ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 44 ผู้ที่โศกเศร้าราวกับไร้วิญญาณ
ลั่วลั่วคิดไม่ถึงแน่ว่าของขวัญที่เฉินฉางเซิงพูดคืออะไร แต่นี่ไม่มีทางที่จะส่งผลต่อเรื่องที่นางจะอารมณ์ดีขึ้น…อาจารย์พูดว่าจะเตรียมของขวัญให้นาง นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าในใจของอาจารย์ ตนจะต้องมีความสำคัญยิ่งกว่าถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อและยังรวมไปถึงเจ๋อซิ่วอีกด้วย ในใจของอาจารย์ ตนจะต้องไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเรียนคนหนึ่ง…หรือเปล่านะ
เมื่อคิดถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่ในสวนโจว เฉินฉางเซิงก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องนั้นขึ้นมาได้ จึงถามลั่วลั่วว่าเรื่องที่ตนให้ตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง หลายวันมานี้เขาเองก็ขอให้เหล่านักบวชของพระราชวังหลีช่วยตรวจสอบ แต่ยังไม่มีข่าวอะไร เขาทำได้เพียงมอบความหวังสุดท้ายไว้กับนางแล้ว
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าริมฝีปากของตนค่อนข้างแห้ง เสียงที่พูดก็มีความแหบ “ทางเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์เองก็ไม่มีข่าวหรือ”
ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา มองรับดวงตาของเขาที่ไต่ถามด้วยความกังวล กัดริมฝีปาก แล้วรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมา “เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่ยังเหลืออยู่ในดินแดนต้าลู่ล้วนพักอยู่ที่ทุ่งหญ้า จึงยากที่จะยืนยันได้ทั้งหมด แต่สามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีแม่นางคนที่อาจารย์พูดผู้นั้นออกมาจากสวนโจว”
เฉินฉางเซิงมองดูปลาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ลั่วลั่วมีความเศร้าอยู่บ้าง แต่ใบหน้าดวงเล็กกลับเผยรอยยิ้มออกมา “อาจารย์อย่าได้กังวล ข้าจะให้คนไปตรวจสอบอีก”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ยินคำพูดของนาง เขามองทะเลสาบแล้วพึมพำขึ้นมา “ในตอนนั้นข้าเห็นกับตาว่านางนั่งมหาวิหคบรรพกาลเข้าไปในภูเขา ซึ่งห่างจากป่าวจีเขตบรรพตอีกไม่ไกลแล้ว ถึงแม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส…”
หลังจากนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปแล้ว
นางไม่สามารถออกจากสวนโจวไปได้
นางไม่มีทางออกจากสวนโจวได้เหมือนกับเขา
ในตอนนี้นางน่าจะยังอยู่ภายในสวนโจว
บางทีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่โดยมากน่าจะตายไปแล้ว
นี่ก็คือจุดจบ
ถ้าชีวิตเป็นดั่งเช่นแรกเจอ นางนอนหลับอยู่บนกองอ้ออย่างสงบ ช่างดียิ่งนัก เพราะว่าจะต้องมีช่วงเวลาที่ตื่นขึ้นมา
เฉินฉางเซิงเสียใจอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงความหมายของมันอย่างแท้จริง ถึงแม้ในตอนก่อนหน้านี้ที่เขาคิดว่าแม่นางผู้นั้นอาจจะไม่อยู่แล้วก็เคยรับรู้ไปบาง แต่นั่นเป็นเพียงก้อนหินที่ตกลงไปในหญ้า ยังไม่อาจเปิดเผยให้แสดงออกมาได้ ถึงแม้ในตอนที่เดินไปถึงตรงหน้ามังกรดำในวังถง เขาก็เคยได้สัมผัสมาบ้าง แต่การลาจากที่เหมือนกัน ทว่ากลับแตกต่างกัน
ตนลาจากกับโลกใบนี้ โลกลาจากกับตน
โดยประมาณแล้วน่าจะแยกกันเช่นนี้
หลังจากที่เขานึกออก ตนเคยรับปากนางว่าจะทำเรื่องหนึ่ง
“ผ่านไปอีกสองวัน ข้าจะไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้เพื่อถอนหมั้น”
ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกตะลึง ในใจคิดว่าหลังจากที่อาจารย์เข้าจิงตูมา ไปจวนขุนพลเทพเพื่อถอนหมั้นถึงสองครั้งล้วนไม่สำเร็จ ครั้งก่อนสวีซื่อจีก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ถ้าหากคิดจะถอนหมั้น ก็ต้องถอนหมั้นต่อหน้าสวีโหย่วหรง…อีกไม่กี่วันสวีโหย่วหรงก็จะกลับจิงตูแล้ว ทำไมอาจารย์ถึงรีบร้อนเช่นนี้ ไม่ยอมรออีกหน่อยกัน
“ข้าเคยรับปากนาง…ว่าจะถอนหมั้น”
เฉินฉางเซิงมองปลาที่ว่ายอยู่ในทะเลสาบ และพูดขึ้นโดยไม่กะพริบตา “ในเมื่อยืนยันได้ว่านางไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็ยิ่งต้องทำให้ได้ อีกทั้งยังต้องรีบสักหน่อย ไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่านางจะคิดว่าข้ากำลังหลอกนางอยู่”
……
……
ลั่วลั่วนั่งอยู่บนรถ มองกำแพงสำนักที่อยู่นอกหน้าต่าง ใบหน้าดวงเล็กมีความซีดขาวอยู่บ้าง
ไม่มีใครเข้าใจนางว่าเมื่อครู่ตอนที่พูดข่าวนั้นให้กับเฉินฉางเซิง นางต้องใช้ความกล้ามากมายขนาดไหน
เพราะว่านางชัดเจนอย่างมาก ด้วยนิสัยของเฉินฉางเซิง เมื่อรู้ข่าวนั้นไปแล้ว เช่นนั้นตนก็จะไม่มีความหวังใดอีกแล้ว
อย่างที่คิด ไม่นานเฉินฉางเซิงก็ตัดสินใจจะไปถอนหมั้นที่จวนขุนพลเทพตงอวี้
คู่หมั้นของเขาผู้นั้นยังไม่มีความหวัง
ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นเพียงแค่ศิษย์ของเขา
จินอวี้ลวี่ที่อยู่นอกรถก็เหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงถอนหายใจขึ้นมา
ก็เป็นเพราะเสียงถอนหายใจที่มีความเห็นใจนี้ จึงทำให้ลั่วลั่วร้องไห้ขึ้นมา
นางปล่อยผ้าม่านลง ร้องไห้กระซิกๆ อย่างโศกเศร้า ในใจคิดว่าพวกท่านล้วนไม่เข้าใจอะไรเลย
คนที่จากไป ในใจของผู้คนล้วนมีความสำคัญมากกว่า
คนที่จากไปตลอดกาล ตำแหน่งที่อยู่ในใจของผู้คนนั้นก็ยิ่งไม่อาจถูกแทนที่ได้ตลอดกาล
เหตุผลข้อนี้นางเข้าใจ ในตอนที่นางห้าขวบ หลังจากที่ท่านย่าที่รักและเอ็นดูนางได้จากไปที่แม่น้ำแดง นางก็เข้าใจแล้ว
นางรู้ว่าตนไม่มีทางเอาชนะแม่นางที่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้น เพราะว่าแม่นางผู้นั้นได้จากไปแล้ว
บางที มีเพียงการจากไปถึงจะสามารถถูกจดจำ
ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา ปาดน้ำตาที่อาบบนใบหน้า และเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง มองไปยังทิวสนของสำนักฝึกหลวงที่ค่อยๆ ไกลออกไป
นางรู้ว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องจากไปแล้ว
อาจารย์ ข้าจะต้องให้ท่านจดจำข้า
นางคิดอย่างดื้อรั้น
……
……
ถังซานสือลิ่วสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเฉินฉางเซิงในวันนี้ค่อนข้างจะมีปัญหา จึงถามขึ้น “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เฉินฉางเซิงนำเสื้อเปียกที่อยู่ในถังออกมาตากไว้บนเชือก แล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร”
เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องกังวลเรื่องของตน อีกทั้งเขามักจะรู้สึกว่าความทรงจำช่วงนั้นในสวนโจวเป็นของเขากับนางสองคน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนบทสนทนา “เมื่อครู่เฉินหลิวอ๋องจะมาที่สำนักฝึกหลวง ทำไมเจ้าถึงไม่เห็นด้วย”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วแล้วพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย “เอ๋ ข้าไม่ใช่เจ้าสำนักฝึกหลวงสักหน่อย มีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยหรือ”
เฉินฉางเซิงยกถังเดินไปทางอาคารหลังเล็ก ตอนที่เดินผ่านเขาก็พูดขึ้น “เจ้าไม่ได้พูด แต่ใบหน้านั้นก็น่าเกลียดเสียจนเหมือน…”
เดิมทีเขาอยากจะพูดว่าเหมือนมีใครตาย แต่ตอนที่จะพูดออกจากปากกลับเปลี่ยนไปแล้ว
“…เหมือนมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น”
“ใบหน้าของข้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ต่อให้ชักสีหน้าใส่เขา ก็จะน่าเกลียดสักแค่ไหนเชียว”
ถังซานสือลิ่วรับกระดานซักผ้าที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งของเขามา และเดินตามไป พลางพูดขึ้น “ข้าไม่ชอบคนผู้นี้ เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้”
นี่เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจมาโดยตลอด จึงถามขึ้น “เป็นเพราะอะไรกันแน่”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าหมอนี่เสแสร้งเกินไป” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่มีหลักฐาน ก็อย่าเพิ่งปักใจ”
ถังซานสือลิ่วพูดเยาะเย้ยขึ้นมา “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเจ้าหมอนี่ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็มักจะให้คนรู้สึกราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ”
เฉินฉางเซิงสงสัยอย่างมาก ในใจคิดว่าหรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องหรือ
“เขาเป็นผู้ชาย มีเหตุผลอะไรที่จะต้องให้พวกเรารู้สึกราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดมาปะทะใบหน้า” ถังซานสือลิ่วให้ข้อสรุปของตนออกมาอย่างดูถูก “จะต้องมีวัตถุประสงค์อะไร อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ และห่างไกลจากเขาอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู คำพูดนี้ก็ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง เพียงแต่ดูจากในตอนนี้แล้ว ราชวงศ์ถูกแบ่งแยกไปเมืองต่างๆ นอกจากนิกายหลวงกับจูลั่ว ไม่มีกองกำลังภายนอกใดที่มีอำนาจอีกแล้ว การที่เฉินหลิวอ๋องตั้งใจจะเป็นมิตรกับสำนักฝึกหลวง ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันก็เดินเข้าไปในอาคารหลังเล็ก หลังจากที่วางของแล้ว เฉินฉางเซิงก็เดินเข้าไปในห้องของเจ๋อซิ่ว บาดแผลของเจ๋อซิ่วดีขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถลุกเดินได้ แต่ก็พอจะเคลื่อนไหว เมื่อหลายวันก่อนก็ถูกพวกเขาย้ายมากลับมาอยู่ที่อาคารหลังเล็กแล้ว เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ที่ข้างเตียง จับชีพจรให้เจ๋อซิ่วอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็หยิบกล่องเข็มขึ้นมา และเริ่มทำการรักษาให้กับเขา ผ่านไปเป็นเวลานาน ถึงได้จบการรักษาในวันนี้
ถังซานสือลิ่วที่อยู่ด้านข้างมองใบหน้าของเจ๋อซิ่วที่ยังคงซีดขาวอยู่ จึงถามขึ้นอย่างค่อนข้างจะเป็นกังวล “เมื่อไหร่เขาถึงจะหายดี”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับพลังชีวิตของเขา”
เจ๋อซิ่วลืมตาขึ้นมา และพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวล”
ก็เป็นในตอนนี้เอง เซวียนหยวนผ้อได้หอบเอาสาสน์ท้าประลองกองใหญ่จากหอตำราเข้ามาในห้อง
“นี่เป็นเพียงชุดแรก ได้ยินจากนักบวชหลู่ว่าที่สำนักการศึกษากลางยังมีสาสน์ท้าประลองอยู่อีกกองใหญ่ ดูท่าว่าประมุขตระกูลเทียนไห่ผู้นั้นจะโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “อายุมากขนาดนี้ สถานะสูงส่งขนาดนี้ ทำไมถึงได้ชอบโมโหเหมือนกับเด็กๆ”
กุ้งมังกรสีครามของดินแดนต้าซี ทั่วทั้งจิงตูมีเพียงแค่หอเฉิงหูที่สามารถหากินได้ ตอนนี้หอเฉิงหูปิดกิจการอย่างไร้กำหนด แน่นอนว่าก็ยากที่จะได้กินแล้ว…อาหารที่ชอบที่สุดอยู่ๆ ก็จะไม่ได้กิน เป็นใครก็ล้วนไม่พอใจ เซวียนหยวนผ้อคิดว่าหากมีคนห้ามไม่ให้ตนย่างขาแพะกินที่ตรงข้ามทะเลสาบ ตนจะมีความรู้สึกเช่นไร ก็สามารถเข้าใจได้อย่างมาก ขนาดที่เห็นใจประมุขตระกูลเทียนไห่ผู้นั้นอยู่บ้าง
หลังจากที่เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ก็เพื่อกุ้งมังกรสีครามนี่นะ…”
ด้วยสถานะของตระกูลเทียนไห่ในโลกมนุษย์ หากประมุขตระกูลเทียนไห่ผู้นั้นอาละวาดขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำนักฝึกหลวงจะสามารถรับไหวจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คิดว่าจะต้องมีสาสน์ท้าประลองจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับเกล็ดหิมะโปรยปรายเข้ามาอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มทั้งสามของสำนักฝึกหลวงจะสามารถสู้ได้อย่างไร ต่อให้สามารถเอาชนะได้ทุกครั้ง แต่จะสามารถรับมือได้สักกี่ครั้งกัน ต่อให้สู้ไม่ตาย แต่ก็เกรงว่าจะเหนื่อยตาย ต่อให้ไม่เหนื่อยตาย เช่นนั้นก็ต้องรู้สึกแย่จนตายขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขามองดูสาสน์ท้าประลองพวกนั้น ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ก็เหมือนกับเมื่อวานที่พูดกันอยู่บนต้นไทรย้อยนั่น ชีวิตที่แต่ละวันผ่านไปเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการจริงๆ
ความวุ่นวายที่แท้จริงคือ ในบรรดาสาสน์ท้าประลองพวกนี้ มีอยู่ฉบับหนึ่งที่หนักหนาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือถังซานสือลิ่วก็ล้วนรับไม่ไหว
“เปี๋ยเทียนซิน เคยเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักจวนราชวังหลี อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้น แต่ว่า…ไม่ใช่ขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นเหมือนกับโจวจื้อเหิงและมู่เหล่าป่านเช่นนั้น ในงานชุมนุมไม้เลื้อยกับการสอบใหญ่ในปีนั้น เขาพ่ายแพ้ให้แก่กวนไป๋เพียงคนเดียว กระทั่งมีคนจำนวนมากสงสัยว่า เขาสามารถเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นกลางได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เพราะวิชาของตระกูลนั้นแข็งแกร่งและลึกลับเกินไป ดังนั้นจึงหยุดอยู่ที่ตรงนี้เป็นการชั่วคราว”
“วิชาของตระกูล? เขาไม่ได้เป็นนักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีหรอกหรือ”
“ถ้าหากตระกูลของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าสำนักจวนราชวังหลี เปลี่ยนเป็นเจ้า สุดท้ายแล้วเจ้าจะเลือกอะไร”
“อืม…เขาเป็นลูกของใคร”
“พ่อของเขาชื่อเปี๋ยยั่งหง แม่ของเขาชื่ออู๋ฉยงปี้”
“อืม…ตระกูลของเขาแข็งแกร่งอย่างมากจริงๆ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกปลงว่าชื่อทั้งสองนี้มันประหลาดอย่างมาก เพราะว่าถึงจะเป็นเขาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ก็ยังเคยได้ยินสองชื่อนี้
ชื่อทั้งสองนี้เหมือนกับจูลั่ว กวนซิงเค่อ ล้วนหมายถึงมรสุมที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ ที่แท้แปดมรสุมทั้งสองคนนี้ก็เป็นสามีภรรยากัน อีกทั้งยังมีลูกชายอีกหนึ่งคน
เฉินฉางเซิงถอนหายใจพลางพูดขึ้น “ต่อให้เอาชนะได้ ก็ไม่น่าเอาชนะ”
ถ้าหากเอาชนะลูก ไม่แน่ว่าพ่อแม่ของเขาจะมาหาถึงที่
“อย่าพูดอย่างหลงตัวเองเหมือนกับข้าได้ไหม” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้”
เฉินฉางเซิงอยากพูดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทุ่งกว้างนอกเมืองสวินหยางหรือหน้าประตูสำนักฝึกหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นไปเท่าไหร่ หลังจากนั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าถังซานสือลิ่วเคยพูดไว้ ที่คนผู้นี้อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นไม่ใช่ขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นตามปกติ
“ในปีนั้นเปี๋ยเทียนซินเอาชนะกวนไป๋ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าความแข็งแกร่งของเขาจะแย่กว่ากวนไป๋ เจ้าสามารถมองว่าระดับของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน” ถังซานสือลิ่วมองตาของเขาแล้วพูดขึ้น “เจ้าเคยพบกวนไป๋มาก่อน เจ้ารู้สึกว่าตนเองจะมีโอกาสสักเท่าไหร่”
เฉินฉางเซิงนึกย้อนถึงบัณฑิตที่ตนพบที่ข้างถนนผู้นั้น รับรู้สึกเจตจำนงกระบี่สายนั้น หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “โอกาสสักนิดก็ยังไม่มี”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าคิดจะเอาชนะเปี๋ยเทียนซิน ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”
เจ๋อซิ่วที่อยู่บนเตียงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “ข้าเคยสู้กับเขามาก่อน”
ทั้งสามคนหันไปมอง แล้วถามขึ้นอย่างตกตะลึง “ใครเป็นฝ่ายชนะ”