ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 7 วันที่มืดครึ้มก็เพียงแค่สองสามวันเท่านั้น
ผ่านไปแล้วหนึ่งปี สำนักฝึกหลวงไม่ได้มีนักเรียนใหม่อีก แต่เมื่อมีนักเรียนใหม่แล้ว ก็ไม่ได้มีสภาพเป็นสุสานเหมือนกับในตอนแรกแล้ว ภายในยังคงเงียบสงบ ด้านนอกก็มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา เหล่านักบวชของพระราชวังหลีได้วางเวรยามอยู่ที่ตรอกไป่ฮวา ถึงจะเป็นกลางดึกก็ไม่ได้จากไป ชาวบ้านไม่อาจเข้าไปใกล้ได้เลย แต่เหล่านักบวชเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มบนรถเข็น ในสายตาล้วนเต็มไปด้วยความรังเกียจและระแวดระวัง แต่กลับไม่สามารถลงมือได้ เพราะว่าสถานะของตระกูลเทียนไห่ในราชสำนักต้าโจวมีความพิเศษอย่างมาก และก็เพราะว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์ในตอนนี้เป็นคนพิการไปแล้ว
หากนำคำพูดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาใช้ก็คือ คนของนิกายหลวงชอบทำเรื่องซับซ้อนให้คนสับสนที่สุด แต่ในสายตาของคนในนิกายหลวง นั่นก็ต้องพูดถึงเหตุผลกัน ต้องการจะเปิดเผยตรงๆ พวกเขาก็ยากที่จะลงมือกับเด็กหนุ่มที่พิการไปแล้วผู้หนึ่งก่อน นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ คนผู้นั้นมีอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างสูงผอม ใบหน้ามีความมืดคล้ำเย็นชา กลิ่นอายพลังปราณที่ปล่อยออกมาจากบนร่างก็แข็งแกร่งอย่างมาก
กลางสายฝนปรอยๆ เสียงด่าว่าที่แหลมเล็กของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ดังขึ้นไม่หยุด ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นั้นก็รักษาความนิ่งสงบเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงแค่มองดูประตูสำนักที่ปิดสนิทอย่างสงบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ประตูใหม่ของสำนักฝึกหลวงถูกเปิดออกจากด้านใน เฉินฉางเซิงเดินออกมา และยืนอยู่ที่ด้านบนของบันไดหิน มองไปที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่อยู่กลางฝน แวบแรกก็สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ถือร่มไว้ คนที่ยืนอยู่ที่ข้างรถเข็นนั้นก็ไม่ได้ถือร่มให้กับเขา เขามองไปที่คนผู้นั้น และเดาได้ว่าคนผู้นี้คงไม่ใช่องครักษ์ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ แต่กลับไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมา
เฉินฉางเซิงมองไปที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่อยู่บนรถเข็นอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “เจ้าควรจะรู้อย่างชัดเจนดี เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้านั้นให้เจ้ามาด่าทออยู่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเพื่ออะไร”
ใบหน้าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์โดนฝนจนเปียก ยิ่งแสดงถึงความขาวซีด สีหน้ากลับยังหยาบคาย กำเริบอยู่เช่นนั้น อีกทั้งยังตื่นเต้นขึ้นมาเพราะการปรากฏตัวของเฉินฉางเซิง
“แน่นอนว่าข้ารู้!” เสียงของเด็กหนุ่มยิ่งแหลมสูงขึ้นมา กระทั่งแสดงถึงความรัดทนอยู่บ้าง ราวกับหัวเราะและร้องไห้ก็ไม่ปาน “ตอนนี้ข้าเป็นสวะไปแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องใช้ประโยชน์จากเศษสวะให้ดี หาความเห็นใจอย่างไรล่ะ! อีกทั้งเรื่องระหว่างพวกเรา นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างเด็กๆ เป็นการสร้างความวุ่นวาย! หรือใต้เท้าสังฆราชจะกล้าพูดว่าตระกูลเทียนไห่ของข้ากำลังกดดันหัวหน้าสำนักฝึกหลวงกัน”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “แต่ข้าไม่เข้าใจ เจ้ามาก่อกวนเช่นนี้มีประโยชน์อันใด ข้าสามารถที่จะเมินเฉยเจ้าไปได้”
วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่ประตูสำนักฝึกหลวง มีมุขนายกคนหนึ่งพานักบวชและทหารของพระราชวังหลีมานับสิบคน จึงขวางทั้งสองคนที่มาจากตระกูลเทียนไห่เอาไว้ด้านนอก อย่าว่าแต่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนรถเข็น ถึงจะเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่พาทหารกลับมาจากด่านยงเสวี่ย ก็ไม่มีทางบุกตรงเข้ามาถึงประตูสำนักฝึกหลวงเหมือนดั่งเช่นปีก่อนได้อีก
เทียนไห่หยาเอ๋อร์พลันยิ้มขึ้นมา เผยให้เห็นฟันสีขาวที่แตกละเอียดอยู่เต็มปาก มองไปแล้วก็เหมือนลูกของสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ และพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหลมสูง “หรือเจ้าไม่ได้ยินว่าข้ากำลังด่าบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าอยู่”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “หลังจากนั้นล่ะ ข้าก็จะด่าบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าหรือ ข้าไม่มีทางทำแน่”
บรรพบุรุษของตระกูลเทียนไห่ก็คือบรรพบุรุษของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่มีทางทำความผิดพลาดที่เหมือนกับเมื่อปีก่อนอีก
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ยิ้มหยันแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่กล้าด่าองค์หญิง…ลั่วลั่ว แต่ข้าก็ไม่กลัวเจ้า ข้าก็อยากจะเห็นนัก เจ้าจะสามารถทนไปได้ถึงเมื่อไหร่”
“เช่นนั้นเจ้าก็ด่าต่อไปเถอะ” พูดจบประโยคนี้ เฉินฉางเซิงก็หันกายเดินกลับเข้าไปในสำนักฝึกหลวง
ก่อนที่จะเปิดประตู เขาได้ยินเทียนไห่หยาเอ๋อร์ลบหลู่บิดามารดาและบรรพบุรุษของตน เขานั้นโกรธอย่างมากจริงๆ เขาเตรียมจะไม่สนใจว่าตระกูลเทียนไห่จะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง มีแผนการร้ายอะไร กลับจะต้องสั่งสอนอีกฝ่ายสักรอบ แต่ตอนที่เขาเดินออกมาจากประตูจริงๆ หลังจากที่ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้พิการที่นั่งอยู่บนรถเข็น เขาก็เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหัน
เทียนไห่หยาเอ๋อร์นั้นโหดเหี้ยมเลือดเย็นอย่างมาก และเคยเป็นคนที่แสนจะน่าหวาดกลัว ในตอนนี้เขาพิการไปแล้ว ก็ยังคงน่ากลัวอย่างมาก น่ากลัวตรงที่เขาไม่รู้จักยางอาย ไม่มีความเกรงกลัว ไม่มีความต้องการ อีกทั้งในตอนนี้แม้แต่ความทะเยอทะยานก็ยังไม่มี ตัวเขาในตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่โคลนก้อนหนึ่ง ถ้าหากเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงไม่อยากจะให้เท้าต้องเหยียบลงไปบนโคลนตมกองนี้ และต้องถูกโคลนตมนี้ถ่วงแข้งถ่วงขา เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ไม่ไปสนใจ บางที ก็ใช้หินทรายกลบทับโคลนตมนี้ไปเลย
ในเมื่อไม่สามารถฆ่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์ไปได้ จะทำเรื่องอื่นก็ไม่มีความหมายอะไร เช่นนั้นไยต้องไปยืนฟังเรื่องเหล่านี้ที่หน้าประตูสำนักด้วย
มองเห็นเงาหลังของเขา เทียนไห่หยาเอ๋อร์นิ่งอึ้งไป และยิ่งเพิ่มความโมโหไปใหญ่ เขาใช้เสียงที่แหลมสูงด่าทอไม่หยุด คำพูดที่ไม่น่าฟังไปจนถึงหยาบคายถูกพ่นออกมาไม่หยุด
เฉินฉางเซิงเหมือนกับไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ ฝีเท้าไม่ได้เร็วขึ้น และก็ไม่ได้ช้าลง แต่เขาเดินอย่างมั่นคงกลับไปยังภายในสำนักฝึกหลวง
เหล่านักบวชที่มองเห็นภาพฉากนี้ นอกจากจะตกตะลึงแล้วยังเกิดความนับถือ ในใจคิดว่าสมแล้วที่เป็นคนรุ่นหลังที่ใต้เท้าสังฆราชให้ความสำคัญที่สุด สมแล้วที่เป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยที่สุด
ชายผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างรถเข็นกำลังมองเงาหลังของเฉินฉางเซิง คิ้วพลันเลิกขึ้นน้อยๆ ดูเหมือนว่าเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่ต่อมาที่เหนือความคาดหมายก็กลายมาเป็นความเหยียดหยามแล้ว
เทียบกับคนในวัยเดียวกันแล้ว เฉินฉางเซิงก็สุกงอมและสุขุมกว่าจริงๆ บางทีอาจจะพูดได้ว่าสงบและสุขุมเกินไป จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุสิบหกปี
เซวียนหยวนผ้อดูไปแล้วเหมือนจะแก่กว่า แต่ที่จริงแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเผ่าหมีที่มีอายุสิบสี่ปี ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงสามารถทนได้อย่างไร และถามขึ้นอย่างโมโหอยู่บ้าง “ปล่อยไปเช่นนี้หรือ”
เฉินฉางเซิงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นแล้วยังจะทำอะไรได้ ฆ่าเขาให้ตายหรือ”
เซวียนหยวนผ้อลองคิดดู จึงพูดขึ้น “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้นี่”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เขาเป็นคนของตระกูลเทียนไห่ นอกจากทางพระราชวังหลีจะถ่ายทอดคำสั่งลงมา ไม่เช่นนั้นใครก็ทำอะไรไม่ได้ อีกอย่าง คนที่ตามอยู่ข้างกายของเขา มองไม่เห็นหรือ”
เซวียนหยวนผ้อถามขึ้น “คนผู้นั้นแข็งแกร่งมากหรือ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาว”
เซวียนหยวนผ้อสูดอากาศเย็นเข้าปอด ชายสูงผอมที่ดูไปแล้วมีอายุประมาณสามสิบปีผู้นั้น ถึงกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว”
“แต่ว่า ก็ไม่อาจปล่อยให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์มาด่าทออยู่ด้านนอกได้”
“ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องทำ”
ใช่ เฉินฉางเซิงมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าที่ต้องทำ
เมื่อเทียบกับเรื่องนั้นแล้ว ลูกเล่นอันน่ารังเกียจของตระกูลเทียนไห่ไปจนถึงเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังก็ล้วนไม่สำคัญ เมื่อก่อนสำหรับเขาแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าแน่นอนว่าคือการบำเพ็ญเพียร แต่ในตอนนี้นอกจากการบำเพ็ญเพียรแล้ว ยังมีอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือในขั้นตอนของการขัดเกลาเจตจำนงกระบี่ ต้องผ่านชายฝั่งมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่ ค้นหาป้ายศิลาสีดำแผ่นนั้น ยืนยันว่านั่นเป็นทางเชื่อมต่อไปสู่สวนโจวหรือไม่ ถ้าหากใช่ เขาก็อยากที่จะเข้าสวนโจวไปดูอีกครั้งหนึ่ง
เพียงดวงจิตสัมผัสป้ายศิลาสีดำลวงตาแผ่นนั้น พริบตาเดียวก็ถูกพลังอันน่ากลัวที่ซุกซ่อนอยู่ พลังที่เหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่โลกใบนี้จะสามารถครอบครองได้ ป่นทำลายเสียเป็นหมื่นชิ้น กลายเป็นความว่างเปล่า ภายในหอตำราเกิดสายลมพัดขึ้นระลอกหนึ่ง กลิ่นอายจากภายในร่างของเขาได้กระจายออกมา ทำให้อาภรณ์พลิ้วขยับ และก็กวาดพัดฝุ่นเล็กน้อยที่อยู่บนชั้นหนังสือ
เขาลองทำติดต่อกันถึงสามครั้ง สุดท้ายแล้วก็ล้วนล้มเหลว ใบหน้าของเขาซีดขาวจนราวกับกระดาษที่อยู่บนหน้าของเซียวจางแผ่นนั้นก็ไม่ปาน เขานั้นทนการสั่นสะเทือนของห้วงแห่งจิตกับการสะท้อนกลับของพลังที่เข้มข้นนั้นไม่ไหวอีกแล้ว เขาเปิดประตูของหอตำรา และวิ่งไปยังพื้นหญ้าที่อยู่ข้างทะเลสาบ กุมหน้าอกของตนและเริ่มอาเจียนออกมา มองดูแล้วน่าอนาถอย่างมาก
เซวียนหยวนผ้อกำลังทุบต้นไม้อยู่ เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาเดินเข้ามาพยุงเขา มองดูน้ำย่อยที่อยู่บนพื้นหญ้าแล้วพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “ดีที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ไม่เช่นนั้นก็น่าคลื่นไส้เกินไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงนั้นให้ความสำคัญกับอาหารสามมื้อเป็นอย่างมาก เช้านี้เป็นเพราะร้อนใจจึงไม่ได้กินข้าวเช้า ข้าวเที่ยงกับข้าวเย็นก็จะต้องกินแล้ว เพียงแต่กลับกินไม่ลงอยู่บ้าง
ช่วงหน้าอกของเขาย่ำแย่ไปทั้งแถบ เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด กินอะไรก็ไม่รู้รส
“ผักต้มชามนี้…เจ้าลืมใส่เกลือหรือเปล่า”
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก ในใจคิดว่าทั่วทั้งสำนักฝึกหลวงก็มีเพียงตนคนเดียวที่ทำอาหาร ผลคือเจ้ายังจะเลือกนู่นเลือกนี่ อีกทั้งยังเลือกอย่างไร้เหตุผล ความโกรธพลันลุกโชนขึ้นมา
“เจ้าพูดว่าทำกับข้าวให้ใส่เกลือกับน้ำมันให้น้อย!”
เซวียนหยวนผ้อมองเขา ในใจคิดว่าคงจะป่วยแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเจ้าหมอนี่ได้อย่างไร จึงถามขึ้น “หรือจะเชิญให้องค์หญิงมาดู”
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ อย่างไรเสียลั่วลั่วก็เป็นองค์หญิงของเผ่าปีศาจ สถานะอ่อนไหวเกินไป เขาไม่อยากให้นางต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวง
……
……
ในยามเช้าของวันที่สองไม่ได้มีฝนตก ดังนั้นปลายฤดูใบไม้ผลิก็เปลี่ยนกลับมาเป็นต้นฤดูร้อน อากาศในช่วงเดือนห้าเดือนหกของจิงตูมักจะยากที่จะคาดเดาและก็มีคำจำกัดความเช่นนี้ เทียนไห่หยาเอ๋อร์เองก็เป็นคนที่ยากจะให้คำจำกัดความอย่างมากผู้หนึ่ง เขาเคยโหดเหี้ยมเลือดเย็น อาศัยอำนาจของตระกูลเทียนไห่กับพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของตนทำแต่เรื่องชั่ว ภายหลังถูกลั่วลั่วซ้อมจนพิการไปแล้ว เขาหายสาบสูญไปกว่าครึ่งปีเต็ม ในตอนที่เขากลับมาสู่สายตาของชาวเมืองจิงตูอีกครั้ง ก็แสดงออกถึงความอดทนและแน่วแน่ที่หาได้ยากอย่างมาก ถึงแม้เรื่องที่เขาทำ มองดูแล้วจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสองคำนี้จริงๆ
รถเข็นหมุนทับอยู่บนพื้นหิน มาจนถึงหน้าประตูสำนักฝึกหลวง เด็กหนุ่มผู้พิการดื่มชาไปคำหนึ่ง เพื่อให้ชุ่มคอ ภายใต้สายตาของเหล่านักบวช เขาพลันเริ่มด่าทอคนต่อ
เมื่อวานเขาถึงกับด่าไปแล้วหนึ่งวัน ดูท่าวันนี้สำนักฝึกหลวงยังคงต้องถูกปกคลุมไปด้วยคำหยาบคายเหล่านั้น
เพียงแต่ไม่เหมือนกับเมื่อวาน วันนี้มีชาวเมืองจิงตูมากมายมาชมเรื่องสนุก
ชาวบ้านไม่อาจจะเข้าไปในส่วนลึกของตรอกไป่ฮวาได้ เพราะถูกนักบวชกับกองทัพอวี่หลินที่มารักษาความสงบขวางเอาไว้ แต่กลับสามารถได้ยินคำด่าทอของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน
ที่จริงคำด่าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ เพียงแค่ถามไถ่ถึงบรรพบุรุษของเฉินฉางเซิง โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่เป็นสตรี
“เฉินฉางเซิง ***มารดาเจ้าเถอะ”
“เฉินฉางเซิงข้าจะฆ่าลูกสาวเจ้าให้ตาย”
เมื่อได้ยินคำด่าทอเหล่านี้ เหล่าชาวบ้านที่อยู่นอกตรอกก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ พากันส่ายหน้าสั่นศีรษะโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมา
ชายที่สูงผอมผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่ข้างรถเข็น มองดูประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่จางๆ ดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยความขี้ขลาดของเฉินฉางเซิง และก็ดูเหมือนว่าจะมีความหมายอื่นอยู่อีก
“จะไม่ไปจัดการจริงๆ หรือ ต่อให้ไม่บอกองค์หญิง ก็ควรจะขอให้ทางสำนักการศึกษากลางมาจัดการเสียหน่อย”
เซวียนหยวนผ้อได้ยินคำด่าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่ดังเข้ามาจากภายนอก ใบหน้าแดงก่ำไปหมด มองดูเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ตอนแรกที่ประตูสำนักฝึกหลวงถูกเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยส่งคนมาทำลาย สุดท้ายแล้วใครเป็นคนซ่อม”
เซวียนหยวนผ้อคิดว่าเข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงถามขึ้น “เช่นนั้นต่อไปควรทำอย่างไร”
“รออีกสักหน่อย” เฉินฉางเซิงชะงัก แล้วพูดขึ้น “…รออีกสักสามวัน”
เมื่อพูดจบ เขามองไปที่ท้องฟ้านอกสำนักค่อนข้างจะมืดครึ้ม และพบว่าวันนี้เป็นวันที่มืดครึ้ม
เมื่อไม่ไปสนใจ ชีวิตก็ทำตามปกติ เวลาที่ไหลไปไม่เหมือนกับที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น เวลาหนึ่งวันได้ผ่านไปตามปกติอย่างมาก
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ด่าทออยู่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงอยู่สองวันเต็มๆ ทางพระราชวังหลีกับสำนักการศึกษากลางล้วนรักษาความสงบไว้ ไม่ได้มีข่าวใดเล็ดลอดออกมา แต่ทางสุสานเทียนซูนั้นกลับส่งข่าวออกมา อีกสามวัน คนบางคนก็จะออกมาแล้ว