ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 42 คดีเลือดที่เกิดจากกุ้งมังกรสีครามเพียงหนึ่งจาน
ถ้าหากในตอนนั้นพวกเขาทั้งสามคนไม่หลีกทาง บางทีเทียนไห่เฉิงอู่อาจจะเห็นแก่หน้าใต้เท้าสังฆราชกับผู้เฒ่าถัง อาจจะเพียงแค่สั่งสอนตนกับถังซานสือลิ่วเสียหน่อย แต่ถ้าหากคนที่ขวางทางเป็นเซวียนหยวนผ้อล่ะ ต้องรู้ว่าสำหรับบุคคลสำคัญเช่นเขานี้ ชีวิตของเซวียนหยวนผ้อก็ไม่ต่างอะไรกับมดเลย
เฉินฉางเซิงสามารถสรุปออกมาได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากในตอนนั้นถังซานสือลิ่วไม่ได้ยื่นมือไปผลักเซวียนหยวนผ้อชนกำแพง เทียนไห่เฉิงอู่ก็ไม่ถือสาที่จะฆ่าเซวียนหยวนผ้อทิ้งเสีย
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว เพียงลงมือตามใจชอบ เซวียนหยวนผ้อก็มีจุดจบที่ความตายแล้ว
จนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจลืมเรื่องที่เกิดในเมืองสวินหยาง ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับวัชระของเหลียงหวังซุน โดยเฉพาะความรู้สึกหวาดกลัวที่เจอกับทวนเหล็กของฮว่าเจี่ยเซียวจางด้ามนั้น และสำหรับเทียนไห่เฉิงอู่ไม่ว่าจะเป็นระดับในการบำเพ็ญเพียรหรือจะเป็นจิตสังหาร ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งและรุนแรงยิ่งกว่าของเหลียงหวังซุนกับเซียวจางนัก
ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ เขาเป็นประมุขของตระกูลเทียนไห่ นอกจากเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วที่เป็นคนที่มีเบื้องหลังลึกล้ำเช่นนี้ คนธรรมดาอย่างเซวียนหยวนผ้อ ต่อให้เขาฆ่าไปแล้ว ทั่วทั้งต้าลู่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ ต่อให้เป็นคู่สามีภรรยาจักรพรรดิขาวก็ไม่มีทางพูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงถึงได้หลุดพ้นจากความหนาวเย็นในใจสายนั้น และมองไปที่ถังซานสือลิ่วพร้อมทั้งถามขึ้นอย่างจริงจัง “เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเจ้ามักจะแสดงท่าทีว่าดูถูกตระกูลเทียนไห่หรอกหรือ”
ใบหน้าของถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะดูไม่ได้ พลางพูดขึ้น “ที่ข้าพูดหมายถึงท่านปู่ของข้า เมื่อไหร่กันที่ข้าพูดว่าเป็นตัวข้าเอง”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู แล้วจึงพูดขึ้น “เมื่อปีก่อนตอนที่เสนาธิการจินเลี้ยงอาหารพวกเราเป็นครั้งที่สอง เจ้าเคยพูดไว้ หลังจากเจ้าเห็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่การสอบใหญ่ เจ้าก็เคยพูดไว้ ภายหลังอีก…”
“พอแล้ว รีบหยุดเลย เป็นเรื่องสำคัญอะไร คู่ควรให้เจ้าเอาความสามารถที่ใช้แก้ปริศนาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาใช้นึกย้อนเรื่องพวกนี้หรือ” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
เซวียนหยวนผ้อมองเขาแล้วพูดเยาะเย้ยขึ้น “เจ้าก็รู้จักแต่รังแกข้า ต่อหน้าบุคคลสำคัญเช่นนี้ แม้แต่ศักดิ์ศรีสักนิดยังไม่มี”
ถังซานสือลิ่วโมโหอย่างมาก จึงพูดขึ้น “พวกเจ้าต้องดูให้ชัดเจน นั่นเป็นประมุขของตระกูลเทียนไห่! ไม่ใช่หมาแมวที่ไหน! อีกอย่างหนึ่งข้าไม่มีศักดิ์ศรีที่ไหน ไม่ได้ยินหรือว่าก่อนไปตาแก่นั่นพูดอะไรไว้ หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าท้าทายเขา! เช่นนั้นในตอนนี้ใครท้าทายเขากัน เป็นใครที่ทำให้เขาไม่ได้กินปูยักษ์ในฤดูใบไม้ร่วงกับกุ้งมังกรสีคราม! พูดสิ!”
ในตอนนี้เอง ที่บันไดได้มีเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนดังขึ้น
ที่มาไม่ใช่แขกที่เชิญมาในวันนี้ แต่เป็นนักบวชของพระราชวังหลีที่คุ้มกันสำนักฝึกหลวงผู้หนึ่ง
สีหน้าของถังซานสือลิ่วแข็งค้าง เขามองนักบวชจากพระราชวังหลีผู้นั้นแล้วถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
นักบวชจากพระราชวังหลีผู้นั้นมองเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้น “ได้ยินว่า…ก่อนหน้านี้ท่านยอกย้อนประมุขตระกูลเทียนไห่อยู่หลายคำหรือ”
ใช้คำพูดของถังซานสือลิ่ว นั่นเรียกว่าท้าทาย แต่ในสายตาของกลุ่มอำนาจต่างๆ ในจิงตูแล้ว เขาเป็นเพียงลูกหลานของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เทียนไห่เฉิงอู่เป็นผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเรียกว่ายอกย้อน
แน่นอน การใช้คำว่ายอกย้อนนี้ จากในบางความหมายแล้ว ก็เป็นการคิดแทนถังซานสือลิ่ว
“พูดมาเลยตรงๆ ว่ามีเรื่องอะไร” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะหมดความอดทน
นักบวชจากพระราชวังหลีผู้นั้นก็ไม่ได้พูด แต่กลับหยิบเอาจดหมายกองหนากองหนึ่งวางลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เจ้าสำนักเฉิน ขอให้ท่านอ่านดู”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็จากไป
เฉินฉางเซิงหยิบจดหมายพวกนี้ขึ้นมา และเปิดออกทีละฉบับ
ภายในหอข้างทะเลสาบเงียบเป็นอย่างมาก สายตาของถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อล้วนอยู่ที่จดหมายพวกนั้นมาโดยตลอด
ที่จริงพวกเขาล้วนเดาได้แล้วว่าที่ในจดหมายพวกนี้คืออะไร เพราะว่าในยี่สิบกว่าวันมานี้ สำนักฝึกหลวงได้รับจดหมายเช่นนี้มาเป็นจำนวนมากแล้ว
เป็นอย่างที่คิด ในจดหมายคือสาสน์ท้าประลอง
ในนี้มีสาสน์ท้าประลองทั้งหมดสี่สิบกว่าฉบับ
เฉินฉางเซิงเพียงแค่กวาดตาอ่านผ่านๆ ไปรอบหนึ่ง ไม่ได้อ่านว่าใครจะมาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง เพียงแค่รู้สึกว่าสาสน์ท้าประลองพวกนี้ค่อนข้างจะหนักอยู่บ้างจริงๆ
ก่อนที่เทียนไห่เฉิงอู่จะจากไปพูดเอาไว้ว่า เมื่อก่อนเพียงแค่อยากจะให้คึกคักขึ้นมา ในตอนนี้ต้องการจะให้สำนักฝึกหลวงลำบาก…ความลำบากก็มาอย่างรวดเร็วแล้ว
เพิ่งจะห่างจากตอนที่ปะทะกันในทางเดินนานแค่ไหนกัน ถึงได้มีสาสน์ท้าประลองจำนวนมากขนาดนี้ส่งมายังสำนักฝึกหลวง
เฉินฉางเซิงขนาดเหมือนกับได้เห็นว่า สาสน์ท้าประลองจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกส่งเข้ามาที่สำนักฝึกหลวงราวกับเกล็ดหิมะที่โปรยปราย
ชนะติดกันสิบสองครั้ง? ชนะติดกันยี่สิบกว่าครั้ง? เช่นนั้นแล้วมีประโยชน์อะไร ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถที่จะถมสำนักฝึกหลวงให้หายไปได้อย่างง่ายดาย
สมแล้วที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์ในตอนนี้
ตระกูลเทียนไห่ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงสำนักฝึกหลวง ต่อให้เป็นพระราชวังหลี หากคิดจะรับมือก็เกรงว่าจะต้องกินแรงอยู่บ้าง
“เจ้าไม่ให้เขากินกุ้งมังกร…เขาก็ให้พวกเราได้เจอกับความลำบาก”
เฉินฉางเซิงมองถังซานสือลิ่ว แล้วถอนหายใจพูดขึ้น “ในตอนแรกเจ้าพูดว่าจะถมพวกเขา ในตอนนี้พวกเราจะถูกถมจนตายแล้ว จะทำอย่างไร”
เสียงพูดเพิ่งจะจบ ที่บันไดก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่รีบร้อนดังขึ้นมา ม่านลูกปัดถูกแหวกออก ส่งเสียงกระทบกันกระจ่างใส หลังจากนั้นก็เป็นเสียงกระจ่างใสดั่งกระดิ่งเงิน
เป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมาหลายวันแล้ว
กลางฤดูร้อนที่อบอ้าว ชั้นบนสุดของหอเฉิงหูที่อยู่ข้างทะเลสาบได้อาศัยค่ายกลดึงดูดลมจากทะเลสาบเข้ามา ทำให้เย็นสบายเป็นที่สุด ถือว่าเป็นสถานที่ที่สบายที่สุดในจิงตู ดังนั้นมีเพียงบุคคลสำคัญอย่างเทียนไห่เฉิงอู่ไปจนถึงถังซานสือลิ่วที่เป็นเจ้าของคนใหม่ถึงจะสามารถเดินขึ้นมาได้
สาวน้อยที่มาอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิงในตอนนี้ กลับเย็นสบายยิ่งกว่าลมจากทะเลสาบ ช่างซึมซ่านไปทั่วหัวใจ
ลั่วลั่วมองดูเขาแล้วหัวเราะคิกคัก
มองดูดวงตาที่กระจ่างใสของนาง เฉินฉางเซิงก็ลืมเรื่องวุ่นวายใจพวกนั้นไปในทันที แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “หัวเราะทึ่มทื่ออันใดหรือ”
ลั่วลั่วพูดขึ้นอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ไม่ได้เจออาจารย์นานมากแล้ว ไม่ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะหัวทื่อลงไปบ้าง”
คำพูดประโยคนี้ไม่ได้ทึ่มทื่อเลย ทั้งยังซ่อนความไม่พอใจอยู่บ้าง เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ได้โง่ ไหนเลยจะฟังไม่ออก ดังนั้นจึงทำได้เพียงแกล้งโง่ หากเป็นตามปกติ ในตอนนี้เซวียนหยวนผ้อจะต้องคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพที่ตรงหน้าของลั่วลั่วอย่างแน่นอน ถังซานสือลิ่วเองก็จะต้องหยอกล้อพวกเขาศิษย์อาจารย์ด้วยความอิจฉาอย่างเต็มที่แน่นอน แต่ในตอนนี้กลับยังเงียบเป็นอย่างมาก เซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วมองดูสาสน์ท้าประลองกองหนากองนั้นที่อยู่บนโต๊ะ และเริ่มรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง และกำลังคิดว่าภายหลังทุกวันจะต้องต่อสู้ไปมาไม่หยุด เกรงว่าแม้แต่เวลากินข้าว เข้าห้องน้ำก็จะไม่มี จึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ในตอนนี้ลั่วลั่วถึงได้พบเห็นความผิดปกติของทั้งสอง จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ถังซานสือลิ่วในตอนนี้เพิ่งจะได้สติขึ้นมา เขามองไปทางลั่วลั่ว ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นส่องประกายอย่างหาใดเปรียบ พลางพูดขึ้น “องค์หญิง…”
ไหนเลยที่เฉินฉางเซิงจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงเดินไปที่ด้านหน้าโต๊ะ กวาดเอาสาสน์ท้าประลองพวกนั้นโยนไปที่หน้าอกของถังซานสือลิ่ว ในเวลาเดียวกันก็ขวางสายตาของลั่วลั่วเอาไว้ พลางพูดขึ้น “เอาอาหารมาเถอะ”
ลั่วลั่วโผล่หัวออกมาจากด้านหลังของเฉินฉางเซิงด้วยความอยากรู้ มองดูถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น “ทำไมหรือ”
ถังซานสือลิ่วมองตาของเฉินฉางเซิง เขาเข้าใจว่าถ้าหากตนเอ่ยปากขอร้องกับลั่วลั่วจริงๆ เมื่อตนกลับไปที่สำนักฝึกหลวงแล้ว จะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการรับคำท้าประลองเหล่านั้นเพียงลำพังอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างแน่วแน่และเป็นธรรมชาติ โดยการพูดขึ้น “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหอเฉิงหูก็จะปิดกิจการแล้ว พวกเราเอากุ้งมังกรสีครามที่พวกเขาเก็บเอาไว้ออกมากินให้หมดเถอะ!”