ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 72 กำไลลูกปัดหินเส้นหนึ่ง
เฉินฉางเซิงเดินรอบพื้นที่ชุ่มที่รอบนอกของทุ่งหญ้า มองดูเกาะกลางน้ำนั่น หลังจากนั้นก็ไปที่ถ้ำบนภูเขานั่น มองเห็นกระดูกของผู้เฒ่าพรรคตะวันตกคนนั้นที่ถูกฝูงสัตว์อสูรกินจนเกลี้ยงอยู่ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำ
หลังจากนั้นเขาก็ไปที่หุบเขาอัสดง ค่อยๆ เดินไปตามทางก้อนหินสีขาวบนภูเขาสายนั้น มาจนถึงใต้ต้นอู๋ถง
เขาไม่รู้ว่าตนจะต้องมาที่ใต้ต้นอู๋ถง มันเป็นเพียงความรู้สึกที่จะต้องถือโอกาสมาเช่นนั้น
แต่ที่นี่ก็ไม่มีคน
ในสวนโจวไม่มีใคร
แม้แต่คนเดียวก็ไม่มี
สุดท้ายแล้วเขาก็กลับมาที่หน้าสุสานโจว สุสานที่กว้างใหญ่ เมื่ออยู่ระหว่างฟ้าดินก็ยังคงดูยโสโอหังอยู่เช่นนั้น แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านั้นที่อยู่รอบสุสาน ไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายที่บ้าคลั่งและน่าหวาดกลัวเหมือนกับในวันนั้นอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นสงบอย่างมาก ร่องรอยที่อยู่ด้านบนเหล่านั้น ไม่รู้ว่าถูกสายลมและเม็ดทรายในหลายวันมานี้กลบถมจนเต็ม หรือว่าถูกทำลายไป จึงสูญหายไปจนไม่เห็นแล้ว ราวกับว่าได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเสาหินในตอนแรก
ป้ายศิลาสีดำแผ่นนั้นก็เป็นเช่นนี้ ในทุ่งหญ้าที่ห่างออกไปที่ด้านหลัง พลันมีเสียงร้องทุ้มต่ำของสัตว์อสูร
นั่นเป็นการน้อมส่ง ทั้งยังมีความไม่สงบและการร้องขอ
น้อมส่งเจ้าของคนใหม่ของสวนโจวจากไป ไม่สงบใจว่าเขาจะยังกลับมาอีกหรือไม่ ร้องขอความเมตตาของเขาให้กลับมาอีกครั้งในเร็ววัน
……
……
เป็นความมืดมิด หลังจากนั้นก็เป็นแสงสว่าง
เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ภายในห้อง ยังอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้
มีเพียงแค่เวลาที่มาถึงเที่ยงตรงแล้ว ดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้าสีคราม ทำให้ต้นไม้ของสำนักฝึกหลวงจะพยายามเช่นไร ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งแสงสว่างอันร้อนแรงที่ทอดตัวลงมาได้
แสงสว่างที่เขามองเห็นก็คือแสงอาทิตย์
หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าข้อมือของต้นมีกำไลลูกปัดหินเพิ่มขึ้นมาเส้นหนึ่ง
ลูกปัดเหล่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ล้วนทำมาจากก้อนหินธรรมดา ด้านบนไม่มีร่องรอยใดๆ และก็ไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายใดออกมา แม้แต่ความแวววาวจางๆ บนพื้นผิวก็ยังไม่มี
เขาไม่รู้ว่าในตอนที่เผชิญหน้ากับกระบี่ของจูลั่วที่เมืองสวินหยางในตอนนั้น กำไลลูกปัดหินเส้นนี้ก็เคยปรากฏขึ้นบนข้อมือของเขา
ลูกปัดหินเหล่านี้ล้วนมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
เพราะว่ากำไลลูกปัดหินเส้นนี้มีทั้งหมดสิบเอ็ดเม็ด สิบเม็ดเป็นสีเทา เม็ดหนึ่งเป็นสีดำ
ในปีนั้นโจวตู๋ฟูได้เอาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จากสุสานเทียนซูไปสิบสองแผ่น ในภายหลังเขากับนางได้พบว่าที่อยู่ในสุสานโจวมีเพียงแค่สิบแผ่น ยังมีอีกหนึ่งแผ่นเป็นฐานของแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น
เป็นเพราะว่าขาดแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปแผ่นหนึ่ง เขาก็ยังนำสระกระบี่ที่แทนที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปอีก ดังนั้นค่ายกลของสุสานโจวถึงได้เกิดปัญหา จนกระทั่งเขานึกขึ้นมาได้ บนร่างของตนยังมีหินสีดำก้อนนั้น
หินสีดำก้อนนั้นก็คือสิ่งที่เขาเก็บมาได้จากในหอหลิงเยียน และก็เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่ง
ในตอนที่หินสีดำที่มาจากหวังจือเช่อก้อนนั้นเปลี่ยนมาเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จริงๆ หลังจากที่ช่วยให้ค่ายกลของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่รอบสุสานโจวมั่นคงขึ้นมาแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าหินสีดำก้อนนั้น ก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หวังจือเช่อนำออกไปจากสวนโจว แต่หลังจากที่กลับมายังสวนโจว ย้อนนึกถึงสมุดบันทึกที่เขาได้เห็นในหอหลิงเยียนเล่มนั้น เขาก็รู้สึกว่าการคาดเดาของตนอาจจะไม่แม่นยำ
เขาไม่สนว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ในตอนนี้ลูกปัดหินที่อยู่บนข้อมือของเขาเหล่านี้ก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
แน่นอนว่าไม่เพียงเพราะลูกปัดหินทั้งสิบเอ็ดเม็ดนี้มีสีเทาสิบสีดำหนึ่ง จะไปตรงกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่รอบสุสานโจวเหล่านั้นพอดี แต่ยิ่งเป็นเพราะมีเพียงเขาที่สามารถรับรู้ถึงเรื่องบางอย่างผ่านทางหินสีดำก้อนนั้น
เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน สวนโจวอยู่ภายในหินสีดำ
การพูดเช่นนี้ไม่ได้ถูกต้องแม่นยำนัก ควรจะพูดว่า หินสีดำก้อนนั้นก็คือประตูใหญ่ของสวนโจวใหม่ และกุญแจที่ใช้เปิดสวนโจว ก็คือดวงจิตของเขา
จิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้ยกมือขึ้นมา รับเข้ากับแสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่าง แล้วมองดูกำไลลูกปัดหินนั้นอย่างจริงจัง
แนวแสงที่ส่องสว่าง ลอดผ่านร่องระหว่างลูกปัดหิน เปลี่ยนเป็นมากมายหลายมุม ในบางมุมนั้น ราวกับว่ามีสายรุ้งอยู่ภายใน
ในตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอย่างแท้จริง
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่ในสายตาของคนบนโลกนั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างหาใดเปรียบ อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของวิถีแห่งเต๋าทั้งมวล ถึงกับถูกเขาใส่อยู่บนข้อมือแล้ว
อีกทั้งยังมีถึงสิบเอ็ดแผ่นด้วย
แสงอาทิตย์ส่องมายังลูกปัดหิน ทะลุผ่านเข้ามาในตาของเขา ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ราวกับไม่ใช่ความจริง
ก็เป็นในตอนนี้เอง ประตูห้องได้ถูกคนเปิดออกมา
เขาหันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงแค่ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อ
“สรุปเจ้าปัญญาอ่อนนั่นไปที่ไหนแล้ว”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…องค์หญิงลั่วลั่วให้ข้าคอยจับตามองเขา ผลคือเขาไม่พูดอะไรสักคำก็หนีไปแล้ว ข้าจะจับตาอย่างไร”
เซวียนหยวนผ้อพูดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากนั้นก็มองเห็นเงาร่างของเฉินฉางเซิงที่ด้านหลังของถังซานสือลิ่ว
เงียบกันไปครู่หนึ่ง ถังซานสือลิ่วตบที่หน้าอก แล้วพูดขึ้นโดยความกลัวในภายหลัง “ยังดี ยังดี ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าไปที่ไหนมา ขอเพียงแค่เจ้าไม่ได้หนีไปก็พอแล้ว”
เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมข้าต้องหนีด้วย”
“เจ้าหายไปอย่างไม่มีเหตุผลกว่าครึ่งวัน…”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “พวกข้าล้วนสงสัย เป็นเพราะได้ยินว่าสวีโหย่วหรงจะกลับมาหรือไม่ เจ้ากลัวว่าตนจะถูกคู่หมั้นซ้อมจนหน้าเขียวดูไม่ได้ ดังนั้นถึงได้หนีไปแล้ว”
เซวียนหยวนผ้อรีบโบกมือแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดเย้ยหยันขึ้น “เจ้ากล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้คิดเช่นนี้หรือเปล่า”
เซวียนหยวนผ้อเป็นเด็กเผ่าหมีที่แสนซื่อ เมื่อได้ยินคำถามนี้ เขาพึมพำอยู่นานกลับไม่ได้พูดออกมา
เฉินฉางเซิงนิ่งไป แล้วพูดขึ้น “พูดถึงนางขึ้นมาพอดี ทำให้ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พวกเจ้าช่วยข้าเขียนจดหมายไปให้จวนขุนพลเทพตงอวี้”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างตกตะลึง “ลูกเขยที่เท้าเปื้อนโคลนจะไปที่จวน? ลูกสาวเขายังไม่กลับมา เจ้าจะรีบอะไร”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าพูดขึ้น “คืนนี้ข้าคิดจะไปเยือน มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะคุย”
“เจ้าคงไม่ได้กลัวสวีโหย่วหรงจริงๆ แล้วเตรียมจะรับมือหรอกนะ”
ถังซานสือลิ่วเกิดสนใจขึ้นมา จึงพูดขึ้น “เรื่องเช่นนี้เจ้าน่าจะบอกกับข้าก่อนนะ เจ้าก็รู้ว่าข้าถนัดเรื่องเหล่านี้ที่สุดแล้ว”
เฉินฉางเซิงยิ้มขึ้น ไม่ได้สนใจเขา แล้วเดินออกไปทางนอกประตู พลางพูดขึ้น “ข้าไปกินข้าวก่อน”
หลายวันก่อน ลั่วลั่วพูดกับเขา ยืนยันว่าแม่นางผู้นั้นไม่สามารถมีชีวิตรอดออกมาจากสวนโจว เขาก็เคยพูดว่าจะไปถอนหมั้นที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่เขาเคยรับปากกับนางตอนที่อยู่ในสวนโจว ในเมื่อนางไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขายิ่งต้องทำให้ได้ ที่หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ เป็นเพราะว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เพราะว่าเขาทำของสำคัญที่จำเป็นอย่างหนึ่งตกหล่นอยู่ในสวนโจว ในเวลาเดียวกัน ในใจของเขาก็ยังมีเสี้ยวความหวังสุดท้ายอยู่
นางไม่อาจจะออกจากสวนโจว บางทีในตอนนี้นางอาจจะยังอยู่ในสวนโจว ในเมื่อสวนโจวยังไม่พินาศไป เช่นนั้นนางก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่
จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าไปในสวนโจวได้อีกครั้ง และพบว่าในนั้นไม่มีใครเลยสักคน ไม่มีใครสักคน ไม่มีคนผู้นั้น ดังนั้นความหวังสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว
เขาถือโอกาสนำของสิ่งนั้นกลับออกมาด้วย
มองดูเงาหลังของเฉินฉางเซิงที่หายไปจากประตู ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าวันนี้เขาค่อนข้างจะแปลกไป”
เซวียนหยวนผ้อถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ตรงไหนที่แปลก”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “รอยยิ้มของเขาดูแปลกๆ…ดูน่าเกลียด”
เซวียนหยวนผ้อนึกย้อนดู แล้วพยักหน้าพูดขึ้น “ใช่ ยิ้มเหมือนกับจะร้องไห้”