ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 69 หยาดชาทำลายชุดสีแดงสด
จิตสังหารสายหนึ่ง ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากส่วนลึกของหว่างคิ้วนาง
ในสวนร้อยหญ้าที่เงียบสงบ พลันปรากฏแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวอย่างหาใดเปรียบ
เฉินฉางเซิงมองหน้าของหน้าอย่างนิ่งอึ้ง รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของนางกับแรงกดดันรอบด้านที่ยิ่งใหญ่ราวมหาสมุทร จิตใต้สำนึกก็ยังสั่งให้หยุดนิ่งลงแล้ว และเขาก็พอจะเดาได้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
นางมองดวงตาของเขา หรือว่าปัญหาจะอยู่ในดวงตาของเขา
ไม่ ดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจ
นางอาศัยดวงตาของเขา มองเข้าไปในห้วงแห่งจิตของเขา
นางมองไม่เห็นถึงความคิดของเขา แต่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงดวงจิตที่ไม่ได้เป็นของเขา
ดวงจิตดวงนั้นเบาบางอย่างมาก แต่กลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์อย่างมากด้วย โดยแอบหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง อยู่กับพวกก้อนหินที่มีรูปร่างตามจิตใต้สำนึกซึ่งนอนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่ใต้ทะเล ยากที่จะแยกแยะอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงตัวของเฉินฉางเซิงเอง ต่อให้เป็นนาง ถ้าหากว่าคืนนี้ไม่ได้เกิดสนใจขึ้นมา อยากจะมองดูเฉินฉางเซิง คิดจะมองหาอะไรบางอย่างจากใบหน้าและดวงตาของเขา เพื่อยืนยันหรือปฏิเสธการคาดเดานั่น จึงตั้งใจมองให้ละเอียดอย่างหาใดเปรียบ ก็คงไม่อาจจะพบดวงจิตที่เบาบางดวงนั้นได้
“ใครกันที่บังอาจถึงขนาดนี้ ถึงกับกล้าลงมือกับเขา”
นางมองดวงจิตที่อยู่ในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงดวงนั้น และพูดขึ้นเสียงเย็น
ตามเสียงพูดนี้ ดวงจิตส่วนหนึ่งของนางก็เข้าไปในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ของดวงจิตทั้งหมดของนาง ไม่เช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของดวงจิตนาง เกรงว่าวินาทีที่เข้าไปในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง เขาก็จะระเบิดตัวตาย
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ในตอนที่ดวงจิตของนางล่วงล้ำเข้าไป ห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงก็ยังมีพายุฝนตกกระหน่ำ คลื่นยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนพลันก่อตัวขึ้นไม่หยุด บนทะเลเกิดฟองขึ้นนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งส่วนลึกที่สุดในใต้ทะเลก็ยังได้รับผลกระทบ
ดวงจิตที่แทรกเข้าไปในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงดวงนั้น ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ใต้ทะเลนี้มานานเท่าไหร่ ในที่สุดในตอนนี้ก็ไม่อาจจะปลอมตัวได้อีกแล้ว จึงลอยขึ้นมาตามคลื่นยักษ์ที่รุกล้ำลึกลงมาถึงก้นทะเล เพียงแค่พริบตา น้ำทะเลรอบด้านก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน
กลิ่นคาวเลือดที่น่ากลัวอย่างหาใดเปรียบพลันล่องลอยอบอวลขึ้นมาระหว่างฟ้าและดิน
ห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นทะเลโลหิต
ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ดวงนี้ หลังจากออกจากที่ซ่อน ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สามารถจินตนาการได้เลย ถ้าหากว่าไม่ได้ถูกพบก่อน วันหนึ่งวันใดในอนาคต หากเจ้าของดวงจิตดวงนี้คิดจะลอบสังหารเฉินฉางเซิง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่แสนง่ายดายแล้ว!
ถึงจะเป็นตอนนี้ ดวงจิตดวงนั้นก็ยังคิดจะฆ่าเฉินฉางเซิงให้ตาย
เฉินฉางเซิงก็ยังไม่รู้อะไรเลย ห้วงแห่งจิตของเขาในตอนนี้มีพายุฝนเกิดขึ้นไม่หยุด ภายใต้พายุฝนกระหน่ำค่อยๆ ปรากฏสีเลือดที่ขอบฟ้า
แต่ตัวเขาไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ เพียงแค่รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
ที่โชคดีคือ นางกำลังนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของเขา…ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะเป็นคนผู้นั้นหรือไม่ สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของนาง นางไม่ยอมให้คนอื่นใดเข้ามายุ่ง ต่อให้คนที่ลงมือกับเฉินฉางเซิงจะเป็นสุนัขที่นางเลี้ยงเอาไว้ตัวนั้น
ใช่ ในวินาทีที่ดวงจิตดวงนั้นลอยขึ้นมาตามกระแสน้ำจากใต้ทะเล นางก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้ฝังดวงจิตดวงนี้เข้ามาในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง เพราะว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นชัดเจน และเสียดจมูกเกินไป
นางยื่นมือออกไปแตะน้ำชาที่อยู่ในถ้วยมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นนางแตะน้ำชา แล้วเขียนคำว่าน้ำแข็งบนโต๊ะหิน ช่วยให้เขาหาสะพานอุดรใหม่พบ และได้พบมังกรดำจากที่นั่น
แต่ในครั้งนี้นางไม่ได้เขียนอักษร
ปลายนิ้วของนางได้ดีดขึ้นมาเบาๆ น้ำชาหยดหนึ่งตกกระทบลงบนหว่างคิ้วของเฉินฉางเซิง
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นครั้งหนึ่ง น้ำชาหยดนั้นพลันกลายเป็นไอสีขาว สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินฉางเซิงรู้สึกเพียงว่าในห้วงแห่งจิตมีเสียงกึกก้องดังกระหึ่มขึ้น แล้วก็หมดสติไปเลย
……
……
ในเวลาเดียวกันกับที่น้ำชาหยดนั้นตกกระทบลงบนหว่างคิ้วของเฉินฉางเซิง ในจวนที่อยู่ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ถ้วยชาถ้วยหนึ่งพลันร่วงลงไปที่พื้น และแตกกระจาย มือของโจวทงนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าซีดขาวอย่างผิดปกติ ราวกับในช่วงเวลาสั้นๆ พลันทรุดป่วยหนัก หลังจากนั้นมือของเขาก็สั่นเทาขึ้นมา ที่ตามมาติดๆ คือทั่วทั้งร่างของเขานั้นเองก็สั่นเทาขึ้นมา ชุดขุนนางสีแดงสดของเขาเป็นเพราะการสั่นเทาจึงเกิดเป็นรอยคลื่นขึ้นมา ซึ่งเหมือนกับทะเลเลือดที่เกิดจากสายลมพัดผ่านจนกลายเป็นเกลียวคลื่นนั้นอย่างมาก
นาทีก่อนนั้น เขาชงชาดำที่ดีเยี่ยม อย่างมากถ้วยหนึ่ง ในตอนที่รอให้อุณหภูมิเหมาะสม กำลังเตรียมจะยกขึ้นมาดื่ม คาดไม่ถึงว่าในห้วงแห่งจิตพลันเกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นมาสายหนึ่งอย่างกะทันหัน
ความเจ็บปวดนั้นเหมือนจริงขนาดนี้ ราวกับว่ามีใครใช้มีดเล่มเล็กที่เต็มไปด้วยสนิมแทงเข้ามาในส่วนลึกของสมองเขา ถึงแม้จะเป็นเขา ก็ยังไม่อาจจะรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ เพราะนิ้วมือคลายออกจึงทำให้ถ้วยชาตกลงไปบนพื้น
และก็เป็นเพราะเขาที่อยู่กับความเจ็บปวดมาครึ่งชีวิต ในตอนนี้ถึงยังสามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้ได้ ถึงแม้ใบหน้าจะซีดขาว สั่นเทาไปทั่วร่าง ราวกับเป็นโรคร้าย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้หมดสติไป
ในวินาทีนั้นที่เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาในห้วงแห่งจิต โจวทงก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
วันนั้นที่ดอกไห่ถังผลิบานในเรือนหลังเล็ก เขาก็อาศัยความกดดันที่มืดมิดของคุกโจว ไม่เสียดายที่จะทุ่มเทสมอง ใช้ลูกเล่นนี้ขึ้นมา โดยซุกซ่อนดวงจิตส่วนหนึ่งเอาไว้ในส่วนลึกของห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง
สมแล้วที่ชุดสีแดงสดเป็นความสามารถในการโจมตีทางจิตที่ลึกลับที่สุด ในเรื่องนี้ เขาถึงกับทำได้อย่างไร้สุ้มเสียง ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือถังซานสือลิ่วก็ล้วนไม่รู้ตัว
แต่การโจมตีทางจิตจะแข็งแกร่งและลึกลับเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ ชุดสีแดงสดของโจวทงไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงได้ตลอดเวลา แต่เป็นเหมือนสายลับเสียมากกว่า แอบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกทุ่งหญ้าของศัตรู คอยบันทึกทุกอย่างที่ได้เห็น รอจนภายหลังที่โจวทงนำดวงจิตนั่นกลับมา ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าในช่วงนี้เฉินฉางเซิงได้เจอกับเรื่องอะไร ได้เจอเข้ากับใคร
แน่นอนว่า ดวงจิตที่เหมือนกับทหารหน่วยจู่โจมนั้น ในบางช่วงเวลาที่พิเศษ ก็สามารถที่จะทำการโจมตีสังหารศัตรูได้เอง
นี่ก็เป็นลูกเล่นที่โจวทงเตรียมการเอาไว้ เขาอยากจะควบคุมความเป็นความตายของเฉินฉางเซิงให้อยู่ในห้วงความคิดของตน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าดวงจิตดวงนี้ของตนจะถูกคนพบ อีกทั้งยังถูกอีกฝ่ายทำลายไปอีก!
ดวงจิตดวงนั้นถูกทำลาย ก็สะท้อนกลับมาที่ห้วงแห่งจิตของเขา จนทำให้เขาได้บาดเจ็บหนักเป็นอย่างมาก
เป็นใครกัน เป็นใครที่สามารถพบดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงได้ แล้วเป็นใครกันที่มีความสามารถที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงกับสามารถทำลายชุดสีแดงสดของตนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
สีหน้าของโจวทงซีดขาวอย่างมาก ในดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ตกตะลึงและไม่เข้าใจ หรือว่าจะเป็นใต้เท้าสังฆราช
ในโลกใบนี้คนที่สามารถมองความลับของชุดสีแดงสดเขาออกมีอยู่น้อยมาก ในจิงตูเองก็มีอยู่ไม่กี่คน แน่นอนว่าใต้เท้าสังฆราชเป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่เขานั้นตั้งใจปิดบังสายตาของใต้เท้าสังฆราช จึงเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ใต้เท้าสังฆราชยังสามารถมองออกได้อย่างไร
……
……
ตอนที่เฉินฉางเซิงได้สติขึ้นมา ก็พบว่าตนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะหิน
เขาเงยหน้ามองออกไป ก็เห็นเพียงว่าสตรีวัยกลางคนไม่รู้ว่าจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กาน้ำชากับถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แพะดำเองก็ไม่อยู่แล้ว ป่ายามราตรีในสวนร้อยหญ้าก็ยังสงบงดงามอยู่เช่นนั้น ทุกที่ล้วนมีเสียงแมลงดังอยู่
ความสงบงดงามของที่แห่งนี้ราวกับภาพฝัน เขารู้สึกราวกับว่าก่อนหน้านี้ตนได้หลับฝันไป
เขาไม่ได้พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นที่ข้างสระน้ำ และก็ไม่ได้ตามนางมาที่สวนร้อยหญ้า ไม่ได้นั่งดื่มชาด้วยกัน
จิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้ยื่นมือออกไปลูบที่หว่างคิ้ว ก็พบว่าที่ปลายนิ้วมีความชื้นเย็นๆ อยู่
เขาดึงนิ้วมือกลับมาดู และไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นน้ำชาหยดนั้น
เพียงแต่ความรู้สึกชื้นเย็นๆ นั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก มันแทรกผ่านจากหว่างคิ้วไปถึงหัวใจ ทำให้เขารู้สึกเย็นสบายอย่างหาใดเปรียบ
ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกว่าตนเองผ่อนคลายไปมาก และก็แจ่มใสขึ้นมาก ราวกับว่าร่างกายถูกอะไรบางอย่างชำระล้างจากภายในสู่ภายนอกอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ไม่หลงเหลือสิ่งสกปรกใดอีก
……
……
เขากลับจากสวนร้อยหญ้ามาที่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงคิดถึงเรื่องที่เจอก่อนหน้านี้ ก็ไม่ค่อยสงบใจอยู่บ้าง เขาถอดจิตทำสมาธิดูที่ใต้ต้นไทรย้อย กลับไม่พบว่ามีสิ่งใดแปลกไป ไม่ว่าจะเป็นแดนลี้ลับ ห้วงแห่งจิต หรือเส้นชีพจรก็ล้วนเหมือนเดิมไม่มีผิด ชีพจรที่ขาดสะบั้นพวกนั้นก็ยังคงติดขัดเหมือนเดิม ปราณแท้ก็ไม่ได้สูญเสีย ดวงจิตก็ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น เพียงแต่…ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นไปที่ต่างไปจากเดิม
ถ้าหากพูดว่าเมื่อก่อนดวงจิตของเขาสงบราวกับสายน้ำ หนักแน่นราวขุนเขา ในตอนนี้ก็ราวกับถูกสายฝนในฤดูใบไม้ผลิชะล้างไปก็ไม่ปาน สายน้ำก็เพิ่มความเฉียบคมขึ้นมา ภูเขาก็ดูชุ่มชื้นขึ้นมาก
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มาจากน้ำชาหยดนั้นหรือ เฉินฉางเซิงไม่รู้ และก็คิดไม่เข้าใจ จึงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างทะเลสาบอยู่นาน ถึงได้ลุกออกไป
เขากลับมาถึงอาคารหลังเล็ก และเดินไปที่ห้องของเจ๋อซิ่วก่อน ใช้เข็มทองฝังไปที่คอ ใส่ปราณแท้เข้าไปเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ฤทธิ์ยากระจายตัว วิธีในการรักษาก็มีเพียงแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น
ผ่านการรักษามาหลายวัน ด้วยวิชาแพทย์ของเฉินฉางเซิงและยังมียาวิเศษที่ได้มาจากพระราชวังหลีกับที่แอบขโมยมาจากสวนร้อยหญ้า ร่างกายของเจ๋อซิ่วนั้นดีขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว เมื่อสองวันก่อนก็สามารถพยุงขึ้นเดินได้สองสามก้าวแล้ว แต่ว่าเขายังคงนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน นอกจากจะจำเป็น แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ยอมพลิก เซวียนหยวนผ้อเคยแสดงถึงความเข้าใจกับเรื่องนี้มาก่อน มีเพียงแค่เฉินฉางเซิงที่เข้าใจว่านั่นเป็นเพราะอะไร
ช่วงเวลาที่ดำมืดของคุกโจวได้ทิ้งบาดแผลมากมายเอาไว้บนตัวของเจ๋อซิ่ว แผลพวกนั้นภายนอกกลับดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่ภายในร่างของเขา
บาดแผลก็คือความเจ็บปวด ความว่าเจ็บปวดนี้เดิมทีก็ไม่อาจจะแยกออกจากกัน ถ้าหากว่าขยับเจ๋อซิ่วก็จะต้องได้รับความเจ็บปวดที่น่าหวาดกลัว เด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าที่มีชื่อเสียงเรื่องจิตใจที่แน่วแน่ ก็ยังยอมที่จะถูกมองว่าไม่ได้เรื่องโดยการนอนไม่ขยับตัวอยู่บนเตียง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเจ๋อซิ่วเจ็บมากขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่คิดว่าเขาไม่ได้เรื่อง กลับกัน ทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขา เขาล้วนนับถือกับการที่เจ๋อซิ่วสามารถอดทนจนมาถึงตอนนี้ได้ โดยที่ไม่ได้ร้องไห้และก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเลย
“รอให้ชีพจรหายดีแล้ว ก็สามารถเชิญเหล่านักบวชจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามาใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ให้ได้แล้ว”
เฉินฉางเซิงถอนเข็มทองออกจากบนร่างของเจ๋อซิ่ว แล้วพูดปลอบใจขึ้น
ทันใดนั้น นิ้วมือของเขาก็หยุดการเคลื่อนไหวลง ในตอนนี้ นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของเขากำลังจับอยู่บนเข็มทองเล่มสุดท้ายที่อยู่ตรงคอของเจ๋อซิ่ว เขาชัดเจนอย่างมาก ที่ใต้เข็มทองคือเส้นชีพจรที่สำคัญซึ่งมนุษย์และเผ่าปีศาจล้วนมีอยู่ จากแดนลี้ลับห่างออกไปสามส่วนก็จะตรงไปที่ห้วงแห่งจิต
หลังจากที่เจ๋อซิ่วถูกขังในคุกโจว เรื่องแรกที่โจวทงทำก็คือใช้วิชาลับอย่างหนึ่ง ตัดขาดเส้นชีพจรเส้นนั้นของเขา ทำลายการบำเพ็ญเพียรทั้งร่างของเขา
ชีพจรเส้นนั้นสำคัญอย่างมาก และก็อ่อนไหวอย่างมาก ไม่ต้องพูดว่าสัมผัสโดนจริงๆ ต่อให้ใช้ดวงจิตเข้าไปโดน ก็สามารถทำให้คนรู้สึกไม่สบายได้ ถ้าหากถูกสัมผัสจริงๆ ความเจ็บปวดเช่นนั้น…เฉินฉางเซิงทำได้เพียงแค่คิด ในบรรดาคนทั้งหมดที่เขารู้จัก มีเพียงเจ๋อซิ่วที่เคยได้เผชิญมาก่อน ดังนั้นทุกครั้งที่ฝังเข็มตรงนี้ เขาล้วนระมัดระวังเป็นพิเศษ
เขาชัดเจนดีว่าการรักษาเส้นชีพจรตรงนั้นไม่สามารถอาศัยแรงจากภายนอกได้ มีเพียงแค่อาศัยเวลาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยบอกเวลาที่เจ๋อซิ่วจะหายดีออกมา กระทั่งเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะต้องใช้เวลาถึงสามปีหรือมากกว่านั้น แต่ว่า…ก็เป็นตอนที่เขาเตรียมจะถอนเข็มทองเล่มนั้นเมื่อครู่นั่นเอง อยู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวสายหนึ่งที่ส่งมาจากด้านล่างของเข็มทอง