ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 61 ดอกไม้ป่าสองต้นที่เบ่งบานเต็มหน้าผา (ตอนกลาง)
“ข้าเคยพูดว่าจะจมพวกเขาให้ตาย นี่ก็คือน้ำท่วมเจ็ดกองทัพ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พัดในมือของถังซานสือลิ่วได้เปลี่ยนเป็นแอปเปิลเขียวลูกหนึ่ง เขาถือแอปเปิลเขียวแล้วชี้ไปที่โคมไฟในหอตำรากับเงาที่นักเรียนใหม่เหล่านั้นทิ้งเอาไว้ แล้วพูดขึ้น “สำนักฝึกหลวงมีคนมากขนาดนี้ อีกฝ่ายอยากจะให้พวกเราเหนื่อยตายก็ไม่ง่ายขนาดนั้น กลับกัน ข้าสามารถทำให้พวกเขาเหนื่อยตายได้”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “ข้าไม่เชื่อ”
ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “นี่เป็นจุดเริ่มต้น”
“จุดเริ่มต้น?” เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจจริงๆ
“จุดเริ่มต้นของเจ้า และก็เป็นจุดเริ่มต้นของสำนักฝึกหลวง ที่นี่จะต้องรับนักเรียนใหม่…” ถังซานสือลิ่วมองสำนักที่อยู่ในยามราตรีแล้วพูดขึ้น “สำนักฝึกหลวงที่มีคนเพียงคนเดียว ฟังดูแล้วแสนจะเท่ แต่ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่สำนักฝึกหลวง แต่เป็นเจ้าเพียงคนเดียว ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นสองคน สามคน สามสี่คน…ล้วนไม่ใช่สำนักฝึกหลวง มีเพียงในตอนนี้ถึงจะเป็นสำนักฝึกหลวง”
ในตอนนี้เริ่มดึกแล้ว แต่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟ เฉินฉางเซิงมองตามสายตาของเขาไป แล้วพูดพึมพำขึ้นมา “แต่ว่า จะต้องการคนจำนวนมากขนาดนี้ไปทำอะไรล่ะ”
“คนจำนวนมากกำลังก็มากไปด้วย” ถังซานสือลิ่วมองไปทางเขาแล้วพูดขึ้น “ในตอนนี้พวกเขายังอ่อนแอ และเยาว์วัยยิ่งนัก แต่ในภายหลังเล่า”
“ในภายหลังหรือ…” เฉินฉางเซิงน่าจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องในภายหลังมาก่อน เพราะว่าเขาเคยชินกับการที่เอาสายตามองอยู่ที่ก่อนจะถึงวัยยี่สิบปี แต่ว่าในตอนนี้ได้เห็นสำนักฝึกหลวงที่ส่องสว่างไปด้วยแสงจากโคมไฟ มองดูนักเรียนใหม่ผู้นั้นที่อ่านหนังสืออย่างสงบอยู่ที่ข้างหน้าต่าง มองดูเงาหลังของเด็กหนุ่มและเด็กสาวเหล่านั้นที่ข้างทะเลสาบ เขาพลันนึกถึงภาพเก่าที่ตนเคยจินตนาการขึ้นมาตอนที่ตนเพิ่งจะเข้าสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น เหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่เมื่อหลายสิบปีก่อนเคยอ่านหนังสือ มองทะเลสาบอยู่ในสำนัก ใบหน้าก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา ในใจคิดว่าไม่ว่าภายหลังจะเป็นเช่นไร แต่เช่นนี้ก็ดีแล้ว ไม่เห็นหรือว่าป่าที่เงียบสงบมาหลายปีนั่นในตอนนี้ก็ราวกับว่าตื่นขึ้นมาแล้ว
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “อย่าได้ลืม ภายหลังเจ้าจะต้องเป็นใต้เท้าสังฆราช”
ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้กัน ในอนาคตเฉินฉางเซิงจะต้องเป็นใต้เท้าสังฆราช แต่มีเพียงเขาแค่คนเดียวที่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง รู้สึกว่าแสนห่างไกล ไม่เคยคิดมาก่อนเลย เขาในตอนนี้ได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงแล้ว ห่างจากตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชที่ส่องสว่างอย่างไร้ขีดจำกัดเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แน่นอนว่าอำนาจของเขาในตอนนี้เทียบไม่ได้กับเหมาชิวอวี่ นักพรตซือหยวนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ แต่ลำพังเพียงแค่ลำดับศักดิ์สิทธิ์ ก็อยู่เทียบเท่ากับพวกเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว ตามคำพูดที่ใต้เท้ามุขนายกเคยพูดเอาไว้ในตอนนั้น เฉินฉางเซิงในตอนนี้จำเป็นต้องทำความเคารพเพียงแค่ใต้เท้าสังฆราชเท่านั้น ส่วนคนอื่นก็ล้วนไม่จำเป็น
“ใต้เท้าสังฆราช…ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ นะ”
“แน่นอนว่าไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีใต้เท้าสังฆราชยืนอยู่ที่ข้างหลังเจ้า บุคคลสำคัญอย่างนักพรตซือหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่นี้ เพียงแค่นิ้วเดียวก็สามารถบดเจ้าให้แหลกได้แล้ว…อันที่จริง ที่พวกเขายืนหยัดจะอยู่ข้างเดียวกับตระกูลเทียนไห่ ข้าคิดว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือใต้เท้าสังฆราชเลือกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ในอนาคตถ้าหากเจ้าอยากจะกลายเป็นใต้เท้าสังฆราช ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว”
เฉินฉางเซิงคิดในช่วงหลายวันนี้ภายในนิกายหลวงได้มีการเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ คิดแล้วว่านั่นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการการประลองระหว่างสำนักที่เล่นงานสำนักฝึกหลวง เขารู้ว่าการคาดการณ์ของถังซานสือลิ่วนั้นถูกต้อง เมื่อเทียบกับราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงอย่างแท้จริงเหล่านั้น ตัวเขานอกจากการสนับสนุนของใต้เท้าสังฆราชกับมรดกของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาแล้ว ในนิกายหลวงก็ไม่ได้มีรากฐานใด คิดจะเป็นใต้เท้าสังฆราชในรุ่นต่อไป ในวันเวลาต่อจากนี้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากและการท้าประลองอีกนับไม่ถ้วน เขาจะสามารถรับมือได้อย่างไร
“สำนักฝึกหลวงก็คือรากฐานของเจ้า หลายสิบปีต่อจากนี้ อาจารย์และนักเรียนที่ออกจากสำนักแห่งนี้ไป ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ ก็ล้วนถูกมองว่าเป็นคนของเจ้าทั้งนั้น”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้น “ตระกูลเทียนไห่กับใต้เท้ามุขนายกทั้งสองคนนั้นจะต้องยังมีแผนการรับมืออีกมาก กระทั่งอาจจะอาศัยเรื่องการท้าประลองสำนักฝึกหลวงนี้ สร้างความลำบากให้กับใต้เท้าสังฆราชโดยตรง แต่ในตอนนี้ได้ถูกเรื่องเหลวไหลของพวกเขาสะกดเอาไว้ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นแน่นอนว่าความกดดันทั้งหมดก็จะมีเพียงสำนักฝึกหลวงที่จะต้องแบกรับโดยลำพัง เจ้าจำเป็นจะต้องคุ้นเคยกับเรื่องนี้ เพราะว่าในอีกหลายสิบปีให้หลัง เจ้าอาจจะได้เผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้ได้ตลอดเวลา”
เฉินฉางเซิงได้ฟังคำพูดนี้จนจบถึงได้รู้ว่าที่แท้เรื่องนี้ก็ซับซ้อนถึงเพียงนี้ จึงพูดขึ้นอย่างละอายใจ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ เช่นนี้แล้ว ยังดีที่ข้าไม่ได้ไปที่พระราชวังหลี”
“ต่อให้เจ้าไปที่พระราชวังหลีเพื่อขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าสังฆราช ถ้าเขาแน่ใจว่าสำนักฝึกหลวงยังสามารถยื้อเอาไว้ได้ ก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดขึ้นมา”
ถังซานสือลิ่วมองดวงตาของเขาแล้วพูดขึ้น “เพราะว่าใต้เท้าสังฆราชกับพวกข้านี้มีความคิดที่เหมือนกัน พวกข้าหวังให้เจ้าเคยชินกับความกดดันเช่นนี้ให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นก็รีบเติบโตขึ้นมา”
“เรื่องราวเหล่านี้…ซับซ้อนเกินไปแล้ว” เฉินฉางเซิงพูดขึ้นมาจากใจจริง “ข้าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างไร”
วิเคราะห์อย่างละเอียด คาดเดาใจคน นี่เป็นเรื่องที่บุคคลอย่างคนชุดดำกุนซือแห่งเผ่ามารกับโจวทงเชี่ยวชาญที่สุด
เฉินฉางเซิงรู้สึกมาโดยตลอดว่านี่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลก ยากเสียยิ่งกว่าเพลงกระบี่รอบรู้หลายเท่าตัว
พอดีกับที่ถังซานสือลิ่วก็นึกถึงเพลงกระบี่นั้นที่ซูหลีสอนให้กับเฉินฉางเซิง จึงพูดขึ้น “แม้แต่เพลงกระบี่รอบรู้เจ้ายังเรียนได้ ทำไมถึงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ก็แค่เจ้าขี้เกียจจะคิดก็เท่านั้น”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้กำลังปลอบใจเจ้า” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “วันนั้นเจ้าพูดว่าข้าเหมือนกับซูหลีอย่างมาก ที่จริงในภายหลังข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าคล้ายกับคนผู้หนึ่งนัก”
“หวังผ้อหรือ” เฉินฉางเซิงมองเขาอย่างคาดหวัง
“เจ้าคนที่ทำหน้าอมทุกข์นั่น…เหมือนกับเจ้าตรงไหน” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าพูดถึงใต้เท้าสังฆราช”
เฉินฉางเซิงได้ยินก็อึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าตนกับใต้เท้าสังฆราชมีตรงไหนที่เหมือนกัน
“ตอนยังเด็กท่านปู่ของข้าเคยพูดกับข้าว่า ในตอนนั้นนิกายหลวงในสายหลักมีผู้สืบทอดเพียงแค่สองคน คือใต้เท้าสังฆราชกับอาจารย์ของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในด้านการบำเพ็ญเพียรหรือในด้านสติปัญญา ใต้เท้าสังฆราชล้วนเทียบไม่ได้กับอาจารย์ของเจ้า ภายหลังทั้งสองคนต่างแยกกันไปเล่าเรียนที่สำนักเทียนเต้ากับสำนักฝึกหลวง ความแตกต่างของทั้งสองก็ยิ่งห่างออกไปไกล แต่เมื่อผ่านไปอีกไม่ถึงสิบปี ใต้เท้าสังฆราชก็ไล่ตามทันแล้ว เพราะว่าเขาไม่เหมือนอาจารย์ของเจ้าที่มีชั้นเชิงแพรวพราวเช่นนั้น และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนัก เขาเพียงแค่เล่าเรียนอยู่ในสำนักเทียนเต้า จิตใจไม่มีความฟุ้งซ่าน ดังนั้นระดับพลังจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าพูดว่าเจ้าเหมือนกับใต้เท้าสังฆราชอย่างมาก ก็เพราะว่าพวกเจ้าทั้งสองคนล้วนมุ่งมั่น และเสียดายเวลาเป็นอย่างมาก”
เฉินฉางเซิงลองคิดดูแล้ว จึงพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
เพราะว่าเงามืดนั้น เขาถึงได้จริงจังอย่างมากมาโดยตลอด การบำเพ็ญเพียรก็มุ่งมั่นเป็นอย่างมาก แสนจะเสียดายเวลา เพียงแต่นึกไม่ถึงเลย ในตอนแรกใต้เท้าสังฆราชเองก็จะเป็นคนเช่นนี้
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “ที่จริงข้าอยากรู้มาโดยตลอด เจ้าเสียดายเวลาเช่นนี้ หรือพูดอีกอย่างคือ ดูรีบร้อนเช่นนี้ตลอด…เจ้ากำลังรีบร้อนในเรื่องอะไรกันแน่ สรุปแล้วเจ้าคิดจะทำอะไร”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา
“เจ้าไม่อยากพูดก็แล้วไป คิดว่าพูดออกมาก็คงฟังดูแล้วบ้าบอ ก็เหมือนในตอนแรกที่พูดว่าจะเอาอันดับหนึ่งของการสอบใหญ่มานั่น อยากจะกลายเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สองหรือ”
ถังซานสือลิ่วไม่รอคำตอบของเขา มองเขาแล้วแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นอะไร แต่คิดว่าจะต้องน่าสนใจอย่างมากเป็นแน่ ในภายหลังข้าจะดูเจ้าทำเรื่องนั้นให้สำเร็จ”
เฉินฉางเซิงคิดดูแล้ว ก็ยังไม่ได้พูดคำว่าขอบคุณทั้งสองคำออกมา แต่กลับถามขึ้น “เจ้าล่ะ เจ้าอยากจะทำอะไร ทำไมช่วงนี้ถึงได้จริงจังขึ้นมา…ทำไมถึงได้ช่วยข้า”
ในหลายๆ ครั้ง คำถามอย่างทำไมถึงได้ช่วยข้าเช่นนี้ เป็นคำถามที่สามารถทำให้บรรยากาศแย่ลงมาได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าเขากับถังซานสือลิ่วสนิทกันอย่างมากแล้ว เขาไม่ใส่ใจ ถังซานสือลิ่วก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“ก่อนที่จะเข้ามาในจิงตู ข้าไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่าในอนาคตจะทำอะไร” ถังซานสือลิ่วเดินไปที่ใต้ต้นไทรย้อย มองดูแสงดาวที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบ หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “บางที ในอนาคตตัวข้าจะต้องทำอะไร ก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นให้ข้าต้องไปคิด”
เฉินฉางเซิงเดินมาอยู่ที่ข้างเขา มองเขาแวบหนึ่ง พบว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้สงบอย่างเห็นได้ยาก
“ตอนที่ประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนอันดับ เจ้ายังจำคำพูดของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้ไหม เขาพูดว่าข้าขี้เกียจ ไม่เช่นนั้นก็คงขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋นตั้งนานแล้ว”
“ใช่ ข้ายังจำได้อย่างชัดเจน แต่พอได้เห็นท่าทางของเจ้าที่นอกสุสานเทียนซูในวันนั้น ก็คิดไม่ถึงอยู่บ้างจริงๆ”
“ขี้เกียจ…ก็คือไม่อยากจะทำ เพราะว่าตั้งแต่เด็กข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องใด”
สายลมในยามราตรีค่อยๆ หยุดลง ผิวทะเลสาบเริ่มนิ่งสนิท แสงสะท้อนของดวงดาวที่อยู่บนผิวน้ำเหล่านั้นก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วมองไปทางด้านนั้น แล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ใครจะได้เป็นใต้เท้าสังฆราช ของเพียงแค่มนุษย์ไม่ถูกเผ่ามารจับไปเป็นทาส ตระกูลของข้าก็สามารถดำรงอยู่ได้เป็นอย่างดี และข้าก็ถูกกำหนดให้เป็นประมุขของตระกูลถัง อะไรก็ไม่ต้องทำ ก็สามารถอยู่อย่างหรูหราไปได้ตลอดชีวิต มีอำนาจสถานะสูงส่ง ข้าจะพักอยู่ในจวนที่หรูหราที่สุดในโลก ข้าจะได้แต่งภรรยาที่เป็นกุลสตรีที่สุด ข้าจะได้ดื่มสุราที่แพงที่สุด ได้ขี่ม้าที่เร็วที่สุด สร้างคณะละครที่ดีที่สุด และในอนาคตก็จะกลายเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในโลก ในเมื่อเรื่องเหล่านี้ได้ถูกำหนดเอาไว้แล้ว ข้าจะยังต้องพยายามอะไรอีก”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู แล้วถามขึ้น “เช่นนั้น การบำเพ็ญเพียรเล่า”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พูดว่าหากข้าขยันขึ้นมา ก็จะสามารถอยู่ในสิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋น แต่…นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับสวีโหย่วหรง เจ๋อซิ่ว แล้วก็เจ้า”
เฉินฉางเซิงนึกขึ้นมาได้ ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมที่สวนหลีจื่อ เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ในตอนนั้นคำที่ถังซานสือลิ่วใช้ก็คือ สตรีที่ทำให้คนไร้คำจะพูดผู้นั้นไปจนถึงเจ้าหมาป่านั่น
เขามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดปลอบใจขึ้น “สามารถอยู่ในสิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋นก็ไม่เลวแล้ว”
“ที่จริงก็ไม่เลว แต่ก็ยังแย่กว่าพวกตัวประหลาดอย่างพวกเจ้าอยู่บ้าง ต่อให้จะแย่กว่าเพียงแค่เล็กน้อย แต่อย่างไรเสียก็คือแย่” ถังซานสือลิ่วชะงักไป แล้วพูดขึ้น “ในเมื่อทำให้ดีที่สุดไม่ได้ แล้วยังจะมีความหมายอะไร”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร จึงเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “เช่นนั้นทำไมในตอนนี้เจ้าถึงไม่ขี้เกียจแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในตอนที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พูดถึงประกาศชิงอวิ๋นเคยพูดไว้ เพราะว่าข้าได้พบเข้ากับโอกาส”
“โอกาสอะไร ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“ปัญญาอ่อน คำพูดนี้ไม่ใช่ว่าก็หมายถึงเรื่องที่ข้าพบเจ้าหรือ”
“ข้าทำไมอีกแล้ว” เฉินฉางเซิงไม่คิดจริงๆ ว่าตนมีตรงไหนที่ยอดเยี่ยม
และก็เหมือนที่ถังซานสือลิ่วพูดไว้เมื่อหลายวันก่อนนั่น เป็นอัจฉริยะแต่ไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในสายทางเดียวกันโมโหและเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
เขามองเฉินฉางเซิงแล้วส่ายหัว พลางพูดขึ้น “ข้าไม่เคยเจอคนแบบเจ้ามาก่อน บนโลกใบนี้คนที่เหมือนกับเจ้าก็น่าจะน้อยยิ่งกว่าอาชาเขาเดี่ยวที่มีสีขาวทั้งตัวเสียอีก เพราะว่าเจ้ามีชีวิตอย่าง…จริงจังเกินไป ถูกต้องเกินไป ถึงแม้ว่าในตอนนี้ข้าจะยังไม่รู้ว่าเจ้ากำลังไล่ตามสิ่งใด แต่ความรู้สึกเช่นนั้น…มันน่าสนใจอย่างมาก”