ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 40 การบังเอิญเจอกันที่หอเฉิงหู
รั้วก็เป็นรั้วของหอสุรา โต๊ะก็เป็นโต๊ะสุรา หอสุราก็คือหอเฉิงหูที่มีชื่อเสียงว่าหรูหราที่สุดในจิงตู แน่นอนว่าที่นี่ไว้ใช้ทานอาหาร คนที่มีคุณสมบัติจะกินข้าวเป็นเพื่อนเทียนไห่เฉิงอู่ก็มีอยู่น้อยอย่างมาก บังเอิญว่าสวีซื่อจีก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในฐานะพ่อตาในอนาคตของเฉินฉางเซิงในนาม และเป็นที่รู้กันของชาวโลก ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินฉางเซิงก็ซับซ้อนอย่างมาก ในปีก่อนจวนขุนพลเทพตงอวี้ถูกนักพรตหนุ่มผู้นี้ทำให้หน้าม่อยคอตกไป ถูกทั่วทั้งดินแดนต้าลู่หัวเราะเยาะ แต่ก่อนหน้านี้ใครจะคิดถึง ว่าเฉินฉางเซิงจะเป็นถึงผู้สืบทอดของใต้เท้าสังฆราช เขาจะไปรู้ได้อย่างไร ว่านักพรตจี้ผู้นั้นถึงกับเคยเป็นเจ้าสำนักซางผู้รุ่งโรจน์อย่างหาใดเปรียบ…ทุกครั้งที่นึกถึงสัญญาหมั้นหมายนี้ เขาก็กล่าวว่าบิดาที่กลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาวของตนไปหลายคำ เบื้องหลังของสัญญาหมั้นมีเรื่องซ่อนเอาไว้อยู่มากมายขนาดนี้ ทำไมท่านถึงไม่พูดกับข้าให้ชัดเจนก่อน
ความรู้สึกที่ซับซ้อน แน่นอนว่าความคิดก็ซับซ้อนอย่างมาก ท่าทีของสวีซื่อจีต่อการหมั้นหมายนี้ก็เปลี่ยนเป็นยากจะคาดเดา เมื่อวานตอนที่ได้รับคำเชิญจากจวนเทียนไห่ เขาก็นึกถึงประมุขตระกูลเทียนไห่ซึ่งมีชื่อว่าละเอียดรอบคอบผู้นี้ บางทีก็ต้องการจะบีบให้ตนแสดงท่าที ดังนั้นเมื่อมาถึงหอเฉิงหูแล้ว โดยพื้นฐานเขาจึงรักษาความเงียบเอาไว้ โดยเฉพาะตอนที่เทียนไห่เฉิงอู่พูดถึงเฉินฉางเซิง
เทียนไห่เฉิงอู่แย้มยิ้มแล้วมองเขาแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความคิดของเขาอย่างชัดเจน จึงพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ต่อ “เซิ่งเสวี่ยพยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทางเหนือ ใช้การต่อสู้พัฒนาตน และรวบรวมดวงดาวสำเร็จแล้ว ปีหน้าน่าจะกลับจิงตูมาดูแผ่นป้ายอนุสรณ์สวรรค์อีกครั้ง”
สวีซื่อจีไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดถึงเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจะเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่นที่สามของตระกูลเทียนไห่ และก็เป็นหนึ่งในลูกหลานที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชื่นชมที่สุด”
“การสอบใหญ่เมื่อต้นปี เรื่องที่เซิ่งเสวี่ยทำเหล่านั้น ก็ล้วนปิดบังใครไม่ได้ แต่ว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนฉลาด และก็ไม่ได้คิดจะปิดบังใคร พูดขึ้นมาแล้ว นี่ก็น่าจะถือว่าใช้แผนการได้ไม่เลวเลย…แต่สำหรับที่เขาทำเองโดยพลการ ข้าก็ยังไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ตระกูลหนึ่งนั้นใหญ่เกินไป ผู้คนที่อยู่ภายในก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีวิธีคิดและการตัดสินใจเป็นของตัวเอง แต่ถ้าหากในตอนที่ตระกูลได้เผชิญหน้ากับความกดดัน ความคิดเห็นเพียงลำพังเหล่านั้นล้วนไม่มีความหมาย พวกเราจะต้องรวมกำลังทั้งหมดเข้าไปด้วยกัน ถึงจะสามารถรับรองได้ว่าทั้งตระกูลจะสามารถเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องต่อไปได้ ที่เรียกว่าภายใต้รังที่ตกลงมา…แม้แต่รังยังรักษาไว้ไม่ได้ เจ้ายังคิดจะปกป้องไข่ของตนใบนั้น ไม่ใช่ว่าช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างมากหรอกหรือ”
ได้ยินคำพูดแย้มยิ้มที่ดูเหมือนสบายๆ ประโยคนี้ของเทียนไห่เฉิงอู่ ความรู้สึกในใจของสวีซื่อจีก็ยิ่งหนักหน่วง เขาจะไม่เข้าใจความหมายในประโยคนี้ได้อย่างไร ที่เรียกว่าทางที่ถูกต้อง แน่นอนก็หมายความว่าตระกูลเทียนไห่จะเข้าแทนที่ราชสกุลเฉิน และเดินบนเส้นทางที่จะปกครองโลกมนุษย์ต่อ ที่เรียกว่าความไม่พอใจต่อเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย แน่นอนว่าอันที่จริงก็เป็นคำเตือนของเขา ว่าจงอย่ามีความคิดอื่นให้มากนัก
“ในช่วงนี้อาหญิงไม่ได้มีคำพูดอะไร ดังนั้นในจิงตูจึงมีคนจำนวนมากเข้าใจผิด” ไม่ว่าจะเป็นในพระราชวังหรือพระราชสำนัก เทียนไห่เฉิงอู่ในยามที่กล่าวถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ล้วนใช้คำเรียกอย่างยกย่อง มีเพียงในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวอย่างมาก ถึงจะเอ่ยเรียกว่าอาหญิง นี่ไม่ใช่คำเตือนอย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ แต่เป็นการโอ้อวดอย่างเปิดเผย เขาหันกลับมาจ้องตาของสวีซื่อจีแล้วพูดขึ้น “พวกเขากลับลืมเรื่องนี้ไป อย่างไรเสียอาหญิงก็แซ่เทียนไห่ หรือว่านางจะทนเห็นทุกคนในตระกูลล้วนต้องตายไปจนหมด”
สวีซื่อจีรู้ว่าไม่สามารถฟังต่อไปได้ จึงพูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงได้รักษาความสงบมาโดยตลอด”
ที่พูดนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่คึกคักที่สุดในจิงตูในตอนนี้ การประลองระหว่างสำนักฝึกหลวงกับสำนักอื่นๆ เทียนไห่เฉิงอู่พลันเก็บรอยยิ้มลง แล้วพูดขึ้น “ในตอนที่ทุกคนล้วนไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็จะต้องมีความหมายที่แฝงอยู่ของมัน…ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าสังฆราชกำลังใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้เฉินฉางเซิงเติบโตขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถึงขนาดที่บางครั้งข้ารู้สึกว่าใต้เท้าสังฆราชกำลังฝืนเร่งให้เขาเติบโต”
สวีซื่อจีขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ ในใจคิดว่าเจ้าลูกเขยที่แสนสบายของตนผู้นั้นเป็นผู้ที่ถูกทุกคนยอมรับว่าสุขุมเป็นผู้ใหญ่ อายุไม่ถึงสิบหกก็ได้สัมผัสกับธรณีประตูของขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว นี่ไม่มีใครทำได้มาก่อน นอกจากลูกสาวแสนรักของตนแล้วก็ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ใต้เท้าสังฆราชถึงกับยังไม่พอใจ ยังอยากจะให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วกว่านี้อีกหรือ
“นอกจากอาหญิง ยังจะมีใครที่สามารถเข้าใจความคิดของใต้เท้าสังฆราชได้” เทียนไห่เฉิงอู่หันไปมองหมอกจางๆ ที่อยู่บนทะเลสาบ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา
สวีซื่อจีก็ยิ่งไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าหากใต้เท้าสังฆราชคิดจะอาศัยตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงมาขัดเกลาเฉินฉางเซิง ทำไมตั้งแต่ต้นจนจบตระกูลเทียนไห่ถึงไม่ลงมือจัดการกับเขาจริงๆ
“เริ่มตั้งแต่เหมยหลี่ซา ตลอดมาจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบพระราชวังหลีล้วนสร้างอำนาจให้แก่เฉินฉางเซิง หากข้าทำสวนทาง ก็จะต้องใช้กำลังอย่างมาก เช่นนั้นทำไมข้าถึงไม่ทำไปตามน้ำ ข้าก็จะให้คนไปท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงไม่หยุด ถ้าหากเฉินฉางเซิงสามารถฝืนผ่านช่วงนี้ไปได้ คิดว่าไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือจิตใจก็จะต้องมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากเขาฝืนผ่านไปไม่ได้เล่า”
ใบหน้าของเทียนไห่เฉิงอู่เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน พลางพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ คนจำนวนมากกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่าตระกูลเทียนไห่ของข้าส่งคนเหล่านั้นไปท้าประลองสำนักฝึกหลวงไม่หยุด นับเป็นการส่งเครื่องสังเวยไปให้เฉินฉางเซิง ก็เหมือนกับกองไฟที่มีการเติมฟืนเข้าไปไม่หยุด มันไม่อาจจะดับลงไปได้ กลับจะทำให้กองไฟกองนั้นยิ่งร้อนแรง แต่พวกเจ้าไม่เคยคิด ถ้าหากมีอยู่วันหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีต้นไม้ต้นใหญ่หล่นลงไป กองไฟกองนี้ยังจะลุกไหม้ได้อยู่หรือ หรือบางที ถ้าอยู่ๆ ก็ไม่มีฟืนใส่เติมเข้าไปแล้ว กองไฟที่ลุกไหม้อย่างบ้าคลั่งเป็นเวลานานขนาดนี้ ในเวลาอันสั้นก็จะมอดดับไป บางทีไม่แน่ว่าอาจจะเผาป่าที่อยู่ด้านหลังของตนนั่น ในเมื่อพระราชวังหลีต้องการจะสร้างอำนาจ ข้าก็จะช่วยผลักดันพวกเขาให้ถึงที่สุด หลังจากนั้นก็ให้เขาตกกลับลงมา เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะดูว่าเฉินฉางเซิงจะยังสามารถรับความล้มเหลวเช่นนี้ได้อย่างไร การขัดเกลาที่ใต้เท้าสังฆราชมีต่อเขา ไม่แน่ว่าจะขัดเกลาเขาเสียจนกลายเป็นกองทราย!”
สวีซื่อจีขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “น้ำมันที่ถูกต้มด้วยไฟแรง สุดท้ายก็มักจะจบลงอย่างเย็นชืด เพียงแต่…ถ้าหากสุดท้ายมีการใช้ผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ เกรงว่าทางพระราชวังหลีจะออกหน้ามาห้ามปราม”
เทียนไห่เฉิงอู่หรี่ตามองเขา และคิดอย่างดูถูกว่าถึงตอนนี้แล้วยังทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในตอนแรกอาหญิงเลือกเจ้าไปได้อย่างไร
“มีอยู่คนหนึ่ง…สามารถเอาชนะเฉินฉางเซิงได้อย่างแน่นอน อีกทั้งต่อให้เป็นใต้เท้าสังฆราชก็ไม่มีวิธีที่จะชี้ว่ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม เพราะว่าอายุของนางยังน้อยกว่าเฉินฉางเซิงเสียอีก และในตอนนี้ก็ยังรวบรวมดวงดาวไม่สำเร็จเช่นกัน” เขามองสวีซื่อจีแล้วพูดขึ้นนิ่งๆ “อีกไม่กี่วัน หงส์สวรรค์ของตระกูลเจ้าก็จะกลับจิงตูแล้ว เรื่องที่อาหญิงเอ็นดูหงส์สวรรค์ของตระกูลเจ้า คนทั้งโลกล้วนรู้กัน พระราชวังหลีคิดจะสร้างอำนาจแทนเฉินฉางเซิง ทำไมพวกเราจะสร้างอำนาจแทนหงส์สวรรค์ของตระกูลเจ้าไม่ได้”
สวีซื่อจีรู้ว่าการพูดคุยในวันนี้ ในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ถึงได้พูดขึ้น “อย่างไรเสียงนางก็อายุยังน้อย จะแบกรับเรื่องในภายหลังได้อย่างไร”
ขัดขวางการฟื้นอำนาจของนิกายหลวง กระทั่งอาศัยเรื่องนี้ทำให้เส้นทางสังฆราชของเฉินฉางเซิงต้องหยุดลง สำหรับลูกสาวอัจฉริยะของเขานางนั้น ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ปัญหาอยู่ที่ เบื้องหลังของคลื่นลมในสำนักฝึกหลวงคราวนี้ ได้แอบซ่อนขุมอำนาจของนักปราชญ์ทั้งสองคนอยู่ ถึงสวีโหย่วหรงจะเป็นหงส์สวรรค์มาเกิด แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ จะสามารถรับมรสุมเหล่านั้นได้อย่างไร
“เจ้าต้องรู้เรื่องหนึ่งให้ชัดเจน ตั้งแต่โจวทงไปจนถึงคนมากมาย หลายวันมานี้ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำอะไร ที่จริงแล้วกลับประสานงานกับนักปราชญ์แห่งแดนใต้ผู้นั้นมาโดยตลอด”
เทียนไห่เฉิงอู่มองคลื่นน้ำบนผิวทะเลสาบที่ราวกับถูกหมอกบดบัง เขากำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ ถึงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงส่งและโหดเหี้ยมเช่นเขา ก็อดที่จะใฝ่หาไม่ได้ พลางพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “การร่วมมือเหนือใต้บางทีอาจมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จจริงๆ ภายในสภาพการณ์เช่นนี้ ใต้เท้าสังฆราชกับอาหญิงถึงได้แสดงออกอย่างสงบเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงชิงอำนาจ ไม่สะดวกที่จะปฏิบัติให้ได้ผล ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”
……
……
เมื่อแยกย้ายกันออกมา
คนที่มีสถานะเหมือนเทียนไห่เฉิงอู่กับสวีซื่อจีนี้ แน่นอนว่าจะไม่เดินไปตามทางของแขกตามปกติ แต่เป็นทางสายอื่นที่หอเฉิงหูทิ้งไว้ให้โดยเฉพาะ ใครก็คาดไม่ถึง ตามเหตุผลแล้วไม่มีทางที่จะมีแขกสองกลุ่มมาพบกันในทางนี้ ในวันนี้ก็มีแขกสองกลุ่มมาพบกันโดยบังเอิญจริงๆ
ที่เผชิญหน้ากับเทียนไห่เฉิงอู่และสวีซื่อจีก็คือเด็กหนุ่มสามคน
เด็กหนุ่มสามคนจากสำนักฝึกหลวง