพื้น หลับตาและเริ่มต้นทำสมาธิ เขาเตรียมจะเข้าสู่บทเรียนของทุกๆ คืน ดึงแสงจากดวงดาวมาชำระกระดูก หลังจากนั้นก็ทดลองค้นหาเส้นทางเข้าสวนโจวจากป้ายหินมายาสีดำแผ่นนั้น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับการบำเพ็ญเพียรที่หอตำราหรือไม่ หรือเพราะวันนี้จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนจากคุกโจวมากเกินไป เขาถึงกับไม่อาจทำสมาธิได้เลย นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก
นาทีถัดมา กลิ่นหอมจางๆ ที่แสนสงบพลันลอยมาถึงจมูกของเขา เขาถึงได้เข้าใจว่าทำไมตนถึงไม่อาจทำให้ใจสงบได้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลเหล่านี้ แต่เป็นเพราะว่ามีคนมาแล้ว
ม่ออวี่ลอยเข้ามาจากป่ายามราตรีในสำนักฝึกหลวง ลอยตรงมาที่หน้าต่าง หลังจากนั้นก็ลอยเข้ามา
ภายใต้แสงดาว นางงามราวกับไม่ได้อยู่บนโลก
ทุกขั้นทุกตอน นางดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ราวกับเคยกระทำมานับครั้งไม่ก็ถ้วนมิปาน
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า คืนนี้เฉินฉางเซิงจะนั่งสมาธิอยู่ที่พื้นหลังหน้าต่าง ดังนั้นตอนที่นางลอยเข้ามาในอาคารหลังเล็ก ตอนที่ย่อตัวลงมา ก็ย่อลงไปอยู่ตรงหน้าของเฉินฉางเซิงพอดี
ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้กันอย่างมาก จมูกราวกับจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ดวงตาต่างก็สบกันพอดี
ภาพเหตุการณ์นี้ก็น่าอึดอัดอยู่บ้าง
ดีที่กลิ่นอายของม่ออวี่เป็นดั่งกล้วยไม้ เฉินฉางเซิงก็สะอาดดั่งท้องฟ้าหลังฝนตก จึงไม่ถึงขึ้นที่จะทำให้ทั้งสองคนรู้สึกโมโหนัก
สายลมยามราตรีพัดผ่าน เรือนผมสีดำปอยหนึ่งปลิวมา ตกลงบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง ค่อนข้างคันอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ม่ออวี่ลอยไปถึงบนเตียง การเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นถึงความคุ้นเคยจริงๆ ก็เหมือนกับว่าเคยทำเช่นนั้นมาหลายครั้ง
เฉินฉางเซิงรู้ถึงนิสัยประหลาดนั้นของนาง แต่จนถึงตอนนี้ ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี แน่นอนจึงยิ่งไม่อาจรับได้
“เจ้าคงไม่คิดจะนอนบนเตียงของข้าหรอกนะ” เขาถามขึ้น
“ไม่ได้หรือ อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็ไม่มีทางอยู่บนเตียงนี้”
ม่ออวี่ทำท่าทางมีเหตุผลอย่างมาก แต่ภายใต้แสงดาวที่สาดส่อง ก็พอจะสามารถเห็นได้ว่าบนหน้าของนางแดงระเรื่ออยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะจนใจ “แต่ข้าอยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจ้ามาเพราะเหตุใดกัน”
ม่ออวี่พูดขึ้น “ตามปกติในเวลานี้เจ้าจะบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอตำรา ใครจะรู้ว่าวันนี้สมองเจ้าจะมีปัญหาอะไรขึ้นมา ถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนไร้ความผิดอย่างมาก ในใจคิดว่าจะโทษข้าหรือไร
หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงลั่วลั่วขึ้นมาอีก นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้มีโอกาสได้พบหน้ากับลั่วลั่วน้อยนัก และยิ่งพูดกันน้อยลง ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง
ม่ออวี่มองเห็นสีหน้าของเขา จึงถามขึ้น “เป็นอะไรไป”
“เจ๋อซิ่วบาดเจ็บสาหัส กำลังพักผ่อนอยู่ในหอตำรา ข้ากลัวว่าจะรบกวนเขา ดังนั้นถึงได้กลับมาก่อนเวลา”
ม่ออวี่มองไปที่เขา ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เดิมทีข้าคิดว่าในตอนนี้เจ้าน่าจะโมโหอย่างมากถึงจะถูก”
ที่จริงนางกับเฉินฉางเซิงไม่ได้เจอกันบ่อยนัก ไม่นับว่าสนิทกัน ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะออกจากสุสานเทียนซู ตำแหน่งและฐานะของทั้งสองยังห่างกันอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่ที่พบกันที่พระราชวังเป็นครั้งแรก นางก็พบว่าเฉินฉางเซิงผู้นี้สามารถยั่วโมโหตนได้อย่างง่ายดาย ความโกรธเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เช่นนี้ก็ชัดเจนอย่างมาก ว่าเฉินฉางเซิงสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนางได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่นางไม่เข้าใจ
ที่นางไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือ ทำไมเฉินฉางเซิงที่เพิ่งจะอายุสิบหกปี ถึงได้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีถึงขนาดนี้
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามของนาง
เรื่องที่เจอที่คุกโจวในวันนี้ ที่สำคัญคือสภาพน่าอนาถของเจ๋อซิ่วในตอนหลัง แน่นอนว่าจะทำให้อารมณ์ของเขาเกิดปัญหาขึ้นมา เพียงแค่ตั้งแต่เล็กเขาก็เรียนเหตุผลที่แสนเรียบง่ายอย่างหนึ่งมาจากศิษย์พี่อวี๋เหริน ภายหลังในเมืองสวินหยางก็ยิ่งบรรลุถึงความจริงของเหตุผลข้อนี้ เรื่องบางเรื่องแค่ตนจำจดไว้ในใจอย่างเงียบๆ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา เพียงแค่จำเป็นต้องทำ ความบุ่มบ่ามกับความกระตือรือร้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้มีความหมายเหมือนกัน สุขุมไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด
ต่อให้จะถูกทุกคนมองว่าขี้ขลาด เขาล้วนไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่พูดในตอนนี้คือม่ออวี่
เขากับม่ออวี่ไม่ใช่เพื่อนกัน เขาชัดเจนอย่างมาก หญิงงามแห่งราชสำนักต้าโจวผู้นี้น่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะหลังจากวันนี้ไปแล้ว
ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้กัน ม่ออวี่กับโจวทงเป็นสองคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญมากที่สุด โจวทงน่ากลัวถึงเพียงนี้ นางจะต่างไปได้สักแค่ไหนกัน
“หรือว่าไม่ควรพูดว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว” ม่ออวี่พูดขึ้น
เมื่อนับดูอย่างละเอียดแล้ว หลังจากการสอบใหญ่จบลง พวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีก
แต่เฉินฉางเซิงไม่รู้สึกว่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องพูดประโยคนี้ เพราะว่าเดิมทีเขาก็ไม่เคยอยากจะเจอกับนาง เพียงแต่นางมักจะมาปรากฏตัวที่ตรงหน้าของตน
สามประโยคติดกันแล้วที่เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบ นี่ทำให้อารมณ์ของม่ออวี่ย่ำแย่ขึ้นมา นางหรี่ตาลง แหลมคม…เหมือนใบหลิวที่อยู่นอกกำแพงวัง ดูสวยงามอย่างมาก
“เจ้าดูมีความเป็นศัตรูกับข้ามากนัก” นางพูดขึ้น
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เจ้าน่าจะชัดเจนดีกับขั้วอำนาจของจิงตูในตอนนี้”
ม่ออวี่ยิ้มขึ้นมา และพูดอย่างถากถาง “เจ้าคิดว่าตนมีคุณสมบัติที่จะถูกเหนียงเหนียงมองเป็นศัตรูจริงๆ หรือ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ต่อให้มีคุณสมบัติ ข้าก็ไม่อยากจะกลายเป็นศัตรูของเหนียงเหนียง แต่เห็นได้ชัดเจน คนของพวกเจ้าทางด้านนั้นไม่ได้คิดเช่นนี้”
ที่พูดนี้แน่นอนว่าหมายถึงกฎใหม่ของการประลองระหว่างสำนัก ตระกูลเทียนไห่ ไปจนถึงกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงที่กดดันสำนักฝึกหลวง
ม่ออวี่เก็บรอยยิ้ม พลางพูดขึ้น “คนอื่นจะคิดอย่างไร กับเจ้าจะทำอย่างไร ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เดิมทีที่ข้ามาจิงตูก็เพื่อบำเพ็ญเพียรและศึกษาร่ำเรียน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดจะเข้าร่วมกับเรื่องใหญ่โตเหล่านี้ แต่เจ้ารู้สึกว่าข้าจะสามารถหลีกเลี่ยงพ้นหรือ”
ม่ออวี่พูดด้วยเสียงเยือกเย็น “ทำไมถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของนิกายหลวง”
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลที่สมบูรณ์อย่างมาก เพราะว่าผู้คนไม่อาจจะปฏิเสธอาจารย์กับพรรคที่อยู่และอดีตที่ผ่านมาไปได้ เพราะนั่นหมายความว่ากำลังปฏิเสธตัวเอง
แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด เพราะว่าเมื่อก่อนเฉินฉางเซิงสนใจความเร็วในการบำเพ็ญเพียร การฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตา แต่ภายหลังกลับพบว่า ตนไม่อาจจะไม่จนใจว่าชีพจรของลั่วลั่วจะทะลวงได้หรือไม่ แขนขวาของเซวียนหยวนผ้อจะสามารถรักษาให้หายดีได้หรือไม่ อาการเลือดลมตีกลับของเจ๋อซิ่วจะแก้ไขได้หรือไม่ เมื่อไหร่ถังซานสือลิ่วจะสามารถมีชื่อที่สามารถทำให้ตัวเขาพอใจได้สักที ที่สำคัญที่สุดคือ…ประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงจะสามารถรักษาให้สมบูรณ์ดีได้หรือไม่
คำพูดที่ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาพูดกับเขาก่อนตาย เขาไม่ได้ลืมเลือน
นอกจากไล่ตามสิ่งที่ตนอยากได้ไปจนถึงสิ่งที่ตนจะต้องได้มา ที่เรียกว่าขั้นตอนในการเติบโต ก็เป็นเพียงการแบกรับภาระหน้าที่
ม่ออวี่ยืนขึ้นมา มองเขาด้วยสายตาของผู้ที่อยู่สูงกว่า พลางพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “เหนียงเหนียงเป็นผู้ที่ไม่อาจจะเอาชนะได้”
นางในตอนนี้ได้เปลี่ยนกลับมาเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถทำให้เหล่าขุนนางนับร้อยเงียบเสียงเป็นจักจั่นในฤดูหนาว ท่าทีของเฉินฉางเซิงที่มีต่อนางกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เขาคิดถึงเมืองสวินหยางที่เต็มไปด้วยมรสุม นึกถึงหลังจากที่จูลั่วกับกวนซิงเค่อปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน หวังผ้อกลับพูดประโยคที่แสนเรียบเฉยนั้น แล้วพูดว่า “…ข้าอยากลองดู”
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องลองดู
เขาเพียงแค่อยากลองดู อยากจะดูว่า ตนกับสำนักฝึกหลวงจะสามารถต้านคลื่นอันบ้าคลั่งในครั้งนี้ได้หรือไม่
ม่ออวี่พลันสูญเสียความสนใจที่จะพูดอย่างกะทันหัน นางเดินออกไปนอกอาคารหลังเล็ก แน่นอน นางยังเคยชินกับการใช้หน้าต่างแทนประตูหลัก
ในตอนที่นางเดินผ่านข้างกายเขา เฉินฉางเซิงก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งอย่างกะทันหัน และถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “หรือว่าตอนที่ข้าอยู่ที่สุสานเทียนซูกับสวนโจว เจ้านอนบนเตียงของข้ามาโดยตลอด”
ม่ออวี่รู้สึกอายอยู่บ้าง จึงคำรามขึ้น “เช่นนั้นแล้วจะทำไม”
เฉินฉางเซิงจนใจอย่างมาก และไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้แล้ว ต้องรู้ว่าถึงแม้ว่าอายุของเขายังน้อย แต่ก็ยังเป็นบุรุษ เรื่องนี้ไม่อาจจะไปพูดเหตุผลกับใคร อีกทั้งเขายังสู้นางไม่ได้
“เช่นนั้น…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “คราวหลังจำไว้ด้วยว่าต้องอาบน้ำบ่อยๆ ทางที่ดีที่สุด…ทุกครั้งอาบน้ำแล้วค่อยมา”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา เขาก็รู้ว่าไม่เหมาะสม เพราะว่าฟังดูแล้วอบอุ่นอย่างมาก
อย่างที่คิดจริงๆ คิ้วงามของม่ออวี่เลิกขึ้น ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความอำมหิต นางพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าอยากตายหรือ”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าตนไม่ควรจริงๆ จึงพูดต่อขึ้น “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย”
สีหน้าของม่ออวี่สงบลงเล็กน้อย พลางพูดขึ้น “ถ้าหากคำขอโทษใช้ได้ผลจริง เช่นนั้นในอนาคตเจ้าสามารถไม่ฆ่าโจวทงได้หรือ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าไม่”
ม่ออวี่พูดขึ้น “ดังนั้นจึงพูดกันว่า คำพูดดูไม่จริงใจเท่าของขวัญ”
เฉินฉางเซิงชะงักค้างไป ในใจคิดว่าด้วยตำแหน่งของเจ้าในต้าโจว นอกจากถังซานสือลิ่วแล้ว ยังจะมีใครกล้าพูดว่าร่ำรวยยิ่งกว่าเจ้าอีก ข้าจะไปสามารถให้อะไรเจ้าได้
“ได้ยินมาว่า ที่เจ้ามีกระบี่สตรีแดนเย่ว์อยู่เล่มหนึ่งหรือ”
ม่ออวี่มองไปที่เขาแล้วแย้มยิ้มขึ้นมา พลางพูดขึ้น “เจ้าว่าเรื่องนี้บังเอิญหรือไม่ ตอนเด็ก เหนียงเหนียงก็เคยสอนเพลงกระบี่ชุดนี้ให้กับข้า”