ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 53 กระบี่ที่ออกจากปาก (2)
เฉินฉางเซิงเข้าใจขึ้นมาบ้าง และพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “เพลงกระบี่ที่สามค่อนข้างจะยากอยู่จริงๆ ตามที่ซูหลีพูดไว้ ตัวเขาเองก็ยังเรียนไม่ได้ แต่เพลงกระบี่ทั้งสองอย่างแรก…”
เดิมทีเขาคิดจะพูดว่าตอนที่ตนเรียนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ยากเย็น แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าของถังซานสือลิ่ว ก็เก็บคำพูดครึ่งหลังกลับมาอย่างยากลำบาก
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นเสียงเย็น “เพลงกระบี่ที่สองเห็นได้ชัดว่าซูหลีสร้างขึ้นมาสำหรับปัญหาเรื่องเส้นชีพจรของเจ้าโดยเฉพาะ พวกข้าจะเรียนได้อย่างไร ส่วนเพลงกระบี่แรก จำเป็นจะต้องมีความสามารถในการคำนวณที่แข็งแกร่ง เจ้าคิดว่าทุกคนสามารถทำได้หรือ”
เฉินฉางเซิงคิดว่าความสามารถในการคำนวณของแม่นางชูเจี้ยนยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเสียอีก
ถังซานสือลิ่วมองเขา แล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง “เฉินฉางเซิง…เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู ความจำของตนก็นับได้ว่าไม่เลว ส่วนความสามารถในการคำนวณ ก็น่าจะเป็นหลังจากที่ดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานเทียนซูถึงได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนความเป็นอัจฉริยะ…เขาพลันส่ายศีรษะ
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในตอนแรกที่ได้เจอกับเจ้าที่สำนักเทียนเต้า ข้าพูดเอาไว้ว่าอย่างไร”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เจ้าพูดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ”
ถังซานสือลิ่วยื่นมือมาตบบ่าของเขา แล้วพูดขึ้น “เชื่อข้า แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยมองคนผิดไป”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู และไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำพูดนี้เช่นไร
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ใช่แล้ว เจ้าสอนเพลงกระบี่สำนักฝึกหลวงกับพลองพลิกขุนเขาให้ข้าด้วย”
เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เพลงกระบี่เขาหลีซานเจ้ายังไม่แม้แต่จะมอง ทำไมถึงจะเรียนสิ่งนี้เล่า”
“ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าก็ต้องเรียนเพลงกระบี่ของสำนักฝึกหลวง จะเรียนเพลงกระบี่ของเขาหลีซานไปทำไม” ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน เหมือนลืมไปแล้วว่าเพิ่งจะชื่นชมอีกฝ่ายว่าเป็นอัจฉริยะ “พูดอีกอย่าง ในเมื่อข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎสำนัก หากไม่รู้เพลงกระบี่ทั้งสองนี้ ลือออกไปจะต้องเป็นที่น่าหัวเราะแน่”
เพลงกระบี่สำนักฝึกหลวง เป็นเพลงกระบี่พื้นฐานที่ผู้แข็งแกร่งของสำนักฝึกหลวงทุกคนจะต้องเป็น อานุภาพไม่อ่อนด้อย เพียงแต่มีกระบวนท่าไม่มากเท่านั้น
ส่วนพลองพลิกขุนเขา ที่จริงก็ไม่ใช่เพลงกระบี่ แต่เป็นเพลงพลองที่อาจารย์ของสำนักฝึกหลวงที่รับหน้าที่รักษากฎใช้ลงโทษนักเรียนที่ไม่เชื่อฟังในสมัยก่อน
ใช่ เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง และถังซานสือลิ่วก็เป็นผู้คุมกฎอันดับหนึ่งของสำนักฝึกหลวงใหม่ หัวหน้าผู้ดูแลทั่วไปของสำนักฝึกหลวงก็คือเซวียนหยวนผ้อ เจ๋อซิ่วยังพักรักษาตัวอยู่ แต่หน้าที่ของเขาก็ถูกจัดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ในอนาคตเขาจะต้องรับหน้าที่สอนนักเรียนของสำนักฝึกหลวงว่าจะมีชีวิตรอดที่พื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารอย่างไร แน่นอน สำนักฝึกหลวงยังมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์อย่างมากอีกตำแหน่ง เหลือไว้ให้กับลั่วลั่ว นั่นก็คือตำแหน่งรองเจ้าสำนักชั่วชีวิต และในกฎใหม่ของสำนักก็เขียนไว้อย่างชัดเจน ในภายหลังสำนักฝึกหลวงจะไม่มีตำแหน่งรองเจ้าสำนักขึ้นมาอีก
……
……
วันหนึ่งกลางฤดูร้อน ที่นอกตรอกไป่ฮวาเต็มไปด้วยผู้คน ในตรอกไป่ฮวาก็มีธงหลากสีปลิวไสว
เป็นระยะเวลากว่ายี่สิบปี ในที่สุดสำนักฝึกหลวงก็เปิดอย่างเป็นทางการขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
สำหรับคนแก่จำนวนมากในนิกายหลวง นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ในพระราชวังหลีไม่รู้ว่ามีนักบวชชราจำนวนเท่าไหร่ที่หลั่งน้ำตาออกมา
สำหรับสำนักการศึกษากลาง นี่เป็นมรดกที่ใหญ่ที่สุดที่อดีตใต้เท้ามุขนายกเหลือทิ้งเอาไว้ และก็เป็นความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุด อาจารย์และสมาชิกทุกคนล้วนอยู่ในความปีติยินดี และยังมีความโศกเศร้าอยู่บ้างจางๆ
สำหรับราชวงศ์แล้ว นี่เป็นเสียงของตนที่ในที่สุดก็ส่งไปยังต้าลู่ หลังจากที่พวกเขาเงียบเหงากันมานาน ถึงแม้ว่าเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วจะไม่ได้คิดเช่นนี้อย่างแน่นอนก็ตาม แต่นี่ไม่มีทางส่งผลกระทบถึงตอนที่เฉินหลิวอ๋องมาเข้าร่วมพิธี เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีดวงตาจำนวนมากกำลังจับจ้องตนอยู่ เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตามหลังมาก็อาจจะรู้สึกถึงอันตราย ถึงได้ใช้มือพิงต้นไม้ และปลงอนิจจังนับหมื่นพัน
สำหรับนักเรียนใหม่ทั้งหนึ่งร้อยคนของสำนักฝึกหลวง นี่เป็นการเริ่มต้มใหม่ในชีวิตของพวกเขา และก็เป็นโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา
สำหรับตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง นี่เป็นสัญญาณหนึ่งที่ค่อนข้างจะอันตราย
แต่สำหรับม่ออวี่แล้ว นี่…ก็เป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่ง
“เจ้าเป็นเจ้าสำนักก็แล้วไป อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ใต้เท้าสังฆราชกำหนด องค์หญิงลั่วลั่วก็แล้วไป เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่ในนาม แต่ถังถังผู้นั้นที่แม้แต่ตัวเองยังจัดการไม่ได้ถึงกับเป็นผู้คุมกฎสำนัก เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าความเป็นไปได้มากที่สุดคือเขาจะนำพาพวกนักเรียนใหม่ให้เละเทะเป็นดินโคลน หลังจากนั้นก็โดดเรียนเสียทุกวัน เจ้าหมีตัวนั้นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไปหรือ เจ้าไม่กังวลว่าหัวหน้าพ่อครัวของหอเฉิงหูจะเห็นแก่เงินจนทำอาหารหม้อใหญ่ให้เขากินอยู่คนเดียว”
ม่ออวี่มองเฉินฉางเซิง หัวเราะเสียจนกิ่งดอกไม้สั่นไหว “ที่น่าตลกที่สุดก็คือเจ๋อซิ่วแล้ว สอนพวกนักเรียนใหม่ว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างไร พอถึงเวลาเขาก็จับพวกนักเรียนใหม่ฝังลงไปในกองหิมะ ถ้าออกมาก่อนเจ็ดวันก็จะถือว่าไม่ผ่าน นี่ ข้าว่าสรุปแล้วพวกเจ้าเตรียมโลงศพเอาไว้เท่าไหร่กันแน่”
ที่ห้องของเฉินฉางเซิงในอาคารหลังเล็ก เขากำลังนั่งอยู่ตรงข้ามนาง มองดูแล้วค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ที่สำคัญคือวันนี้มีเรื่องมากมาย แน่นอนว่าก็เกี่ยวข้องกับที่นางหัวเราะเยาะอย่างเต็มที่ในตอนนี้อย่างมาก
วันนี้ที่ม่ออวี่มายังสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าเป็นการมาดูเรื่องสนุก ในเวลาเดียวกันก็มาดูเรื่องตลก แต่นางไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพียงแค่รอให้เรื่องทั้งหมดจบลงไปแล้ว ถึงได้เข้ามาในห้องของเขาอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ก่อนที่นางจะมาถึงเห็นได้ชัดว่ามีการแต่งตัวอย่างประณีต มองดูแล้วงดงามเสียยิ่งกว่าในยามปกติมากนัก ดูมีความงามจับใจอยู่บ้าง
“ตั้งแต่เจ้าสำนักไปจนถึงผู้คุมกฎ ในตอนนี้คนที่ดูแลสำนักฝึกหลวง ถึงกับไม่มีสักคนที่อายุเกินยี่สิบปี…พวกเจ้ากำลังเล่นพ่อแม่ลูกกันอยู่หรือ”
ม่ออวี่ยิ่งหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ดอกไม้ทองคำที่เสียบอยู่บนเรือนผมสีดำยิ่งสั่นไหวขึ้นมา
“นี่ไม่ใช่เพราะถูกพวกเจ้าบีบหรอกหรือ” เฉินฉางเซิงไม่อยากฟังนางถากถางเช่นนี้ต่อไป จึงเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “ทำไมวันนี้ถึงได้แต่งกายมาอย่างเป็นทางการเช่นนี้ ที่ราชสำนักมีเรื่องเกิดขึ้นหรือ”
ม่ออวี่ชะงักไป ในใจคิดว่าตามปกติโดยพื้นฐานแล้วตนก็แต่งกายเช่นนี้ มีตรงไหนที่แปลกไปหรือ
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ นอกจากครั้งแรกที่เจอกันในพระราชวัง หลังจากนั้นในตอนที่นางเจอกับเฉินฉางเซิง ในตอนนั้นแน่นอนว่านางไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่อง เพราะล้วนเป็นหลังจากที่อาบน้ำอาบท่าแล้วถึงค่อยมา เป็นใบหน้าไร้การแต่งเติม คิดว่าจะต้องมีข้อแตกต่างจากตอนนี้อย่างมากจริงๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็มีความเขินอายขึ้นมาอยู่บ้าง นึกถึงเมื่อครั้งก่อนเฉินฉางเซิงบอกให้นางอาบน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยขึ้นเตียงของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา จึงถลึงตามองเขาอย่างแรงไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ทะยานออกจากหน้าต่างไปพร้อมกับสายลม และก็หายไปในป่าเช่นนี้
เฉินฉางเซิงคิดอย่างไม่เข้าใจ ที่ถังซานสือลิ่วพูดไว้ช่างมีเหตุผลนัก ผู้หญิงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจที่สุดในโลกจริงๆ เห็นชัดๆ ว่าตนไม่ได้พูดอะไร ทำไมนางถึงไม่พอใจขึ้นมาอย่างกะทันหันกัน
เขาไม่ได้โกหกม่ออวี่ ที่สำนักฝึกหลวงเกิดความคิดจะรับนักเรียนใหม่อย่างกะทันหัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงมีความกดดันมากเกินไป คนที่อยากจะท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงก็มีมากเกินไป เพียงแค่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงในวันนั้น คำพูดที่เปี๋ยเทียนซินกล่าวหาว่าพวกเขามีเจตนาชั่วร้าย และยังมีการรับปากของถังซานสือลิ่วที่ตามมาในภายหลังได้กระจายออกไปเป็นวงกว้างแล้ว ดังนั้นคนจำนวนมาก รวมไปถึงนักเรียนใหม่ทั้งหนึ่งร้อยคนล้วนอยากจะรู้ว่า ต่อไปสำนักฝึกหลวงจะทำอย่างไร
เช้าตรู่ของวันที่สอง การประลองที่หยุดมาหลายวันกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ชาวเมืองจิงตูที่พักไปหลายวันต่างล้วนวิ่งเต้นแจ้งข่าว จูงมือครอบครัวกันมา หน้าประตูสำนักฝึกหลวงพลันคึกคักอย่างหาใดเปรียบขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อคืนเฉินฉางเซิงได้เตรียมรายชื่อการประลองเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังทำการแนะนำนักเรียนใหม่ที่ออกไปสู้พวกนั้นตัวต่อตัว จึงสิ้นเปลืองแรงไปมาก ในตอนนี้เขาไม่ได้ออกมา แต่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในสำนัก
ถังซานสือลิ่วพานักเรียนใหม่มาสามสิบกว่าคน โดยยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง และไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่เห็นชุดของสำนักที่อยู่บนร่างของนักเรียนใหม่เหล่านั้น ก็รู้สึกว่ามีกำลังและพลังอย่างเต็มเปี่ยม
ในตอนนี้ คนแรกที่ท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงก็เดินออกมาแล้ว เขาผายมือออกมาแล้วพูดขึ้น “เชิญชี้แนะ”
คนผู้นี้มาจากสำนักจวนราชวังหลี ระดับการบำเพ็ญเพียรก็มาถึงขั้นทะลวงอเวจีขั้นต้นแล้ว
เขาอยากจะรู้อย่างมาก สำนักฝึกหลวงจะส่งใครมารับมือกับตน แน่นอน เขาชัดเจนดีว่าตนไม่ใช่คู่มือของพวกเฉินฉางเซิง แต่รูปแบบในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าสำนักฝึกหลวงน่าจะส่งนักเรียนใหม่มาสู้ เพียงแต่นักเรียนใหม่ที่อยู่ข้างหลังถังซานสือลิ่วเหล่านั้น จะมองอย่างไรก็ไม่มีคนที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี พวกเขาอาศัยอะไรมาสู้กัน
ไหนเลยที่ถังซานสือลิ่วจะสนใจว่าคนนอกพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขามองรายชื่อที่อยู่ในมือ แล้วพูดขึ้น “เฉินฟู่กุ้ยออกมา”
เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น นักเรียนใหม่ผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังของเหล่าเพื่อนร่วมสำนัก นักเรียนใหม่ผู้นี้ยังอายุไม่มาก แต่ร่างกายกลับใหญ่โต มองไปแล้วก็เหมือนกับเซวียนหยวนผ้อฉบับตัวเล็ก
ถังซานสือลิ่วไม่ยืดยาดแม้แต่น้อย เขาชี้ไปที่ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้น แล้วพูดกับเขา “สู้ได้หรือไม่”
นักเรียนใหม่ที่ชื่อเฉินฟู่กุ้ย ออกแรงทุบที่หน้าอกของตน แล้วพูดขึ้น “ต้องสู้ดูก่อนถึงจะรู้”
“มีความกล้าหาญ” ถังซานสือลิ่วดูแล้วเหมือนชื่นชม แต่ใบหน้ากลับไม่มีความตื่นเต้นใด แล้วพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด “เช่นนั้นก็ไปสู้ดู”
“ได้!” นักเรียนใหม่ที่ชื่อเฉินฟู่กุ้ยได้คำรามขึ้นมาเสียงดัง แล้วก็กระโดดลงมาจากบันไดหิน ราวกับเสือร้ายก็ไม่ปาน โดยที่พุ่งตรงไปยังผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้น
คนผู้นั้นถูกเสียงคำรามทำเอาตกอกตกใจ ในใจคิดหรือว่านี่จะเป็นยอดฝีมือที่สำนักฝึกหลวงซ่อนเอาไว้ จิตใจก็หวั่นไหวขึ้นมา เมื่อมองดูท่าทางเสือทะยานของนักเรียนใหม่ผู้นี้ ก็นึกไปถึงองค์หญิงลั่วลั่วในสำนักฝึกหลวงผู้นั้น และนึกไปถึงพลังอภินิหารที่น่ากลัวที่สุดของจักรพรรดิขาว พลันอดไม่ได้ที่จิตใจจะสับสน รู้สึกว่าเหมือนกับวิชาในตำนานวิชานั้นอย่างมาก ในจิตใต้สำนึกก็เกิดความกลัวขึ้นมาหลายส่วน
ในตอนที่สู้ ที่สำคัญที่สุดคือจิตใจที่มั่นคง ใจของเขาในตอนนี้สับสนขึ้นมา แน่นอนว่าจังหวะก็สับสนไปด้วย การเคลื่อนไหวก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะช้าลงไปสามส่วน หมัดที่ใหญ่โตราวกับหม้อดินของนักเรียนใหม่ผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว เขากังวลว่าเบื้องหลังของหมัดนี้จะมีกระบวนท่าที่ร้ายกาจอะไรซ่อนอยู่ เขาไม่กล้ารับตรงๆ จึงถอยหลบไป เพียงแต่ถอยหลบอย่างรีบเร่ง จึงไม่สามารถหลบหมัดของนักเรียนใหม่ผู้นั้นได้ทั้งหมด ข้างใบหน้ากลับถูกเฉียดผ่านไป เกิดเป็นความเจ็บแสบขึ้นมาบ้าง
ความเจ็บแสบนี้กลับทำให้เขาได้สติอย่างแท้จริง
เขาค้นพบอย่างตกตะลึงว่าเพลงหมัดของนักเรียนใหม่ผู้นี้ถึงแม้จะดูรุนแรง แต่กลับมีเพียงกระบวนท่าเท่านั้น ไร้ซึ่งสิ่งใดเลย อีกทั้งปราณแท้ที่อยู่ในหมัดยักษ์ทั้งสองก็อ่อนแอเสียจนน่าสงสาร! นี่เป็นเพียงแค่นักเรียนธรรมดาที่เพิ่งจะอยู่ในขั้นถอดจิตขั้นต้น ตนถึงกับทำเหมือนเจอศึกใหญ่ เกือบที่จะเสียเปรียบไปแล้ว! ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นี้ปะทุเพลิงโกรธลุกโหมอยู่ในใจ โมโหที่ตนโง่เขลาไปจนถึงความอ่อนแอของอีกฝ่าย เขาตะโกนเสียงดัง และฟันกระบี่ออกไป
“หยุด”
ในตอนนี้เอง เสียงเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น แสนสงบแต่กลับมีพลังอย่างมาก ราวกับว่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญอย่างมาก อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการประลองครั้งนี้หลายเท่าเกิดขึ้น
กระบี่ของผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้น พลันถูกจิตใต้สำนึกสั่งให้หยุดอยู่กลางอากาศ และหันมองไปทางเสียงที่ดังขึ้น