ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 46 ละครที่วุ่นวายฉากหนึ่ง
จากตรอกไป่ฮวาไปจนถึงถนนหลัก ก่อนอื่นเลยคือความเงียบในพริบตา หลังจากนั้นก็เป็นเสียงดังสนั่นขึ้นมา!
ฝูงคนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ผู้ดูแลของสี่โรงพนันใหญ่ที่อยู่ในศาลากับเหล่าบุคคลสำคัญพากันส่ายหน้าอย่างไร้คำพูด เหล่ายอดฝีมือที่ท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นก็ย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ
ในเวลาเช่นนี้ ทำไมสำนักฝึกหลวงถึงได้เริ่มต้นรับนักเรียนใหม่อย่างกะทันหัน พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ตอนนี้ในสำนักฝึกหลวงแม้แต่อาจารย์จริงๆ ก็ยังไม่มี พวกเขามารับนักเรียนใหม่อะไรกัน อีกทั้งในตอนนี้ยังห่างจากฤดูใบไม้ผลิมาเป็นเวลานานแล้ว นักเรียนที่ค่อนข้างจะมีคุณสมบัติก็ล้วนสอบเข้าไปในห้าสำนักไม้เลื้อยที่เหลืออยู่แล้ว ต่อให้พวกเขาคิดจะรับนักเรียนใหม่ แล้วจะไปรับนักเรียนแบบไหนได้กัน
ไม่ว่าผู้คนจะคิดอย่างไร คำพูดของอาจารย์ซินก็พูดออกมาแล้ว อีกทั้งใบประกาศรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงก็ถูกติดเอาไว้แล้ว
หลังจากที่กองทัพนิกายหลวงถอยออกจากเส้นระวังภัยทั้งสองเส้นที่หน้าสำนักฝึกหลวงแล้ว เหล่าชาวเมืองก็เป็นดั่งคลื่นน้ำที่ซัดมายังหน้าประตูสำนักฝึกหลวง และเริ่มอ่านใบประกาศรับนักเรียนใหม่ใบนั้น
“ระยะเวลาเรียนสามปี ใช้การสอบครั้งสุดท้ายเป็นมาตรฐาน ถ้าหากสามารถผ่านได้ ก็จะถูกยอมรับเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ถ้าหากว่าไม่ก็ไสหัวไป?”
“ใบประกาศนี่ใครเป็นคนเขียน ทำไมถึงได้เละเทะเช่นนี้”
“เฮ้ พวกเจ้ารีบดูข้อนี้เร็ว! สำนักฝึกหลวงถึงกับไม่เก็บค่าเรียน และยังมีเงินเบี้ยเลี้ยงกับอาหารให้อีก”
ใบประกาศรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงใช้กระดาษสีแดง ตัวอักษรก็ใช้น้ำหมึกสีดำเขียน
กระดาษสีแดงตัวอักษรสีดำ ช่างสะดุดตาอย่างมาก และเห็นอยู่ในสายตาของทุกคนได้อย่างชัดเจน
เงื่อนไขที่ธรรมดาแต่ก็แสนจะไม่ธรรมดาเหล่านั้น กฎเกณฑ์เหล่านั้นที่ธรรมดาจนถึงขั้นหยาบอยู่บ้าง ทำเอาชาวเมืองที่มองเห็นใบประกาศล้วนตะลึงจนอ้าปากค้าง และไม่รู้เลยว่าควรจะตอบสนองเช่นไร
ผู้ดูแลของสี่โรงพนันใหญ่ไปคัดลอกใบประกาศรับนักเรียนใหม่นั่นมาหลายชุด ดังนั้นพวกคนที่อยู่ใต้ศาลาและพวกยอดฝีมือที่เตรียมตัวจะท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น ก็ล้วนรู้ถึงรายละเอียดการรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง
หลังจากที่อ่านใบประกาศจบ เหล่าผู้ดูแลก็ยิ่งไร้คำพูด พวกเขาเห็นอย่างชัดเจน เรื่องนี้ไม่ตรงกับนิสัยของเฉินฉางเซิง จะต้องเป็นเรื่องที่นายน้อยตระกูลถังผู้นั้นทำเป็นแน่ ดังนั้นแล้วผู้ดูแลของโรงพนันทั้งสามแห่งจึงพากันเดินไปที่ด้านหน้าโรงพนันเทียนเซียง แล้วไต่ถามผู้ดูแลของโรงพนันเทียนเซียง นายน้อยของเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ อาศัยเรื่องนี้ถ่วงเวลาหรือ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เมื่อวานพวกเรายังร่วมมือกันอย่างดี ว่ารอบหน้าจะให้เจ้าสำนักเฉินใช้กระบี่ไปห้ากระบวนท่าไม่ใช่หรือ
หลังจากอ่านใบประกาศจบ ผู้คนก็ไม่ได้แยกย้ายกันไป แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสำนักฝึกหลวงถึงได้เลือกช่วงกลางฤดูร้อน ซึ่งไม่ใช่ช่วงรับนักเรียนใหม่ที่สืบต่อกันมา ประกาศรับนักเรียนใหม่อย่างกะทันหัน แต่นี่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการวิเคราะห์ของทุกคน
สำนักฝึกหลวง…น่าจะไม่ได้นักเรียนใหม่อะไร
ไม่ต้องพูดถึงว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิ สำนักไม้เลื้อยอื่นต่างรับนักเรียนใหม่ไปแล้วรอบหนึ่ง แล้วพูดเพียงแค่เฉพาะสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ ก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีคนมาสมัคร
สำนักฝึกหลวงในตอนนี้ไม่ได้เป็นสุสานที่ถูกคนลืมเลือน และเป็นของแสลงในจิงตูเหมือนเมื่อปีก่อนอีกต่อไปแล้ว กลับมีสัญญาณของการเกิดใหม่แล้ว แต่ก็จนใจที่สถานการณ์ของจิงตูในปีนี้แสนจะตึงเครียด โดยเฉพาะหลังจากที่สำนักฝึกหลวงมาอยู่ตรงจุดที่ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ในตอนนี้การเข้าสำนักฝึกหลวงมาเรียนหนังสือ ไม่ต้องพูดว่าสามารถเรียนอะไรได้ แต่เกรงว่าจะต้องเจอกับความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ
ก็เป็นในตอนนี้เอง ประตูของสำนักฝึกหลวงเปิดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเฉินฉางเซิงยกโต๊ะออกมาหลายตัว พร้อมทั้งยังมีพู่กันน้ำหมึกกับกระดาษรายชื่อออกมา
ฝูงคนพลันระเบิดเสียงล้อมกันเข้ามา ชาวเมืองจิงตูนั้นไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน จึงเอ่ยถามคำถามเหล่านี้ขึ้นมาโดยตรง
โชคดีที่นักบวชของพระราชวังหลีกับกองทัพนิกายหลวงมากันอย่างรวดเร็ว จึงไม่รอให้หัวของพวกเฉินฉางเซิงถูกคำถามมากมายเหล่านี้ทำให้มึนงงไป ก็แหวกช่องว่างขึ้นมา
เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่ว เซวียนหยวนผ้อแยกกันนั่งด้านหลังโต๊ะทั้งสามตัว บนโต๊ะมีกระดาษ หมึกที่อยู่ในจานก็ฝนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พู่กันวางอยู่บนชั้น มีเพียงบนโต๊ะของเฉินฉางเซิง ที่มีตราประทับกับบัญชีรายชื่อของสำนักฝึกหลวงเพิ่มขึ้นมา
ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เพียงแค่รอคนมาสมัครเท่านั้น
ในตอนนี้แสงแดดในยามเช้ากำลังดี อยู่ในช่วงแปดถึงเก้าโมง ดวงอาทิตย์ที่สดใสกำลังขึ้นมา
……
……
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ยังคงมีโต๊ะอยู่สามตัว กับคนสามคน
เหล่าคนที่ล้อมอยู่หน้าใบประกาศนั้นแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีใครมาสมัคร
เซวียนหยวนผ้อมองพู่กันที่วางไว้บนชั้นอย่างสวยงาม และก็มองมาที่มือที่ใหญ่โตของตน ในใจคิดว่าการถอนต้นไม้เป็นเรื่องง่าย การเขียนหนังสือช่างยากเกินไป…ยังดีที่วันนี้อาจจะไม่มีใครมาเลย
เฉินฉางเซิงก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะกล่าวโทษอะไรกับถังซานสือลิ่ว เพียงแค่คิดอย่างจนใจอยู่บ้าง หรือว่าจะไม่มีคนเข้ามาสมัครเลยจริงๆ
ที่หน้าโต๊ะของถังซานสือลิ่วนั้นคึกคักเป็นที่สุด บางช่วงก็จะมีเด็กสาวเดินเข้ามาด้วยความเขินอาย เมื่อวางถุงหอมเอาไว้แล้วก็วิ่งหนีไปราวกับกวางน้อยตื่นตกใจ เด็กสาวที่มีความกล้าขึ้นมาหน่อยก็ขอให้เขาเขียนพัดให้กับตน แน่นอน เด็กสาวเหล่านี้เพียงแค่ต้องการอาศัยโอกาสที่หาได้ยากในวันนี้เข้ามาใกล้ชิดกับเขาสักครั้ง ที่มาสมัครจริงๆ กลับไม่มีเลยสักคน สีหน้าของอาจารย์ซินที่รับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยก็ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ถังซานสือลิ่วกลับไม่มีความรู้สึกอะไร ใช่ เขาไม่รู้สึกอึดอัดใจแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกมา เขาแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น พูดคุยกับเด็กสาวเหล่านั้นเสียงเบา นำของขวัญพวกถุงหอมที่ได้รับมาวางไว้บนโต๊ะ อีกทั้งยังแสดงออกอย่างจริงจังว่าต้องจะต้องนำไปใช้ให้ดี
ช่วงหนึ่ง เฉินฉางเซิงอาศัยโอกาสที่โต๊ะของเขาค่อนข้างจะเงียบลงมาแล้ว ขยับเข้าไปแล้วถามขึ้นเสียงเบา “คนผู้นั้นก็คือเปี๋ยเทียนซินหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “แน่นอนว่าบุคคลเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏตัวอย่างเรื่อยเปื่อย ข้ามองดูแล้วว่าเขาไม่อยู่”
เฉินฉางเซิงวางใจลงมาบ้าง แล้วก็พูดขึ้นอีก “โต๊ะของเจ้าใกล้จะเต็มแล้ว”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วขึ้น ซึ่งดูได้ใจและสง่างามอย่างบอกไม่ถูก พลางพูดขึ้น “อิจฉาพี่ชายหรือ”
เฉินฉางเซิงก้มหน้าแล้วพูดขึ้น “แต่ที่โต๊ะของเจ้านั้นไม่มีใบสมัครเลยสักชุด”
ถังซานสือลิ่วกระแอมขึ้นเบาๆ สองครั้ง แล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าว่าเจ้าเสวยสุขกับความรู้สึกที่ถูกเหล่าเด็กสาวห้อมล้อมอย่างมาก จึงไม่ได้รีบร้อนอะไรจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เจ้าเข้าใจอะไร นี่ข้ากำลังสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดี สำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่ ข้าก็คือป้ายสัญลักษณ์ที่มีชีวิต แน่นอนว่าจะต้องอดทนและอบอุ่นสักหน่อย”
……
……
ข่าวเรื่องการรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง ในเวลาไม่นานก็แพร่กระจายทั่วจิงตู คนจำนวนมากกระทั่งรวมถึงบุคคลสำคัญเหล่านั้นล้วนสะกดความอยากรู้ไว้ไม่ได้ บ้างก็มาถึงที่ด้วยตัวเอง บ้างก็ส่งลูกน้องที่ไว้ใจมา พวกเขาอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่กี่คนในสำนักฝึกหลวงนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
มีบุคคลสำคัญอยู่สองคน เดิมทีในช่วงหลายวันมานี้ก็มักจะปรากฏตัวขึ้นที่โรงน้ำชาแห่งนั้นที่อยู่ภายในตรอกไป่ฮวา แน่นอนว่าในวันนี้ไม่มีทางที่จะพลาดไป
ซึ่งก็คือนักพรตซือหยวนที่เสนอกฎใหม่ของการประลองระหว่างสำนัก และยังมีใต้เท้ามุขนายกประจำตำหนักอิงหัวอย่างเหมาชิวอวี่ที่มาเป็นตัวแทนเจตจำนงของใต้เท้าสังฆราชมาคอยดูแล
นักพรตซือหยวนมองดูหน้าประตูสำนักฝึกหลวงที่เงียบเหงา มองดูโต๊ะทั้งสามตัวกับเด็กหนุ่มทั้งสามคนแล้วจึงส่ายหน้าพูดขึ้น “ช่างก่อเรื่องวุ่นวายเสียจริง”
เหมาชิวอวี่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะ กำลังมองไปทางเด็กสาวที่อยู่ในฝูงชนกำลังโบกมือยิ้มแย้มให้กับถังซานสือลิ่ว พลางยิ้มแล้วพูดขึ้น “ช่างเป็นสมบัติที่มีชีวิตเสียจริง”
ก่อนที่เขาจะรับตำแหน่งใต้เท้ามุขนายกของตำหนักอิงหัวก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนเต้ามาก่อน ก่อนที่ถังซานสือลิ่วจะเข้าสำนักฝึกหลวง ก็เป็นนักเรียนของเขา
นักพรตซือหยวนขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ละครที่วุ่นวายเช่นนี้ ช่างทำให้พระราชวังหลีขายหน้าจริงๆ”
“ละครที่วุ่นวายหรือ ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีในวันนี้พวกเขาจะไม่ได้รับนักเรียนใหม่ แต่ว่า…”
เหมาชิวอวี่เก็บรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่จะได้รู้ สำนักฝึกหลวง…ในยี่สิบปีให้หลังมานี้ ในที่สุดก็เริ่มต้นรับนักเรียนใหม่อีกครั้งแล้ว”
……
……
สำนักฝึกหลวงเริ่มต้นรับนักเรียนใหม่อีกครั้ง การรับนักเรียนใหม่ในที่นี้หมายถึงการรับนักเรียนใหม่จำนวนมากอย่างเป็นทางการ และไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับตอนที่เฉินฉางเซิงบังเอิญเข้าสำนักฝึกหลวงในตอนแรกนั้น
ในสายตาของคนเก่าคนแก่จำนวนมากในกลุ่มเก่าของนิกายหลวงกับชาวเมืองจำนวนมากที่ยังจำความรุ่งเรืองของสำนักฝึกหลวงในตอนนั้นได้ นี่ก็เป็นเรื่องของสัญลักษณ์ที่มีความหมายอย่างมากเรื่องหนึ่ง
แต่ในตอนนั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่จนถึงเที่ยงตรงนี้ ดูไปแล้วเรื่องนี้ก็เหมือนกับละครที่วุ่นวายฉากหนึ่งจริงๆ
หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นโต๊ะสามตัว เด็กหนุ่มสามคน เงียบเหงาเสียจนทำให้คนที่ดูอยู่รอบข้างยังรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ไม่รู้ว่าตอนไหน ถังซานสือลิ่วให้เซวียนหยวนผ้อหาร่มคันใหญ่คันหนึ่งมาจากห้องเก็บของในสำนักฝึกหลวง และนำมากางอยู่ที่หน้าโต๊ะทั้งสามตัว บังแสงแดดเอาไว้ ก็นับว่าเป็นการฆ่าเวลาที่แสนน่าเบื่อ
“จะไหวไหม” เฉินฉางเซิงก้มหน้าถามขึ้น
ในตอนนี้เหล่าเด็กสาวที่มาส่งดอกไม้ล้วนทนอากาศที่ร้อนอบอ้าวไม่ไหวแล้ว ต่างพากันกลับบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์ ผู้คนที่อยู่ในตรอกในถนน ต่างมองมาทางนี้แล้ววิพากษ์วิจารณ์กัน มองดูจากสายตาก็รู้แล้วว่ากำลังเยาะเย้ยพวกเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นเจตนาร้ายอะไร
แต่จิงตูในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าไหร่ที่กำลังเยาะเย้ยพวกเขา อีกทั้งยังมีเจตนาร้ายที่ลึกล้ำอย่างมากด้วย