ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 103 ท้อแท้สิ้นหวัง
บางคนหันไปหาเถ้าแก่โรงจำนำที่พูดพล่าม แล้วก็ตะโกนอย่างโกรธเคือง “ตาคู่ไหนของเจ้าเห็น”
เถ้าแก่หันไปมองหน้าคนผู้นั้นอย่างดูถูกและกล่าว “ลูกชายของน้องสาวข้าเป็นนักเรียนที่สำนักฝึกหลวง ศิษย์สถานศึกษาหนานซีล้วนอยู่ที่นั่น แล้วเขาจะไม่เห็นได้อย่างไร ไม่เพียงแค่เขา คนมากมายก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับเฉินฉางเซิงนั้นยืนพูดคุยกันอยู่ริมหน้าต่างชั้นบน”
ถนนกลายเป็นเงียบงัน
ภายใต้ดวงดาวที่พร่างพราว ชายหนุ่มหญิงสาวยืนอยู่ริมหน้าต่าง เงาทอดออกไปในแสงดาว เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
กระนั้นก็ตาม ไม่มีใครอยากจะโห่ร้องยินดีกับภาพเช่นนี้
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฝูงชนก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ ความตกใจกลายเป็นความสับสน เมื่อปีกลายมีข่าวลือว่าเฉินฉางเซิงบังคับยกเลิกสัญญาหมั้นกับสวีโหย่วหรง แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าเฉินฉางเซิงเปลี่ยนใจหลังจากการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ… ทว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยอมยกโทษให้เขาง่ายๆ เช่นนี้หรือ นางเพิ่งเข้าไปอยู่ในสำนักฝึกหลวง นี่แปลว่านางเตรียมจะแต่งกับเขาเช่นนั้นหรือ แล้วจวนตระกูลสวีจะเอาหน้าไปไว้ไหน ขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจีไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาเข้มงวดหรอกหรือ นี่ไม่กลายเป็นเรื่องตลกไปหรืออย่างไร
ในเวลาเช้าตรู่ ถังซานสือลิ่ว เซวียนหยวนผ้อและซูม่ออวี๋ถูกศิษย์สถานศึกษาหนานซีนำตัวไปยังบ้านของพวกเขาเพื่อเก็บข้าวของส่วนตัว และย้ายไปยังฝั่งตะวันออกของสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ กระเป๋าสัมภาระโกโรโกโสของเขาก็ได้เซวียนหยวนผ้อยกมาให้
พวกเขาแบกสัมภาระ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ถูกปิดแน่น ดูท้อแท้สิ้นหวังจนน่าอนาถอยู่บ้าง
“เจ้าต้องไว้หน้ากันบ้าง ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือสำนักฝึกหลวงและเขาก็เป็นเจ้าสำนัก” ถังซานสือลิ่วพูดใส่ประตูที่ปิดสนิท “ต่อให้ทำไปเพื่อความปลอดภัยของเขา เจ้าก็ทำเกินไปหน่อย จำเป็นต้องใช้ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีปิดกั้นที่แห่งนี้และกันพวกเราออกไปด้วยหรือ ที่นี่คือจิงตู ไม่ใช่หานซาน แม้แต่ราชามารยังไม่กล้ามาที่นี่เลย”
นี่คือห้องของเฉินฉางเซิง แต่ผู้ที่เขาพูดด้วยคือสวีโหย่วหรง
ผ่านไปหนึ่งคืน ศิษย์สถานศึกษาหนานซีรวมถึงอาจารย์และนักเรียนของสำนักฝึกหลวงต่างก็รู้ว่านางไม่ได้ออกจากห้องนี้เลย
ประตูห้องยังคงปิดมิดชิด ไม่ได้เปิดออกหรือมีเสียงดังออกมา
สวีโหย่วหรงนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง มองดูเฉินฉางเซิงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง นางใช้นิ้วนวดเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวดบนคิ้วของเขาอยู่เป็นระยะๆ
ธนูถงในมือซ้ายของนางแผ่ไอพลังปราณจางๆ ออกมาเป็นม่านพลังกางกั้น เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเสียงจากภายนอกมารบกวนการพักผ่อนของเฉินฉางเซิง
แต่นางได้ยินคำพูดถังซานสือลิ่ว
นางรู้ว่าการที่จู่ๆ นางก็พาศิษย์สถานศึกษาหนานซีมายังจิงตูนั้นย่อมนำมาซึ่งความตกใจและการถกเถียงมากมาย แต่นางไม่สนใจ
นางใช้ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีปิดล้อมบ้านหลังนี้เอาไว้และถึงขนาดปิดกั้นถังซานสือลิ่วกับพวก การกระทำของนางนั้นทำให้คนอื่นต้องขายหน้า แต่เพราะว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เพื่อความปลอดภัยแล้ว เฉินฉางเซิงต้องไปพบใครทั้งนั้นจึงจะเป็นการดีที่สุด นางกันถังซานสือลิ่วและพวกออกไปเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
เมื่อเห็นว่าประตูยังปิดแน่น ถังซานสือลิ่วก็หันกลับและเดินจากไปอย่างโกรธเคือง
ครั้นพวกเขาเดินออกจากบ้าน ก้าวผ่านสนามหญ้าและข้ามเจตจำนงกระบี่ที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ก็ได้เห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ
ชายวัยกลางคนมีคิ้วดำขลับและดูเย็นชา ท่าทางดุดันเข้มงวดอย่างที่สุด ยามเมื่อเสื้อผ้าของเขาปลิวพัดไปตามสายลมยามเช้า ก็มีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจางๆ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนและศิษย์สถานศึกษาหนานซีสิบกว่าคนขวางทางชายวัยกลางคนผู้นั้นเอาไว้ พวกเขาดูค่อนข้างประหม่าแต่ก็ไม่มีใครคิดจะจัดการกับชายผู้นี้
เพราะคนผู้นี้คือบิดาของเจ้าสำนัก ขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจี
……
……
“กลับมาจิงตูแล้วทำไมเจ้าไม่กลับไปที่จวน แต่กลับมาอยู่ที่นี่ ทำตระกูลสวีของข้าขายหน้ายิ่งนัก!”
สวีซื่อจีมองดูใบหน้าซีดเซียวของบุตรีที่แม้แต่ความงามก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ เขาไม่ได้รู้สึกสงสารแต่อย่างใด ทว่าค่อนข้างจะไม่สบายใจอยู่บ้าง ยามเขาออกจากจวน ก็ตั้งใจจะพูดอย่างสุภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงเย็นชาได้ คำพูดเต็มไปด้วยความเย็นชาประหนึ่งว่าเป็นการตำหนิอย่างรุนแรง
สนามหญ้าข้างทะเลสาบค่อนข้างเงียบ ผ้าม่านที่กางอยู่กั้นสายตาอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ ทว่าศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็ยังได้ยินคำพูดของเขาและรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ต่อให้ท่านเป็นบิดาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดกับนางได้อย่างไร
ศิษย์อายุน้อยบางคนอย่างเยี่ยเสี่ยวเหลียนนั้นนับถือสวีโหย่วหรงดั่งเทพธิดา ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง พวกเขาปะทุอารมณ์ขึ้น เจตจำนงกระบี่และความเป็นปฏิปักษ์ลุกโชนขึ้นมา
สวีซื่อจีสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์และเจตจำนงกระบี่ เขาหันไปทางบุตรีที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ริมทะเลสาบอีกครั้ง และรู้สึกว่าความโกรธนั้นยากเกินจะสะกดไว้ เขาตะโกน “เจ้ากล้าทำปิตุฆาตเช่นนั้นหรือ”
สวีโหย่วหรงหันไปมองบิดาและถาม “ท่านพ่อเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหน”
น้ำเสียงนางสุขุมอ่อนโยนและแผ่วเบายิ่งนัก เป็นคำอธิบายที่ไม่เหมือนคำอธิบาย แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นการยอมรับว่าทำผิดเช่นกัน
สีหน้าของสวีซื่อจีนั้นเปลี่ยนเป็นปั้นยากยิ่งกว่าเดิม เขาคิดถึงเรื่องต่างๆ ในอดีต
ตอนที่นางยังเด็กมากๆ สวีโหย่วหรงถูกเลี้ยงโดยท่านตา เขากับมารดานางไม่อาจแตะต้องนางได้ เมื่อนางอายุห้าขวบ เลือดหงส์สวรรค์ในร่างก็ตื่นขึ้นและถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นำตัวเข้าวัง จากนั้นนางก็ได้พบกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่มาชมสุสานเทียนซูแก้เบื่อ ดังนั้นสวีโหย่วหรงจึงกลายเป็นศิษย์ของนักปราชญ์สองท่าน ดังนั้นโอกาสที่เขาจะได้สั่งสอนนางจึงหมดไป
ผู้คนทั่วไปไม่ได้มองสวีซื่อจีว่ายอดเยี่ยมแต่อย่างใด แต่นั่นก็เพราะนิสัยส่วนตัวของเขา อย่างเช่นท่าทีที่เขามีต่อตระกูลเทียนไห่และเฉินฉางเซิงในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเขามีความสามารถคู่ควรที่จะเป็นขุนพลเทพตงอวี้แห่งต้าโจว ในทุ่งหิมะแดนเหนือ เขาได้สร้างความชอบทางทหารมากมาย สามารถนำกองทัพได้อย่างเข้มงวดและดูแลจวนเหมือนกับดูแลกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นรองแม่ทัพที่มีพื้นฐานตระกูลที่พิเศษหรือคนเก่าคนแก่ในจวนของเขา ต่างก็ต้องเงียบงันด้วยความกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่กล้าที่จะส่งเสียงคัดค้านแม้แต่น้อย แต่กระนั้น…เขากลับไม่อาจควบคุมบุตรีของตนได้
เพราะว่าเขาไม่มีสิทธิ์
สำหรับคนเป็นพ่อ เรื่องนี้นั้นไม่ทำให้เกิดความสุขใจแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากจวนสวีต้องการเกียรติยศและผลประโยชน์ที่สวีโหย่วหรงนำมาให้ พวกเขาจึงต้องยอมรับมัน
แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังเป็นบิดาของนาง นางเป็นบุตรีของเขา เขาเชื่อว่านางยังคงมีความเคารพเขาอยู่บ้าง ดังเช่นที่เคยมีเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เช้านี้ที่ริมทะเลสาบของสำนักฝึกหลวง เขาตระหนักว่าเขาได้หลอกตัวเองที่คิดเช่นนั้น
“ช่างเป็นลูกอกตัญญูยิ่งนัก…”
น้ำเสียงสวีซื่อจีเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง มือขวาสั่นเทาราวกับว่าเขาจะตบหน้าสวีโหย่วหรงได้ทุกขณะ
สวีโหย่วหรงมองดูบิดาอย่างสงบ นางไม่ตอบโต้กลับไป
สายตาของศิษย์สถานศึกษาหนานซีคมกล้าขึ้น เยี่ยนเสี่ยวเหลียนกับเด็กสาวเยาว์วัยคนอื่นกำด้ามกระบี่แน่น
ตอนนั้นเองที่ชายชราร่างผอมแห้งมาถึง ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีไม่มีประโยชน์สำหรับชายชราผู้นี้ ไม่ใช่เพราะเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป แต่เพราะว่าเขาคือหัวหน้าขันทีของวังหลวงแห่งต้าโจว หนึ่งในคนวงในของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ไว้ใจใคร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขามาถึงก็ประกาศราชโองการ
“จักรพรรดินีกล่าวว่าอย่าได้ให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กระทบต่อความสัมพันธ์พ่อลูก”
หัวหน้าขันทีกล่าวกับสวีซื่อจีอย่างเฉยชา
คำพูดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นชัดเจนว่าพูดกับคนทั้งคู่ แต่ขันทีกลับมองไปที่สวีซื่อจีเพียงคนเดียวเท่านั้น ความหมายนั้นย่อมชัดเจนอยู่แล้ว
นี่เป็นคำเตือน
สีหน้าสวีซื่อจีเปลี่ยนเป็นปั้นยากยิ่งกว่าเดิม พลันคิดในใจ เรื่องอกตัญญูเช่นนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ
นางเป็นลูกข้าหรือลูกจักรพรรดินีกันแน่
เขาได้แต่คิดและไม่แสดงออกทางสีหน้า เขายังต้องปั้นสีหน้าสีหน้าเยือกเย็นอีกด้วย
เขามองสวีโหย่วหรงและไม่พูดอะไรอีก ก่อนออกจากสำนักฝึกหลวงไป
เงาหลังของเขานั้นดูท้อแท้สิ้นหวังอยู่บ้าง ราวกับสิงโตที่เสียความทระนงไป
สวีโหย่วหรงมองดูหลังบิดาอย่างเงียบงัน ความคิดของนางนั้นไม่มีใครรู้ได้
หัวหน้าขันทีหันมาหานางด้วยสีหน้าอ่อนน้อมกว่ามากและกระซิบ “จักรพรรดินีเชิญคุณหนูไปที่ตำหนัก”
สวีโหย่วหรงรับราชโองการและตอบ “รอข้าสักครู่”
……
……
“ข้าไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไร ระหว่างนางกับนิกายหลวง ข้าย่อมไม่ยืนอยู่ข้างนางอย่างแน่นอน”
เฉินฉางเซิงปฏิเสธสวีโหย่วหรงที่จะนำเขาไปในวังพร้อมกับนาง และนางที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
สวีโหย่วหรงไม่พูดอะไร อันที่จริงนางก็รู้ว่าการนำเฉินฉางเซิงไปยังวังหลวงนั้นเป็นสิ่งที่เสี่ยงมาก นางรู้ว่านักปราชญ์นั้นเย่อหยิ่งและเมินเฉยเพียงใด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำอะไรเฉินฉางเซิงในช่วงสองปีมานี้ก็เพราะว่านางต้องไว้หน้าพระราชวังหลี และเพราะว่านางยังไม่แน่ใจนัก ตอนนี้ทุกเบาะแสชี้ไปที่คดีที่ปิดไม่ลงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากนางได้พบกับเฉินฉางเซิงในวังหลวง
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า” เฉินฉางเซิงเห็นสีหน้านางก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขาปลอบโยน “เจ้าใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะเข้ามาจิงตู และเมื่อวานนี้อาจารย์อาก็ใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์รดร่างข้า เพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ในเวลาอันสั้น คงไม่มีปัญหาอะไร ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีก็อยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ”
สวีโหย่วหรงไม่กล่าวอะไรอีกและจากไป
เมื่อเฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมหน้าต่าง และมองร่างของนางค่อยๆ ไกลออกไป สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นท้อแท้สิ้นหวังอยู่บ้าง
เขารู้ดีกว่าคนอื่นว่าสถานการณ์ของตนเป็นเช่นใด ดีกว่านางและดีกว่าสังฆราช
เส้นลมปราณทั้งหมดขาดลงจากการหลอมละลายของแสงดาว ไม่อาจรักษาฟื้นฟูได้
วิญญาณได้ซึมเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูกจนไม่อาจแยกออก
อาการบาดเจ็บอาจจะควบคุมได้ ทว่าพลังชีวิตของเขาจะหมดลงอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายและชะตาของเขานั้นเต็มไปด้วยรูพรุนมากมาย ฉีกขาดเกินกว่าจะเชื่อได้
หากเป็นคนอื่นคงจะหมดความหวังและท้อแท้ไปนานแล้ว แต่เขายังคงรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
เขาลงบันไดไปและเดินไปยังสำนักฝึกหลวงที่อยู่อีกฝั่งของผ้าม่าน
เมื่อสวีโหย่วหรงจากไป ศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็ไม่อาจห้ามเฉินฉางเซิงไม่ได้ออกไปได้ แม้ว่าค่ายกลกระบี่จะน่ากลัว แต่พวกนางจะใช้กับเขาได้อย่างไรกัน
มีร่องรอยมากมายในห้องโถงใหญ่ของสำนักฝึกหลวง รอยเหล่านั้นเป็นหลักฐานของการต่อสู้สะเทือนฟ้าเมื่อสิบกว่าปีก่อน พื้นฐานได้ถูกซ่อมแซมแล้ว ทว่ารูปปั้นสัตว์อสูรยังคงเสียหายอยู่
เขามองไปที่ซูม่ออวี๋และกล่าว “หลังจากวันนี้ไป ข้าขอมอบที่แห่งนี้ให้กับเจ้า”
เขาหันไปหาถังซานสือลิ่วและกล่าว “หากเป็นไปได้ จะดีมากหากเจ้าสามารถชะลอการกลับไปยังเว่นสุยสักหนึ่งปี”
จากนั้นก็หันไปหาเซวียนหยวนผ้อและแนะนำ “อย่าเพิ่งคิดว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้ว เจ้าต้องกินยาต่อไป”
สุดท้ายเขาหันไปหาเจ๋อซิ่วและกล่าว “เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะรักษาเจ้าต่อ แต่ข้าจะเขียนบันทึกการรักษาให้เร็วที่สุด เจ้าไม่อาจละทิ้งความหวังในการรักษาไป”
……