ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 5 ยามราตรี
รัชทายาท คือผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ ถ้าหากต้าโจวในตอนนี้มีรัชทายาท บางทีความขัดแย้งระหว่างนิกายหลวงกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงขั้นนี้ ขั้วอำนาจในต้าลู่จะสงบมากกว่านี้…ที่จริงแล้ว ต้าโจวเคยมีองค์รัชทายาทอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นโอรสของจักรพรรดิองค์ก่อนกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คือองค์รัชทายาทเจาหมิง
เพียงแต่น่าเสียดาย รัชทายาทในประวัติศาสตร์ของต้าโจวล้วนไม่เคยมีจุดจบอะไรที่ดีเลย องค์รัชทายาทหลังจากที่ไท่จู่สถาปนาประเทศผู้นั้น ได้ตายอย่างอนาถท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้า องค์รัชทายาทที่จักรพรรดิไท่จงตั้งใจอบรมสั่งสอนมา สุดท้ายก็เพราะการก่อกบฏอย่างน่าประหลาดจึงถูกประหารไป ที่องค์รัชทายาทเจาหมิงผู้นี้ได้ประสบก็ถือว่าโชคร้ายยิ่งกว่า แต่ก็สามารถพูดได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างจะโชคดี เพราะว่าในตอนที่ยังเล็กมากๆ ก็ได้ตายไปแล้ว
จักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปได้ไม่นาน รัชทายาทเจาหมิงก็ป่วยตายตั้งแต่ยังแบเบาะ
แต่ว่าไม่มีใครเชื่อ แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ สายเลือดระหว่างราชวงศ์กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จะกลายมาเป็นเด็กที่ตายตั้งแต่ยังเยาว์วัยได้อย่างไร
เกี่ยวกับสาเหตุการตายของรัชทายาทเจาหมิง มีการพูดอยู่อย่างนับไม่ถ้วน
มีอยู่อย่างหนึ่งที่พูดกันมากที่สุด…ในปีนั้นราชตระกูลเฉินกับขุมอำนาจเก่าของนิกายหลวงได้ร่วมมือกัน เพื่อปรารถนาจะดึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากตำแหน่งจักรพรรดิ ในการต่อสู้ที่อกสั่นขวัญแขวนนั่น ในท้ายที่สุดเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชที่ได้รับชัยชนะไป เหล่าชนชั้นสูงในราชตระกูลเฉินบ้างก็ถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศ อาจารย์ของสำนักฝึกหลวงได้บาดเจ็บล้มตายไปจนสิ้น เหลือเพียงแค่ต้นหญ้าที่เย็นเยือกกับซากปรักหักพัง แต่ว่าเพราะเหตุนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ได้จ่ายค่าตอบแทนที่มหาศาล…รัชทายาทเจาหมิงได้ตายไปท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เขาถูกศัตรูของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ใช้โอกาสจากความวุ่นวายวางยาพิษฆ่าตาย
ยังมีข่าวลืออีกอย่างที่พูดกันอย่างมากเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำชาหรือในโรงเตี๊ยมก็ล้วนไม่ได้ยิน มีเพียงแค่ในยามราตรีที่กระจายออกไปอย่างไม่สงบ เรื่องราวนั้นโหดร้ายและเย็นชากว่ามาก
มีคนคิดว่ามีการแอบกระจายเรื่องราวออกไปไม่หยุด เมื่อหลายร้อยปีก่อนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกจักรพรรดิไท่จงไล่ออกจากพระราชวัง ต้องไปใช้ชีวิตอย่างลำบากอยู่ที่สวนร้อยหญ้า และได้พบกับใต้เท้าสังฆราชและหัวหน้าสำนักฝึกหลวงคนก่อน ได้เข้าใจถึงความลับของการฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตา นางได้ให้สัตย์สาบานกับดวงดาวว่าชาตินี้ยอมให้สายเลือดสิ้นสุด และใช้สิ่งนี่แลกเปลี่ยนกับการฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตา การตายของรัชทายาทเจาหมิง ก็เป็นคำสาปจากการฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตาในปีนั้นของนาง บางทีก็พูดว่าเป็นความโกรธของสวรรค์ กระทั่ง…เป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องที่นางทำเพื่อให้ฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตาได้สำเร็จ!
ในข่าวลือที่ดำมืดเหล่านั้น เหล่าผู้บรรยายราวกับได้เห็นภาพเหตุการณ์น่าหวาดกลัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดในพระราชวังนั่นกับตา ที่พูดก็ราวกับว่าเกิดขึ้นจริง…มือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยื่นผ่านผ้าอ้อมอย่างไร ยื่นไปทางเด็กทารกที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดนั่น ใบหน้าที่งดงามสง่าผ่าเผยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ที่หางตากลับมีน้ำตาหลั่งรินลงมาหนึ่งหยด หลังจากนั้นเสียงร้องไห้ก็ค่อยๆ เงียบลง พระราชวังในยามราตรีได้เงียบลงจนทำให้ใจคนหวาดกลัว
ถ้าหากเป็นความโกรธของสวรรค์ที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตาในตอนนั้น จึงทำให้นางก็สิ้นลูกสิ้นหลาน โดดเดี่ยวเดียวดายไปจนตาย หลักแห่งสวรรค์กับทะเลแห่งดวงดาวก็ออกจะเย็นชาและน่าหวาดกลัวเกินไปหน่อย ถ้าหากเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำไปเพื่อให้การฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตานั้นสำเร็จ และลงมือฆ่าลูกชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของตนกับมือ ก็เพื่อให้ได้เป็นผู้ปกครองดินแดนต้าลู่แห่งนี้ เช่นนั้นนางก็ออกจะเย็นชาและน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเช่นใด รัชทายาทเจาหมิงก็ได้ตายไปแล้ว ได้ตายไปด้วยเหตุผลที่เย็นชาน่าหวาดกลัว ตายไปอย่างน่าสงสารและไร้ความผิด หลังจากนี้ก็ไม่มีคนกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นราชตระกูลเฉินหรือจะเป็นคนของนิกายหลวง มีเพียงแต่ใต้เท้าหูแห่งสำนักดาราศาสตร์ที่เสียสติผู้นั้น ต่อให้ถูกโจวทงถอดเล็บมือที่มีอยู่ทั้งหมด ก็ยังคงใช้ปากที่เต็มไปด้วยเลือดบอกกับโลกใบนี้ไม่ยอมหยุด รัชทายาทเจาหมิง…ยังไม่ตาย หลังจากนั้น ในตอนที่โจวทงเตรียมจะตัดลิ้นของใต้เท้าหูผู้นี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงความเมตตาของตน ให้ใต้เท้าหูกลับบ้านเกิดไปพักผ่อน
แต่ในสายตาของหลายๆ คน นี่ไม่ใช่ความเมตตา แต่เป็นความรู้สึกผิดในใจ บางทีอาจเป็นการปลอบใจตัวเองอย่างหนึ่ง ในตอนนั้นในพระราชวังได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ สรุปแล้วรัชทายาทเจาหมิงพระองค์นั้นตายไปได้อย่างไร เหตุใดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องรู้สึกผิดในใจด้วย ดังนั้น คำพูดที่โหดร้ายน่ากลัวนั่น ถึงได้แผ่กระจายไปอย่างกว้างขวาง แน่นอนยังคงเป็นการแพร่กระจายไปในยามราตรี
……
……
พระราชวังในยามราตรีนั้นเงียบเชียบเป็นอย่างมาก ค่ำคืนในช่วงต้นฤดูร้อนกลับหนาวเหน็บอย่างไร้ขีดจำกัด
หัวหน้าขันทีก้มหน้าลงต่ำ เขาไม่กล้าที่จะมองจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แม้แต่แวบเดียว
ในสวนที่เงียบเชียบ พริบตาเดียวก็กลายเป็นที่ราบหิมะอันหนาวเหน็บ มองไม่เห็นเกล็ดหิมะแม้เพียงเกล็ดเดียว แต่ผิวบนของสระน้ำกลับจับตัวเป็นชั้นน้ำแข็งขึ้นมาบางๆ
ความคิดของนักปราชญ์สามารถสะเทือนฟ้าดิน เมื่อมีความตื่นเต้น ก็จะเกิดมรสุมคลื่นลม เมื่อจิตใจมืดมัว ก็จะมีม่านราตรีเข้าปกคลุมท้องฟ้า ถ้ารู้สึกอึมครึมแต่กลับมีโทสะ แน่นอนว่าก็จะมีพายุหิมะไปทั่วฟ้า
ก็เป็นตอนที่หัวหน้าขันทีรู้สึกว่าห้วงแห่งจิตของตนกำลังจะถูกแช่แข็ง ในที่สุดเสียงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นมา เสียงของนางสงบนิ่งและเฉยเมยอย่างมาก ราวกับน้ำในสระที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง “ชาวมนุษย์นับหมื่น ล้วนเป็นลูกของข้า เซียงอ๋อง เซี่ยงอ๋องเองก็เป็นลูกของข้า ความเป็นความตายของเจาหมิง แต่ไหนแต่ไรมาก็มิได้สำคัญ”
แต่ไหนแต่ไรมาก็มิได้สำคัญ เช่นนั้น เมื่อก่อนก็อาจจะไม่สำคัญ
หัวหน้าขันทีก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิม ราวกับจะไปสัมผัสกับพื้นดินที่หนาวเหน็บ และค่อยๆ ถอยหลังหายเข้าไปในความมืดยามรัตติกาล
ด้านนอกสวนมีแพะสีดำตัวหนึ่งค่อยๆ โผล่มา ขนของมันดำสนิทส่องประกายราวกับหยก เมื่อเดินออกมาจากยามรัตติกาล ก็ราวกับได้พาเอาส่วนหนึ่งของยามรัตติกาลมาด้วย
ที่ถูกรัตติกาลปกคลุมไว้คือความเป็นจริงเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วตัวของรัตติกาลเล่า
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองมันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์พลางถามขึ้น “เช่นนั้นเจ้าล่ะ เหตุใดเจ้าถึงได้ยินยอมเข้าใกล้เขา สรุปแล้วเขาเป็นใครกันแน่”
……
……
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เฉินฉางเซิงกลับมาที่สำนักฝึกหลวง ก็เหมือนกับพวกคืนก่อนหน้านี้ หลังจากที่กินอาหารค่ำ และเดินเล่นข้างทะเลสาบแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในหอตำราอย่างเป็นธรรมชาติ ลั่วลั่วกลับไปที่พระราชวังหลี ถังซานสือลิ่วยังอยู่ที่สุสานเทียนซู เซวียนหยวนผ้อกำลังทุบต้นไม้อยู่ เจ๋อซิ่วยังอยู่ในคุกโจว เขาไม่รู้ว่าตนควรจะทำอะไร เช่นนั้นก็บำเพ็ญเพียรต่อแล้วกัน
แสงจากดวงดาวได้ส่องผ่านกระจกสี เกล็ดหิมะได้รอดผ่านใบไม้ ไม่ได้หยุดค้างอยู่บนเสื้อผ้าหรือผิวหนังของเขา แต่กลับเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายเขา หิมะที่อยู่บนทุ่งกว้างหนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้น้ำในทะเลสาบนอกภูเขาแท่นวิญญาณจะห่างไกลกับการเปลี่ยนเป็นผืนน้ำที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่น้ำที่ไหลก็มากขึ้นมาไม่น้อย ประตูหินของแดนลี้ลับที่ปลายทางของบันไดหินบนภูเขาได้เปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว แสงที่อ่อนโยนได้รอดผ่านออกมาจากถ้ำ และกระจายไปทั่วท่ามกลางผิวน้ำ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสงบอย่างมาก
ในตอนนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้ห่อเหี่ยวเหมือนกับเมื่อก่อนนั้นอีกแล้ว ที่คิดว่าแสงดวงดาวที่ดึงดูดเข้ามาล้วนไปยังที่แห่งอื่น เขารับรู้ถึงดวงดาวของตนบนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไปอย่างสงบ รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างของตน เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าเป็นเวลาใด เขาได้ลืมตาตื่นขึ้นมา และเริ่มที่จะจัดระเบียบผลลัพธ์ที่ตนได้มาในช่วงนี้
ในตอนที่ออกจากสุสานเทียนซู เขาได้ไปถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงแล้ว ผ่านการเดินทางไปสวนโจว ระหว่างทางกลับแดนใต้ก็ได้พบศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนั้น เจตจำนงกระบี่ก็ค่อยๆ ยืดหยุ่นมากขึ้น ระดับพลังก็มั่นคงขึ้น กระทั่งใกล้จะไปแตะถึงขั้นสูงสุดของระดับทะลวงอเวจีแล้ว บวกกับการที่ติดตามซูหลีเป็นเวลานานขนาดนี้ ในด้านเพลงกระบี่ของเขาก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นไปใหญ่ รวมทั้งสองเข้าด้วยกัน ก็สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่ระดับรวบรวมดวงดาวลงไปเขานั้นไร้คู่ต่อกรแล้ว ต่อให้พบกับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นต้นของระดับรวบรวมดวงดาว ก็มีโอกาสที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ความจริงข้อนี้ทำให้เขาสบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีการผ่อนคลายใดๆ เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยลืมรัตติกาลนั่น
เวลาของเขาเหลืออยู่ไม่มากแล้วจริงๆ ต่อให้ตัวเขาในตอนนี้จะสามารถพูดได้ว่าเป็นคนที่บำเพ็ญเพียรไปถึงขั้นสูงสุดของระดับทะลวงอเวจีได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ว่าระยะห่างอันห่างไกลกับระดับอำพรางเทพ ยังมีระยะห่างอีกอย่างไร้ขีดจำกัด และยังต้องใช้เวลาอีกมากมายขนาดไหน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องเห็นคุณค่าของเวลา…หลังจากที่ครุ่นคิดชำระกระดูกและถอดจิตทำการคำนวณแล้ว เขาก็เริ่มฝึกฝนเพลงกระบี่ต่ออย่างไม่หยุดพัก
พื้นที่ราบหิมะกับทะเลสาบที่อยู่ในร่างกายของเขา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเขาในตอนนี้สะสมปราณแท้เอาไว้มากมายแล้ว เหนือล้ำไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่อยู่ในวัยเดียวกับเขา ปัญหานั้นอยู่ที่ ชีพจรของเขาขาดสะบั้น ไม่มีวิธีที่จะใช้ปราณแท้เหล่านั้นได้ทั้งหมด เพลงกระบี่สันดาปที่ซูหลีสอนให้กับเขาก็สามารถแก้ไขได้เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น อีกทั้งเพลงกระบี่สันดาปยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอันมหาศาล ด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ อย่างมากที่สุดก็สามารถใช้ได้เพียงสามครั้งเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงกระบี่สันดาปไม่อาจจะฝึกได้ เพราะจะทำร้ายร่างกาย เพลงกระบี่รอบรู้ก็ไม่สามารถฝึกได้ เพราะจะทำร้ายจิตใจ เขาทำได้เพียงฝึกเพลงกระบี่โง่งม เขายืนอยู่บนพื้น ไม่หยุดที่จะตวัดและวาดกระบี่ ไม่หยุดที่จะฝึกกระบวนท่าที่ง่ายดายน่าเบื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เมื่อมองดูแล้วก็ดูโง่งมอยู่หลายส่วนจริงๆ
หลังจากที่ทำครบหนึ่งพันครั้ง เขาก็นั่งขัดสมาธิลงไปอีกครั้ง และส่งดวงจิตเข้าไปในฝักกระบี่
โลกที่อยู่ภายในฝักกระบี่ มีกระบี่พิการนับหมื่นเล่ม กำลังลอยอยู่กลางอากาศอย่างสงบ โดยที่ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
กระบี่เหล่านี้ไม่ได้แสดงอำนาจในสวนโจวตอนที่ปรากฏขึ้นมาสู่โลกเป็นครั้งแรก แต่อย่างไรเสียก็ล้วนเคยเป็นกระบี่เทพที่เคยมีชื่อเสียงสะท้านดินแดนต้าลู่ เจตจำนงกระบี่ยังคงแข็งแกร่ง มองดูแล้วเป็นพื้นที่ว่างที่โล่งกว้าง แต่ที่จริงได้ถูกเจตจำนงกระบี่ยึดอยู่เสียนานแล้ว
ดวงจิตได้ข้ามผ่านเจตจำนงกระบี่นับหมื่นสาย ที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะเขาในตอนนี้ไม่ได้ทดลองใช้ดวงจิตไปควบคุมกระบี่นับหมื่นเล่มเหล่านี้ แต่เป็นการใช้ดวงจิตเข้าไปสัมผัสกับหมื่นกระบี่โดยตรง
เขาใช้เจตจำนงกระบี่ของหมื่นกระบี่ขัดเกลาเจตจำนงกระบี่ของตน
เจตจำนงกระบี่ของเขาในตอนนี้มีความยืดหยุ่นแล้ว ถ้าหากใครคนอื่นรู้ จะต้องถูกชื่นชมเป็นแน่ เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก เมื่อก้าวหน้าไปอีกขั้นก็จะเป็นเจตจำนงกระบี่ที่ใสกระจ่างอย่างแท้จริง และเจตจำนงกระบี่ที่ใสกระจ่าง สำหรับพรสวรรค์ทางด้านวิถีกระบี่แล้วมีข้อเรียกร้องที่สูงมาก มองไปทั่วดินแดนต้าลู่ ผู้ที่สามารถไปถึงขั้นเจตจำนงกระบี่ใสกระจ่างได้ ก็มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน
ปัญหาอยู่ที่ ในช่วงหลายวันมานี้เฉินฉางเซิงได้พบผู้ที่มีเจตจำนงกระบี่กระจ่างใสอยู่สองคน…ซูหลีกับแม่นางชูเจี้ยน ดังนั้นแน่นอนว่าเขาไม่อาจจะพึงพอใจได้
เจตจำนงกระบี่เหล่านั้นเป็นดั่งหินลับมีด ดวงจิตของเขาก็คือคมกระบี่ บางทีก็เป็นเจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมหรือยิ่งใหญ่ ได้สัมผัสกับดวงจิตของเขา ขัดเกลาและฟาดฟันกัน
ในขั้นตอนนี้จะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เขาหลับตาลงไม่ได้มีเหงื่อออก แต่สีหน้ากลับค่อยๆ ซีดขาวขึ้นมา
คมของกระบี่ล้ำค่าได้ออกมาจากการขัดเกลา ดอกเหมยที่ผ่านฤดูหนาวมายิ่งหอมกรุ่น หากไม่ผ่านมรสุมมา ไหนเลยจะได้เห็นสายรุ้งอะไร
เขากำลังคิดถึงคติพจน์ของคนในอดีตเหล่านั้น อดทนต่อความลำบากที่ยากจะจินตนาการ กระทั่งดวงจิตที่เข้าไปในฝักกระบี่ยิ่งบางเบาและอ่อนแอลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะหายไปได้ทุกเวลา…
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงด้านหลังของเจตจำนงกระบี่นับหมื่นสายราวกับมีอะไรบางอย่างที่กำลังดึงดูดดวงจิตของตนซ่อนอยู่
เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดที่ตรงนั้น ดวงจิตที่เดิมทีอ่อนแอจนแทบจะสลายไป ทันใดก็เปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้นมา และกลับมาแข็งแกร่งขึ้นใหม่อีกครั้ง
ดวงจิตของเขาแทรกผ่านเจตจำนงกระบี่นับหมื่น และค่อยๆ ล่องลอยไปยังที่ที่ห่างไกลนั่น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเรือลำน้อยก็ลอยข้ามผ่านหมื่นขุนเขา ดวงจิตของเขาได้มาถึงชายฝั่งของมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่
ชายฝั่งของมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่ ที่แท้ก็เป็นชายฝั่งผืนหนึ่งจริงๆ บนชายฝั่งมีป้ายศิลาสีดำอยู่แผ่นหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ป้ายศิลาจริงๆ เป็นเพียงแค่เงาลวงตาสายหนึ่ง
ป้ายศิลาสีดำนั่นค่อนข้างจะคุ้นตาอยู่ ก็เหมือนกับห้วงรัตติกาลแถบหนึ่ง
วินาทีที่ได้เห็นป้ายศิลาสีดำนั้น ในใจของเฉินฉางเซิงก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ป้ายศิลาที่เป็นเงาลวงตานี้ น่าจะเป็นประตูที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
โลกแบบไหนกันที่อยู่อีกด้านของป้ายศิลาสีดำ ด้านหลังรัตติกาลนั้นคืออะไร ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ ป้ายศิลาสีดำนี้ดูคุ้นตา ไม่ใช่เพราะสามารถมองเห็นได้อยู่ในทุกค่ำคืน แต่เป็นเพราะป้ายศิลาสีดำแผ่นนี้มีรูปร่างเหมือนกับหินสีดำก้อนนั้นของหวังจือเช่อ ก้อนหินสีดำที่เขาได้มาจากหอหลิงเยียนหลังจากที่เปลี่ยนกลับไปเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ และก็มีรูปร่างเหมือนป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่สี่ด้านรอบสุสานโจว
หรือว่าป้ายศิลาสีดำนี้จะเชื่อมต่อไปยังสวนโจว หรือว่าสวนโจวยังไม่ได้พังพินาศไป