ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 73 ปรากฏตัวขึ้นที่จวนสวีในวันวานอีกครั้ง
หากยามสนธยาคิดจะจุดประกายก้อนเมฆที่ขอบฟ้าทั้งหมด ยังคงต้องการเวลาที่ยาวนานอีกช่วงหนึ่ง แต่งานเลี้ยงที่อยู่ในหอนางโลมกับหอสุราในจิงตูเหล่านั้น กลับเริ่มต้นขึ้นตั้งนานแล้ว
งานเลี้ยงที่เป็นทางการย่อมต้องใช้เวลายาวนาน เช่นนั้นแน่นอนว่าเวลาที่เริ่มก็จะต้องเช้ากว่ามาก นี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกับโคมไฟหรือแสงเทียน ผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งกับขุนนางชั้นสูง พวกผู้มีปัญญากับเหล่าคุณหนูให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของแสงไฟจากตอนฟ้าสว่างไปถึงยามสนธยาไปจนถึงยามค่ำคืนนั่นมากกว่า เพื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงตามไป
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ สำหรับเขาแล้ว อาหารมื้อหนึ่งถ้าหากเลยเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว นั่นก็สื่อความถึงการไม่ดีต่อสุขภาพ ก็เหมือนกับอาหารเลิศรสที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาในตอนนี้ ล้วนหมายถึงการไม่ดีต่อสุขภาพ
งานเลี้ยงที่จวนสวีชั้นในวันนี้ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงธรรมดาในคราวก่อน นี่เป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าจะมีเขาเป็นแขกเพียงคนเดียว เขาเป็นผู้น้อย อายุก็ยังน้อยมาก ประตูหลักของจวนขุนพลเทพตงอวี้ที่ในหนึ่งปีจะเปิดอยู่แค่หนึ่งถึงสองครั้งก็ยังถูกเปิดขึ้นมาแล้ว อาหารเลิศรสมากมายล้วนถูกส่งมาไม่หยุด หลังจากนั้นกินก็ยังไม่ทันได้กินอย่างไร เพียงแค่ถูกมองอยู่ไม่กี่ครั้งก็ถูกนำออก แล้วเปลี่ยนเป็นอาหารจานใหม่
กวาดตามองออกไป ทุกที่ล้วนใช้ของมีชื่อราคาแพง จานเครื่องเคลือบที่ใส่อาหาร ทำให้เขานึกถึงวันแรกที่มาถึงจิงตู คำพูดที่ฮูหยินสวีพูดไว้
ทุกที่ล้วนเป็นสาวใช้ ไม่จำเป็นต้องให้เขาขยับตัว ก็มีคนเข้ามาคอยรับใช้เขาแล้ว และที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินสวี ท่ายายฮวา หรือสาวใช้ใหญ่ที่ชื่อซวงเอ๋อร์ผู้นั้น ในวันนี้ก็ล้วนไม่ได้ปรากฏตัว
บางทีเป็นเพราะในตอนแรก ระหว่างเฉินฉางเซิงกับพวกนางเคยเกิดเรื่องเช่นนั้นมาก่อน
สวีซื่อจีจึงอยู่ต้อนรับเขาตามลำพัง
เฉินฉางเซิงไม่ดื่มสุรา จึงกินอาหารเหล่านั้นไปตามมารยาท ไม่นานก็กินจนอิ่มแล้ว
สวีซื่อจีวางจอกสุราลง โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป และรอเขาพูดขึ้น
เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ถนัดการพูดจาอ้อมค้อม เขามองท่าทีนี้ก็รู้ว่าสวีซื่อจีเองก็มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว ดังขึ้นจึงพูดขึ้นมาตามตรง “ท่านน่าจะรู้สถานะอาจารย์ของข้าแล้ว”
“วันนั้นที่รู้ว่านักพรตจี้ก็คือเจ้าสำนักซาง ข้าเองก็ตกตะลึงเหมือนกับคนอื่นๆ”
สวีซื่อจีไม่ได้พูดเรื่องที่เขาพูดกับรูปเหมือนของบิดาในห้องบรรพชนเป็นเวลานานในวันนั้น เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “รวมถึงใต้เท้าโจวทง คนจำนวนมากล้วนอยากจะอาศัยจุดนี้ลงมือกับเจ้า แต่เจ้าไม่ต้องกังวล กฎหมายต้าโจวไม่มีการพัวพันความผิด ตอนที่เกิดคดีสำนักฝึกหลวงก่อกบฏ เจ้าก็ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”
“แต่อย่างไรท่านก็เป็นหนึ่งในขุนพลเทพที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้ใจที่สุด” เฉินฉางเซิงถามขึ้น “ทำไมท่านถึงยังสนับสนุนการแต่งงานนี้กัน”
“ทุกคนล้วนคิดว่าข้าหยาบคายไม่ได้เรื่อง การที่สามารถให้กำเนิดลูกสาวเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นบุญที่สะสมมากี่ชาติ…ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่ที่แอบหัวเราะเยาะข้า”
สวีซื่อจีมองดวงตาของเฉินฉางเซิง ไม่ได้ปกปิดความเย็นชาของตน แล้วพูดขึ้น “ส่วนการแต่งงานนี้ ก็นำพาการดูหมิ่นมากมายมาให้ข้า…ในสายตาของชาวโลก ตอนแรกสุดเป็นจวนสวีของพวกข้าที่ดูถูกเด็กหนุ่มที่ยากจนเช่นเจ้า คิดจะถอนหมั้น กระทั่งกดดันและดูหมิ่นเจ้ามากมาย และในภายหลัง หลังจากที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับใต้เท้าสังฆราช ก็เกาะติดเจ้าอย่างหน้าไม่อาย จะแต่งงานกับเจ้าให้ได้ ดังนั้น การดูหมิ่นเหล่านั้นที่เคยทำไว้กับเจ้า ในตอนนี้ล้วนย้อนกลับมาที่ตัวของพวกข้า กระทั่งสามารถพูดได้ว่า…นี่เป็นเรื่องหน้าไม่อายอย่างมาก”
ในห้องโถงเงียบสนิท สาวใช้ทั้งหมดล้วนหลบออกไปไกล
สวีซื่อจีพูดขึ้น “ยังดีที่ไม่มีคนคิดว่าหรงเอ๋อร์ของข้าไม่คู่ควรกับเจ้า ไม่เช่นนั้นก็เกรงว่าจะดึงให้นางถูกคนหัวเราะเยาะไปด้วย”
ในใจของเฉินฉางเซิงคิดว่าในเมื่อเจ้ารู้ว่าเรื่องนี้น่าเกลียดอย่างมาก ทำไมถึงได้ยืนหยัดจะทำต่อ ครั้งก่อนในตอนที่ตนมาถอนหมั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับหนังสือหมั้นไป
“แต่ว่าข้าไม่สนใจ บางทีอาจจะพูดได้ว่าการดูหมิ่นกับการหัวเราะเยาะเหล่านี้ ข้าล้วนอดทนเอาไว้แล้ว” สายตาของสวีซื่อจีแหลมคมขึ้นมา เขาจ้องไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เพราะว่าข้าเป็นบิดาของนาง ข้าจะต้องคิดแทนลูกสาวของข้า ข้าซื่อสัตย์ต่อเหนียงเหนียง แต่ก็ต้องคิดแทนลูกสาวของตน จะมีอะไรที่ผิดกันล่ะ”
หลายวันมานี้เฉินฉางเซิงเคยคิดอยู่หลายครั้ง ทำไมจวนสวีในตอนนี้ถึงได้พยายามจะรักษาการหมั้นหมายนี้ เขาเคยคิดเหตุผลไว้มากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุผลเช่นนี้
…สวีซื่อจีก็คิดเพื่อให้ลูกสาวของตนได้ดี
เฉินฉางเซิงน่าจะรู้สึกยินดีอยู่บ้าง ยินดีที่ถูกยอมรับ แต่ว่าเขาไม่ เพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าสวีซื่อจีจะเป็นคนเช่นนี้ และเป็นบิดาเช่นนี้
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ผู้คนในจิงตูก็ล้วนคิดเช่นนี้”
สวีซื่อจีพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ก็เหมือนความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานก่อนหน้านี้ ความคิดของทุกคนที่มีต่อประมุขตระกูลชิวซานล้วนเหมือนกัน แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ พวกเจ้าล้วนมองผิดไปแล้ว”
“ถูกต้อง ถ้าหากข้ายืนหยัดการแต่งงานครั้งนี้ ถ้าในอนาคตใต้เท้าสังฆราชเป็นฝ่ายแพ้ แน่นอนว่าจักรพรรดินีไม่มีทางปล่อยให้ข้ามีชีวิตต่อ แต่ข้ามั่นใจ ก็ให้ข้าตายไป เหนียงเหนียงก็ยังคงเอ็นดูหรงเอ๋อร์ต่อไป และถ้าหาก…ใต้เท้าสังฆราชชนะ เพราะว่าความสัมพันธ์ของเจ้า คิดว่าเขาก็ไม่น่าจะมีความเห็นอะไรไม่ดีกับหรงเอ๋อร์”
เขามองใบหน้าด้านข้างของเฉินฉางเซิง แล้วพูดต่อ “การเชื่อมสัมพันธ์อำนาจเหนือใต้สำเร็จแล้ว บางทีพรรคกระบี่เขาหลีซานยังคงสามารถรักษาความคมเอาไว้ได้ ชิวซานจวินเพราะเหตุนี้ก็บุกขึ้นเหนือได้สำเร็จ แต่สำนักศึกษาหนานซีจะทำอะไรได้ ถ้าหากหรงเอ๋อร์ไม่สามารถแต่งงานกับเจ้าได้ จุดจบที่ดีที่สุดในอนาคตของนางก็แค่การพิทักษ์เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากการแต่งงานนี้เกิดสำเร็จเล่า”
“ใต้เท้าสังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นี่ถึงจะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้อย่างแท้จริง”
“ไม่ว่าจะเป็นเหนือหรือใต้ ทุกคนก็ล้วนอยากจะได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้”
“อะไรคือมหาอำนาจ นี่ก็คือมหาอำนาจ”
“ไม่ว่าถึงตอนนั้นข้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ตระกูลสวีของข้าจะต้องทิ้งชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์”
……
……
การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้อย่างแท้จริง มหาอำนาจ ภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนล้วนอยากจะเห็น ดังนั้นการแต่งงานนี้จึงจำเป็นต้องมีต่อไป
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนดูคุ้นหูอยู่บ้าง หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ หลังจากที่มาจากซีหนิงจมาถึงจิงตู เขาเคยได้ยินคำพูดที่คล้ายกันนี้ สาวใช้ใหญ่ที่ชื่อซวงเอ๋อร์เคยพูดมาก่อน ท่านยายผู้นั้นก็เคยพูดมาก่อน คนมากมายในงานชุมนุมไม้เลื้อยเคยพูดไว้ แม้กระทั่งถังซานสือลิ่วก็เคยพูดไว้ เพียงแต่ในตอนนั้นชื่อที่อยู่คู่กับสวีโหย่วหรงไม่ใช่ชื่อของตน
เขาไม่ใช่คนที่จะซ่อนความคิดที่แท้จริงของตน จึงเงยหน้าขึ้นมามองสวีซื่อจีแล้วถามขึ้น “ในตอนแรกพวกท่านก็พูดเช่นนี้กับชิวซานจวิน”
“ในสายตาของข้า ถ้าพูดถึงคู่ครอง แน่นอนว่าชิวซานจวินเป็นตัวเลือกที่ดียิ่งกว่าเจ้า ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้ ปัญหาอยู่ที่ เขาในตอนนี้เทียบกับเจ้าไม่ได้แล้ว”
การเปรียบเทียบของตัวเลือกที่ดียิ่งกว่ากับคำว่าเทียบไม่ได้เป็นสองความหมายนี้
เฉินฉางเซิงนึกถึงข่าวที่ได้ยินมาจากทางเขาหลีซานนั่น ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปยังยอดเขาหลัก ชิวซานจวินแทงตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ก็สามารถแก้ปัญหาของแผนการร้ายที่วางแผนกันมานานได้อย่างง่ายดาย หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “ข้าเทียบเขาไม่ได้”
สวีซื่อจีไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงพูดขึ้น “ใต้เท้าสังฆราชเป็นอาจารย์อาของเจ้า อาศัยเพียงเรื่องนี้ เขาก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้ตลอดกาล”
ก็เหมือนกับคำพูดที่ชิวซานจวินพูดกับบิดาของตนที่ยอดเขาหลักของเขาหลีซานนั่น คนหนุ่มสาวกับคนแก่ ไม่อาจจะเป็นผู้ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกันได้จริงๆ
เฉินฉางเซิงไม่รู้เรื่องคำพูดนั้น แต่ก็มีความรู้สึกที่เหมือนกัน เขาลุกยืนขึ้นเตรียมจะบอกลา ในเวลาเดียวกันก็หยิบสัญญาหมั้นหมายออกมา วางลงบนโต๊ะ
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไร แต่ก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจ รู้สึกไม่ถึงความหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ได้ดูถูกตัวเอง เพียงแค่หยิบออกมา หลังจากนั้นก็วางลงไป
เขามาที่จวนขุนพลเทพนี้สามครั้งแล้ว ทุกครั้งก็ล้วนเพื่อการถอนหมั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงไม่ได้กังวลและอึดอัดเหมือนกับครั้งแรกสุดนั่นแล้ว
บนใบหน้าของสวีซื่อจีก็มองไม่เห็นถึงความอึดอัด ตอนที่เขาได้รับจดหมายจากสำนักฝึกหลวงพูดว่าเฉินฉางเซิงจะมาเยือน เขาก็เดาถึงเจตนาของอีกฝ่ายได้แล้ว
“ครั้งก่อนข้าก็เคยพูดไว้ ถ้าหากเจ้าอยากจะถอนหมั้นจริงๆ ก็จงนำสัญญาหมั้นไปให้กับหรงเอ๋อร์ต่อหน้านาง”
ตอนที่เฉินฉางเซิงอยู่ในสวนโจวก็เคยมีความคิดเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เจอกับสวีโหย่วหรงมาโดยตลอด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมไม่ว่าจะเป็นสวีซื่อจีหรือถังซานสือลิ่วก็ล้วนพูดเหมือนกัน ราวกับมั่นใจว่าขอเพียงเขาได้เจอสวีโหย่วหรงตัวจริง ก็จะไม่คิดถอนหมั้นอีก ต่อให้สวีโหย่วหรงงามราวเทพสวรรค์ เช่นนั้นก็แล้วอย่างไร
เขาถึงขนาดรู้สึกว่าคนเหล่านี้ดูถูกตน
“ได้ยินว่าคุณหนูสวีจะกลับจิงตูในเร็ววันนี้ สัญญาหมั้นก็เอาไว้ที่จวนของท่านไปก่อน ถ้าหากคุณหนูสวีมีความเห็นเช่นไร ก็เชิญส่งจดหมายมาที่สำนักฝึกหลวง”
เขาไม่สนใจคำพูดของสวีซื่อจี แล้วพูดขึ้นต่อ “ขอท่านอย่าได้ส่งสัญญาหมั้นกลับไปที่สำนักฝึกหลวงอีก ไม่เช่นนั้นก็อาจจะหายไปจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่น่าดูแล้ว”
สวีซื่อจีได้ยินเข้าก็โมโหอย่างมาก ในใจคิดว่าเจ้าถึงกับกล้าข่มขู่ข้า ใบหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกใดออกมา
เฉินฉางเซิงไม่ได้กำลังข่มขู่เขา แต่กำลังพูดความจริง สัญญาหมั้นฉบับนี้เกือบจะหายไปในสวนโจวแล้ว
ตอนแรกที่เขาสู้กับปีกทั้งสองของหนานเค่อที่ก้นทะเลสาบนั่น เพื่อทำลายแสงจากปีกของอีกฝ่าย ตัวเขาถึงได้ทิ้งของทั้งหมดออกมาจากฝักกระบี่ ในนั้นก็รวมถึงสัญญาหมั้นฉบับนี้ด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้มีความรู้สึกใดกับสัญญาหมั้นฉบับนี้มานานแล้ว และก็ไม่ได้ใส่ใจกับสัญญาหมั้นนี้นัก จนกระทั่งหลายวันก่อนตอนที่เตรียมตัวจะมาถอนหมั้นที่จวนสวี ถึงได้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เขามองเห็นว่าเดิมทีสวีซื่อจียังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คิดดูแล้วก็เท่านั้น จึงไม่พูดอะไรมากอีก ขอตัวลาแล้วก็จากไป
สวีซื่อจีมองเงาหลังของเขาที่หายไปในรัตติกาลด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถึงได้ถอนสายตากลับมา มองไปยังหนังสือสัญญาหมั้น ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมที่ขอบหนังสือสัญญาหมั้นถึงชื้นอยู่บ้าง
เขาเดินอยู่ในสวนดอกไม้ของจวนขุนพลเทพตงอวี้ อาศัยแสงจากโคมไฟที่สาวใช้ตรงหน้าถืออยู่ มองดูต้นไม้กับหินสีเทาที่อยู่ในความทรงจำ เฉินฉางเซิงนึกถึงเรื่องที่เจอเหล่านั้นในตอนที่เดินผ่านที่ตรงนี้อย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อครู่ตอนที่ขอตัวลา ที่จริงเขาอยากจะพูดบางอย่างกับสวีซื่อจี เพียงแค่ในตอนนั้นยังคิดคำที่เหมาะสมไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะเรียงประโยคอย่างไร ถ้าหากเป็นถังซานสือลิ่ว ก็คงถามสวีซื่อจีขึ้นมาตรงๆ ว่าทำไมถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้ ลูกสาวของเจ้ารู้หรือเปล่า แต่เขาพูดคำพูดเช่นนี้ไม่ออก เพียงแค่รู้สึกเห็นใจสวีโหย่วหรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
สวีซื่อจีพูดว่าที่ยืนหยัดในการแต่งงานนี้เพื่อลูกสาวของตน แต่ในคำพูดล้วนมีแต่มหาอำนาจ การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ การทิ้งชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์อะไรเทือกนี้ ไม่ได้ปกปิดความคิดที่แท้จริงของตนเลย เขาคิด ว่าที่แท้ก็แค่พวกอยากมีชื่อเสียง คิดเพียงแต่จะให้ตระกูลรุ่งเรือง ให้สกุลสวีอยู่ไปนับพันนับหมื่นปี ลูกสาวในสายตาของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับประตูทางเข้า
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว สวีโหย่วหรงก็น่าสงสารอยู่บ้างจริงๆ
เขาคิดอย่างสลับซับซ้อนเช่นนี้ แล้วก็มาถึงหน้าประตูหินแห่งหนึ่ง
ที่ประตูหินมีแม่นางผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่
ภาพเหตุการณ์ช่างเหมือนกับเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้าเป็นอย่างมาก