ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 65 ภูเขาลูกหนึ่ง ดูคนผู้หนึ่ง
ม่ออวี่มองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “สุดท้ายแล้วก็ยังต้องดูการตัดสินใจของตัวเจ้าเอง หน้าหากเอาตามความคิดของข้า เจ้าชนะนางจะดีที่สุด อย่างไรเสียข้าก็มองนางแล้วขัดลูกตา”
เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่าเจ้ากับนางเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างมาก”
“ระหว่างเพื่อนกันก็มักจะมองกันแล้วขัดลูกตาได้ง่ายที่สุด”
ม่ออวี่หันกายเดินจากหอตำราไป
ตอนที่เฉินฉางเซิงคุยกับม่ออวี่ ถังซานสือลิ่วรักษาความเงียบมาโดยตลอด จนกระทั่งเงาของนางหายลับไปจากด้านนอกของหอตำรา เขาถึงได้เดินมาที่ตรงหน้าของเฉินฉางเซิง จ้องมองตาของเขาโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
“ท่าทางของเจ้าเช่นนี้ค่อนข้างจะน่ากลัว” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น
ถังซานสือลิ่วจ้องตาของเขาแล้วพูดขึ้น “ล้วนพูดกันว่าดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจ ข้าอยากจะมองดู สรุปแล้วเจ้ามีเรื่องมากน้อยเท่าไหร่ที่ปิดบังพวกข้าอยู่”
“ข้าปิดบังอะไรเจ้า”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้ากับแม่นางม่ออวี่สนิทกันขนาดนี้”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร
ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่กันคนละฝั่ง ส่วนตัวกลับมีการติดต่อกัน…แต่นี่ก็ยังเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือเหตุผลที่เขากับม่ออวี่รู้จักกันก็ไม่อาจพูดออกไปได้จริงๆ ม่ออวี่จะมีสถานะสูงส่งอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง ชื่อเสียงนั้นสำคัญ เขาก็ไม่สามารถจะประกาศกับทั่วทั้งโลกได้ว่า ม่ออวี่ที่ในสายตาของชาวโลกนั้นเป็นดั่งเทพธิดา ตอนที่ไม่มีอะไรทำก็มักจะปีนขึ้นมานอนอยู่บนเตียงของเขา…
“เฉินฉางเซิง เจ้าใช้ได้เลยนะ” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ฝักกระบี่ก็คือศาสตราเทพของพระราชวังหลีซ่อนคม กระบี่เองก็กลายเป็นหนึ่งในอันดับร้อยศาสตรา คู่หมั้นคือสวีโหย่วหรง ลูกศิษย์หญิงคือลั่วลั่ว ในตอนนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับแม่นางม่อที่ผู้ชายทุกคนในต้าโจวล้วนชื่นชอบอีก…”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างจริงจัง “คำพูดนี้ต้องพูดให้ชัดเจน แม้แต่มือของนางข้าก็ยังไม่เคยสัมผัส”
สีหน้าของถังซานสือลิ่วเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ แต่นาทีถัดมาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มองมาที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ห่างนางให้ไกลหน่อย”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา จึงพยักหน้าลง
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “จำคำพูดของข้าเอาไว้ สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งนิสัยยังเย็นชา ต่อให้เป็นการทำการค้า ก็อย่าไปเลือกนาง”
เฉินฉางเซิงนึกถึงตอนแรกที่ตนถูกม่ออวี่ขังเอาไว้ที่วังถง จึงพยักหน้าขึ้นอีกครั้ง
หลังจากนั้น เขาก็นึกถึงมังกรดำตัวนั้นที่อยู่ในส่วนลึกของวังถง และพบว่าในช่วงนี้เพราะว่ายุ่งยิ่งนัก จึงเป็นเวลาหลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปที่สะพานอุดรใหม่
“ช่วงค่ำข้ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอกสักรอบ” เขาพูดกับถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วมองเขา แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ดูเอา นี่ก็เป็นความลับอีกอย่างหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงยิ้มขึ้นมา โดยไม่ได้พูดอะไร
ถังซานสือลิ่วโอบไหล่เขาแล้วออกจากหอตำรา พลางพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เรื่องนั้นหลังจากนี้ข้าจะไม่โทษเจ้าแล้ว”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ จึงมองเขาแล้วถามขึ้น “เรื่องอะไร”
“เมื่อปีก่อนในโรงเตี๊ยม ข้าต้องการจะหยิบกระบี่ของเจ้า แล้วเจ้าไม่ให้ข้าหยิบ เรื่องนี้ทำให้ข้าไม่พอใจมาโดยตลอด…ตอนนี้คิดดูแล้ว ในตอนนั้นเพิ่งจะได้รู้จักกับเจ้า เจ้าระวังสักหน่อยก็ถือว่ามีเหตุผล”
หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ผู้นั้น เมื่อครู่เพิ่งจะยืนยันมูลค่ากระบี่เล่มนั้นของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วลองถามตัวเอง ถ้าหากเป็นตน ก็จะมองกระบี่เล่มนี้เป็นดั่งสมบัติ แน่นอนว่าต้องไม่ยอมให้คนเห็นง่ายๆ
เฉินฉางเซิงชะงักไปถึงได้นึกเรื่องเก่าเรื่องนี้ออก จึงส่ายหน้าพูดขึ้น “เจ้าเองก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปหน่อยแล้ว”
คิ้วกระบี่ของถังซานสือลิ่วเลิกขึ้น พลางเอ่ยพูด “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าดวงดาวที่ทางเผ่ามารนั้นเห็นจะน้อยกว่าทางพวกเรา”
นี่เป็นเรื่องที่คัมภีร์เต๋าบันทึกเอาไว้ อีกทั้งไม่นานมานี้ เฉินฉางเซิงก็เพิ่งกลับมาจากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามาร แน่นอนว่าต้องรู้อย่างชัดเจน จึงพยักหน้าขึ้นมา
“ตอนกลางคืนท้องฟ้าของพวกเราทุกที่ล้วนเป็นดวงดาว แต่ทางพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน มีบางที่ที่ดวงดาวแน่นหนา มีบางที่ที่ดวงดาวห่างกัน ดวงดาวที่อยู่ใกล้กันสามารถเชื่อมโยงกันจนกลายเป็นรูปภาพ”
“ข้ารู้ กระบี่ไขว้ทักษิณของหนานเค่อก็บรรลุมาจากทางช้างเผือกทั้งสองสายที่อยู่บนท้องฟ้าของพวกเขา”
“ทางช้างเผือกกว้างใหญ่อย่างมาก ที่พวกเราจะพูดคือเรื่องที่อยู่ในทางช้างเผือก”
“เรื่องอะไร”
“เผ่ามารจะเรียกดวงดาวที่รวมกลุ่มแต่ต่างกันเป็นกลุ่มดาว โชคชะตาของวันเกิดที่แตกต่างกันก็จะขึ้นอยู่กับกลุ่มดาวที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน”
“แล้ว?”
“ถ้าหากอยู่ที่เผ่ามาร คำนวณจากวันที่ข้าเกิด ข้าก็น่าจะอยู่ในกลุ่มดาวแมงป่อง”
เฉินฉางเซิงหยุดเท้าลง เขานึกขึ้นมาว่าในคัมภีร์เต๋ามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องบันทึกเอาไว้จริงๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ถังซานสือลิ่วถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ต้องรู้ว่าเบื้องหลังทางวัฒนธรรมของเผ่ามารกับมนุษย์นั้นต่างกัน และในพื้นที่ของแต่ละฝ่าย สัญลักษณ์หรือสิ่งที่ถูกยกย่องของอีกฝ่าย ก็ยิ่งกลายมาเป็นสิ่งต้องห้าม
“ใช่แล้ว เมื่อครู่หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ผู้นั้น…” เขาหยุดลงอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเขาพบว่า ตนถึงกับลืมไปว่าหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
การดูกระบี่เพิ่งผ่านไปได้ครู่เดียว เดิมทีความจำของเขาก็ดี จะสามารถลืมหน้าตาของคนที่เพิ่งพบไปได้อย่างไร
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ยินเขาถามถึงเรื่องกลุ่มดาวต่อ กำลังไม่ค่อยพอใจอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป
เพราะเขาพบว่าตนเองก็ลืมไปว่าหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร กระทั่งตามการย้อนนึกกลับไป เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ถึงกับเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่เรื่องทั้งหมดที่เปลี่ยนเป็นเลือนรางขึ้นมา มีเพียงหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้น เขาถึงขนาดมีความรู้สึกว่า ที่ดูกระบี่อยู่ในหอตำราก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่เขา เฉินฉางเซิงกับม่ออวี่เพียงแค่สามคน
เฉินฉางเซิงสบตากับเขา และต่างมองเห็นถึงความไม่สงบและความหวาดกลัวอยู่ภายในดวงตาของแต่ละฝ่าย
หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ
หัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้นเป็นใครกัน
เขา…เป็นใครกันแน่
……
……
หลังจากที่หัวหน้าผู้ดูแลออกจากสำนักฝึกหลวงไป เขาก็ไม่ได้รอม่ออวี่ แต่ตรงเข้าพระราชวังเลย
ที่ต้อนรับเขาที่หน้าพระราชวัง ก็คือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้นั้น
บนใบหน้าของหัวหน้าขันทีผู้นั้นมีความหยิ่งยโสอยู่จางๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าองครักษ์หรือขันทีคนอื่นทำความเคารพ เขาก็เพียงแค่เชิดหน้าส่งเสียงรับเท่านั้น แน่นอนว่าก็ไม่มีทางพูดกับหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้น
ไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่ออยู่ในส่วนลึกของพระราชวังที่เงียบเชียบไร้ผู้คน ความหยิ่งยโสที่อยู่บนใบหน้าของหัวหน้าขันทีผู้นี้ล้วนไม่เห็นแล้ว ขณะเขาพูดขึ้นเสียงเบากับหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้น สีหน้าถึงขนาดที่แสดงความนอบน้อมถ่อมตนออกมา
ในดินแดนต้าลู่แห่งนี้ คนที่มีคุณสมบัติให้หัวหน้าขันทีผู้นี้นอบน้อมถึงเพียงนี้ ไม่มีทางเกินสิบคน
ในโลกนี้ หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์แน่นอนว่าก็เป็นบุคคลสำคัญเช่นกัน แต่ไม่มีทางอยู่ในรายชื่อของคนทั้งสิบคนนี้
ดังนั้นที่จริงก็ง่ายดายอย่างมาก ผู้เฒ่าผู้นี้ไม่ใช่หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์
ถึงแม้ว่าเขาจะมาจากหอความลับสวรรค์จริงๆ
ในตำหนักที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับผู้เฒ่าผู้นี้ได้พบกันแล้ว
แม้แต่นาง ก็ยังแสดงออกต่อผู้เฒ่าผู้นี้ด้วยความเคารพอย่างมาก นางเชิญให้เขานั่งลงก่อน หลังจากนั้นตนถึงได้นั่งลงไป
สถานะของผู้เฒ่าจนถึงตอนนี้ก็สามารถมองเห็นได้แล้ว
การสนทนาครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับผู้เฒ่าที่มาจากหอความลับสวรรค์ผู้นี้ พูดกันเพียงแค่สามประโยค
สองประโยคในนั้นเป็นผู้เฒ่าผู้นี้ที่พูดออกมา
“เขาแซ่เฉิน”
“ข้ามองไม่ออกว่าเขาอายุเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินสองประโยคนี้แล้ว จักรพรรดินีก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นถึงได้มองไปที่ผู้เฒ่าแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “ลำบากแล้ว ทิวทัศน์ของภูเขาหลางหยานั้นไม่เลวเลย ภายหลังถ้ามีโอกาสข้าจะไปเป็นแขก”
ผู้เฒ่าพยักหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วก็ออกจากพระราชวังไป
ในตอนนั้น น้ำชาร้อนๆ เพิ่งจะถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะ ยังมีไอร้อนอยู่เลย
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไอสีขาวที่อยู่ด้านบนถ้วยชา เหม่อลอยไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ภูเขาหลางหยาเป็นภูเขาที่มีชื่อลูกหนึ่งที่ข้างทะเลตะวันตก มีพื้นที่หลายร้อยลี้ ทิวทัศน์งดงาม พูดกันว่าในช่วงที่อากาศดีที่สุด เมื่อยืนอยู่ที่ยอดสูงสุดจะสามารถเห็นกวางเขาขาวของดินแดนต้าซีได้
ภูเขาลูกนี้เคยเป็นของเทียนหนาน และก็เคยตกเป็นของต้าซี ในช่วงสองร้อยปีมานี้ ก็เป็นพื้นที่ของต้าโจว เพียงแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ดังนั้นก็ยังคงเป็นพื้นที่ไร้เจ้าของในนามอยู่
ก่อนหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดว่า เมื่อมีโอกาสจะไปเป็นแขกที่ภูเขาหลางหยา ความหมายก็คือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าโจวก็จะไม่ใช่เจ้าของภูเขาหลางหยาอีกแล้ว
ภูเขาหลางหยา ในวันนี้ได้เปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว
ภูเขามีชื่อที่อยู่ข้างทะเลลูกนี้ เป็นค่าตอบแทนที่นางจ่ายเพื่อเชิญผู้เฒ่าผู้นั้นมาที่จิงตู
เพื่อสิ่งนี้ ผู้เฒ่าเพียงแค่ต้องมองดูแวบหนึ่ง
แน่นอนว่าไม่ใช่การดูกระบี่ แต่เป็นดูคน
ถึงแม้กระบี่ไร้ราคีจะเป็นศาสตราเทพ และจะถูกบันทึกเข้าไปในอันดับร้อยศาสตรา แต่ไหนเลยจะคุ้มค่ากับภูเขาหลางหยาลูกหนึ่ง
ที่คุ้มค่ากับราคานี้จริงๆ คือเฉินฉางเซิง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูไอสีขาวที่ค่อยๆ กระจายออกไป นางกำลังคิดถึงคำพูดสองประโยคนั้นที่ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าได้ทิ้งเอาไว้ นิ่งเงียบไม่พูดจา
เฉินฉางเซิงแน่นอนว่าต้องแซ่เฉิน
ผู้เฒ่าพูดว่าเขาแซ่เฉิน ความหมายก็คือ เขาเป็นคนในราชสกุลเฉิน
คนจำนวนมากล้วนรู้กัน ว่าปีนี้เฉินฉางเซิงอายุสิบหกปี
ผู้เฒ่าพูดว่ามองอายุของเขาไม่ออก เช่นนั้นก็หมายความว่า เขาอาจจะยังมีอายุไม่ถึงสิบหกปี และก็เป็นไปได้ว่าอายุที่แท้จริงจะมากยิ่งกว่านี้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมาและเดินออกไปทางนอกตำหนัก
แขนเสื้อโบกขึ้นเบาๆ ไอร้อนที่เกิดจากชาที่อยู่บนโต๊ะถ้วยนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา น้ำชาที่อยู่ในถ้วยก็เปลี่ยนไปเป็นน้ำแข็ง
เมื่อเดินไปถึงนอกตำหนัก นางเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง มองดูสระน้ำสระน้อยที่อยู่ตรงหน้า ค่อนข้างจะดูหยิ่งยโสอยู่บ้าง
เพียงแต่ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
น้ำในสระนั้นมีสีเขียวและนิ่งสงบเป็นอย่างมาก เมื่อถูกสายลมในยามราตรีพัดผ่านเบาๆ ก็เกิดเป็นวงคลื่นเล็กๆ ขึ้น
นางยืนอยู่ที่ข้างสระเป็นเวลานาน ตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ตก หลังจากนั้นเวลาค่ำคืนก็มาถึง
น้ำจุดหนึ่งในสระพลันเริ่มแยกออก เหมือนกับว่าด้านล่างมีอะไรบางอย่างจะโผล่ขึ้นมา