ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 68 ข้าต้องการดูใบหน้าของเจ้า
ตำหนักในยามค่ำคืนแสนจะหนาวเย็น ที่สระกับสวนเล็กก็หนาวเย็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นค่ำคืนฤดูร้อนก็ตาม
ที่ข้างสระไม่ได้มีเพียงแค่สองคน แต่ยังมีแพะดำตัวนั้นด้วย มันก็อยู่ที่พุ่มไม้ด้านข้างไม่ไกล
เฉินฉางเซิงได้เห็นสตรีวัยกลางคนผู้นั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยเห็นเจ้าแพะดำ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น จะต้องตกใจไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาไม่ เพราะว่าเขาเคยชินแล้วว่าทุกครั้งหลังจากที่ออกมาจากใต้สะพานอุดรใหม่ ล้วนจะเห็นแพะดำตัวนี้อยู่ที่ข้างสระ ส่วนสตรีวัยกลางคนผู้นั้นเขาเองก็ไม่ได้แปลกหน้า ครั้งแรกที่เขาออกมาจากในสระ เขาก็เห็นนาง
อยู่ภายในพระราชวัง หากทำให้คนในพระราชวังรู้ตัวก็จะวุ่นวายไปใหญ่ เขาไม่พูด และประสานมือทำความเคารพสตรีวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสระไปครั้งหนึ่ง
ท่าทีของเขาดูมีมารยาทอย่างมาก การเคลื่อนไหวก็แม่นยำ เพียงแต่ตัวเขาในตอนนี้เปียกไปทั้งตัว ทำความเคารพอย่างระมัดระวังขนาดนี้ มองดูแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะดูตลกอยู่บ้าง
แพะดำมองเขาผ่านใบไม้ แล้วหันหน้าไปน้อยๆ ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก และพูดกับสตรีวัยกลางคนว่าตนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า รบกวนให้นางหันกายหลบไปรอสักครู่
หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากพูดกับแพะดำ “หลับตาลง”
เขาคิดมาตลอดว่าสตรีวัยกลางคนเป็นใบ้ แน่นอนว่าสามารถเข้าใจภาษาใบ้ที่ตนเรียนมาจากศิษย์พี่อวี๋เหริน อันที่จริง นางก็รู้ภาษาใบ้จริงๆ
แต่นางไม่ได้หันหลบไป เพราะว่าบนโลกไม่มีเรื่องอะไรที่มีสิทธิ์ให้นางหันหลบไป
แพะดำเองก็ไม่ได้หลับตา แต่กลับเบิกตาให้โตขึ้นมาอีกหน่อย เมื่ออยู่ในยามค่ำคืนก็ดูส่องสว่างเป็นอย่างมาก
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาเปียกไปทั้งตัว มีน้ำหยดลงมาจากร่างไม่หยุด มองดูแล้วน่าสงสารเป็นอย่างมาก
สตรีวัยกลางคนดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจการตอบสนองของเขา จึงโบกแขนเสื้อขึ้นมา
มีสายลมยามราตรีจากทางสระน้ำพัดขึ้นมา โอบผ่านร่างของเขาไป
สายลมในค่ำคืนฤดูร้อนไม่ได้แห้งผาก แต่มีความร้อนอยู่บ้าง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชุดของเขาก็แห้งแล้ว จากด้านในจนถึงด้านนอก แห้งสบายอย่างหาใดเปรียบ
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็มองเห็นสตรีวัยกลางคนผู้นั้นไพล่มือเดินไปทางด้านนอกของสวน
แพะดำมองเขาแวบหนึ่ง และหันหน้าเดินออกมาจากพุ่มไม้ ตามหลังสตรีวัยกลางคนไป
จากปกติที่เขาเดินจากพระราชวังกลับไปที่สำนักฝึกหลวง ล้วนเป็นแพะดำที่นำทางอยู่ด้านหน้า ต่อให้ในภายหลังเขาจะมีกุญแจแล้วก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ความเคยชินก็มักจะแข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบ
ดังนั้นเขาจึงเดินตามแพะดำกับสตรีวัยกลางคนเข้าไปในยามค่ำคืนของพระราชวัง หลังจากนั้นก็เดินผ่านประตูลับที่เงียบสงบนั่น มาถึง…สวนร้อยหญ้า
ลั่วลั่วในตอนนี้พักอยู่ที่พระราชวังหลีเป็นเวลาหนึ่งเดือน พักที่พระราชวังเป็นเวลาหนึ่งเดือน สวนร้อยหญ้าจึงไม่มีคนพักอยู่นานแล้ว
นอกจากแอบเข้ามาเก็บสมุนไพรกับถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้เข้ามาที่นั่นเป็นเวลานานแล้ว
แต่สวนร้อยหญ้ากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเลย ทางเดินยังคงอ้อมอย่างมาก ต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้าในนั้นยังคงเจริญเติบโตเป็นอย่างดี และบดบังเส้นทางทั้งหมดไปกว่าครึ่ง โต๊ะที่อยู่ในป่าตัวนั้นก็ยังคงอยู่ที่เดิม บนโต๊ะหินนั้นยังมีกาน้ำชา กับถ้วยชาสองใบวางเรียงอยู่ เพียงแต่ชาในวันนี้เป็นชาขาว น้ำชาใสเป็นอย่างมาก แต่กลิ่นกลับหอมหวนอย่างมาก
เขามีหลายเรื่องอย่างมากที่ไม่อาจเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นในสวนร้อยหญ้าไม่มีคนอยู่ชัดๆ ทำไมบนโต๊ะหินถึงได้มีกาน้ำชากับถ้วยชา ทำไมน้ำชาในกาถึงเป็นของต้มใหม่ อุณหภูมิก็กำลังพอดี ไม่ร้อนและก็ไม่เย็นเกินไป ยกตัวอย่างเช่นแพะดำตัวนี้ เคยได้ยินม่ออวี่พูดว่าถูกเลี้ยงอยู่ในพระราชวัง ทำไมถึงได้สนิทสนมกับสตรีวัยกลางคนถึงเพียงนี้ ยกตัวอย่างเช่นทำไมสตรีวัยกลางคนผู้นี้เพียงแค่โบกแขนเสื้อ ก็มีสายลมพัดเป่าเส้นผมกับชุดของเขาจนแห้ง ยกตัวอย่างเช่นสตรีวัยกลางคนผู้นี้…เป็นใครกันแน่
ระดับความแข็งแกร่งของสตรีวัยกลางคนผู้นี้สูงส่งจนยากจะคาดเดา อย่างน้อยเขาก็มองไม่ออก ตำแหน่งในพระราชวังก็สูงอย่างมาก ถึงสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังรู้ความลับในพระราชวังมากมาย ความรู้สึกแปลกประหลาดที่มีต่อสวนร้อยหญ้า…เฉินฉางเซิงรู้แต่แรกแล้วว่าสตรีวัยกลางคนผู้นี้ไม่ธรรมดา และเคยคาดเดาอยู่หลายครั้งถึงสถานะของนาง ตั้งแต่สนมที่จักรพรรดิองค์ก่อนเคยโปรดปรานซึ่งในตอนนี้สูญสิ้นอำนาจ ไปจนถึงนักพรตหญิงที่เคยบำเพ็ญเพียรกับจักรพรรดินีศักดิ์อย่างสงบในสวนร้อยหญ้าเมื่อครั้งอดีต แต่กลับยังรู้สึกว่าการคาดเดาพวกนี้ล้วนไม่ถูกต้อง
ในภายหลังเฉินฉางเซิงก็ไม่ได้คาดเดาอีก…สตรีวัยกลางคนไม่เคยทำอะไรกับเขา และยังเคยถือโอกาสช่วยเหลือเขา อีกทั้งก็เหมือนกับที่ถังซานสือลิ่วเคยพูดนั่น เพราะว่ามีเหตุผลเป็นของตนเอง เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวมากมายนัก และมักจะเผยความสุขุมที่ก้าวข้ามอายุของตนไป และก็เป็นเพราะตัวของเขาเองมีความลับมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไปสืบรู้ถึงความลับของผู้อื่น
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เขาเคยชินจนถึงขั้นชื่นชอบบรรยากาศในตอนที่นั่งดื่มชาในสวนร้อยหญ้ากับสตรีวัยกลางคนผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะนับอย่างไร ก็เคยผ่านไปเพียงแค่สามครั้งก็ตาม
ตอนที่ดื่มชาในสวนร้อยหญ้า สตรีวัยกลางคนไม่สามารถพูดได้ เขาเองก็ไม่ต้องพูด เวลาส่วนใหญ่สตรีวัยกลางคนล้วนใช้มองดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า หรือร่องรอยเก่าที่อยู่ในสวนร้อยหญ้า ซึ่งไม่ได้มองเขา ดังนั้นเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ความรู้สึกที่สงบเช่นนั้น ราวกับสามารถพาเขากลับไปยังวัดเก่าในเมืองซีหนิง ราวกับเขายังนั่งอยู่กับศิษย์พี่อวี๋เหรินที่ข้างลำธาร อะไรก็ไม่ต้องพูด และก็ไม่ต้องรู้ความคิดของกันและกัน แค่นั่งเหม่อลอยเช่นนี้ก็ดีแล้ว
เพราะว่าเรื่องของสวนโจว ในช่วงนี้จิตใจของเฉินฉางเซิงถึงไม่ค่อยสงบ
เขาไม่อาจจะเข้าไปในสวนโจวได้ สุดท้ายจึงไม่อาจจะยืนยันได้ถึงร่องรอยของเด็กสาวผู้นั้นได้ นี่ทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมาก เขาต้องการความสงบในตอนนี้อย่างมาก
แต่ในครั้งนี้กลับไม่เหมือนหลายครั้งก่อน ความรู้สึกสงบที่เขาปรารถนาและให้ความสำคัญอย่างมากนี้ ในนาทีถัดมาก็ถูกทำลายลงแล้ว
สตรีวัยกลางคนถอนสายตาที่มองดวงดาวกลับมา และเริ่มต้นมองเขา
การมองครั้งนี้ก็เป็นเวลายาวนาน นางมองอย่างละเอียด สงบ และมีสมาธิอย่างมาก ราวกับบนใบหน้าของเขามีภูเขา มีน้ำ มีดอกไม้ มีต้นไม้ มีหมู่เมฆ มีทิวทัศน์อันไร้ขีดจำกัด
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมองเขาเช่นนี้ ค่อนข้างน่าประหลาด แน่นอนว่าจึงเป็นกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง
ตามเวลาที่ไหลผ่านไป สตรีวัยกลางคนยังคงมองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายร่างกายก็แข็งค้างขึ้นมา
ก็เป็นในตอนนี้เอง สตรีวัยกลางคนพลันยื่นมือออกมาอย่างกะทันหัน และใช้ปลายของนิ้วชี้เชยคางเขาขึ้นมา
เฉินฉางเซิงตกตะลึง
ในตอนแรกที่ดื่มชาอยู่ที่นี่ สตรีวัยกลางคนผู้นี้ก็เคยลูบแก้มของเขา ในตอนนั้นเป็นเพราะความรู้สึกที่อยู่ในตาของนางนั้น เฉินฉางเซิงจึงอดทน และไม่ได้ทำอะไร
ทว่าความหมายของการลูบแก้มกับการเชยคางสองอย่างนี้มันไม่เหมือนกัน อย่างแรกยังสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นความเอ็นดูของผู้อาวุโสที่มีต่อผู้เยาว์ เป็นการไล่ตามความทรงจำของความรู้สึกบางอย่างที่สูญเสียไป อย่างหลัง…ก็ดูเหมือนการหยอกล้อสัตว์ตัวเล็กหรือการเกี้ยวพาราสี และถึงแม้ว่าอายุของสตรีผู้นี้จะสามารถเป็นแม่เขาได้ แต่อย่างไรเสียชายหญิงก็มีความแตกต่าง การกระทำนี้ก็ทำให้เขาไม่อาจรับได้จริงๆ เขาคิดจะขยับหน้าหนี แต่กลับพบว่าที่นิ้วของอีกฝ่ายมีไอพลังปราณที่ยากจะเข้าใจสายหนึ่ง ตรงเข้ามาทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจจะขยับเขยื้อน
นางเชยคางของเขาขึ้นมา มองดูใบหน้าของเขาอย่างละเอียด
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเกี้ยวเด็กชาย และก็ไม่ใช่การหยอกล้อสัตว์ตัวเล็ก เพราะว่าในดวงตาของนางไม่มีความเอ็นดูหรือการระลึกถึงคะนึงหาอะไรพวกนั้น ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย
นางมองใบหน้าของเฉินฉางเซิง ก็เหมือนกับมองภาพฉากหนึ่ง อยากจะมองให้ออกว่าเบื้องหลังของภาพมีความลับอะไรซ่อนอยู่
เฉินฉางเซิงไม่ชอบสายตาของนางอย่างมาก เพราะมันเฉยเมยเกินไป แต่กลับไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย ปีกจมูกของเขาขยับขึ้น ลมหายใจที่ออกมาก็รุนแรงขึ้นมาก
ถ้าหากเป็นลั่วลั่วหรือถังซานสือลิ่ว เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ก็ต้องรู้ว่าเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่นางไม่รู้ และต่อให้รู้ ก็ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนาง ไม่มีใครหรือเรื่องใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของนางได้
แต่ว่านางอาจจะรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของเฉินฉางเซิงดูน่ารักอย่างมาก จึงยิ้มขึ้นมา หลังจากนั้นก็เตรียมจะปล่อยคางของเขา แต่ในตอนนี้เอง รอยยิ้มของนางได้ถูกเก็บไปอย่างกะทันหัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ราวกับว่าได้เห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา