ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 105 จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร
“ข้าไม่รู้”
เฉินฉางเซิงมิได้ยอมรับหรือปฏิเสธว่าเขาเป็นเจาหมิง เพราะจนตอนนี้เขาเองก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเขามีความเป็นมาอย่างไร
ในตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่เขามั่นใจ ก็คือเขานั้นเป็นคนของราชวงศ์เฉิน พูดอีกอย่างก็คือ เฉินหลิวอ๋องเป็นญาติของเขา
การเปลี่ยนจากสหายเป็นญาติ เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างประหลาด
บางทีอาจเป็นเพราะเฉินหลิวอ๋องสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา จึงเปลี่ยนหัวข้อกล่าวว่า “รัชทายาทเจาหมิงสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เกิด ข้ายังเด็กมากในตอนนั้น อาศัยอยู่ในวังหลวงตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอเขา”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ หากข้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริงและวงตะวันของข้าถูกทำลายตั้งแต่ยังอยู่ในท้องจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะสุขภาพไม่ดี
“หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง เจ้าจะทำอย่างไร”
น้ำเสียงเฉินหลิวอ๋องเปลี่ยนเป็นอ่อนลง แต่สายตาที่จ้องไปยังเฉินฉางเซิงดูประหนึ่งเปลวเพลิง เปี่ยมด้วยความหวังและความโหยหา
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร ในตอนนั้นเองที่เขาพลันเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะรัชทายาทเจาหมิงคือ…เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิของต้าโจวที่ถูกต้องชอบธรรม
“ไม่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะทำอะไรช่วงหลายปีมานี้ มีผู้อาวุโสในราชวงศ์มากมายเพียงไรที่ถูกนางสังหาร แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางเป็นภรรยาจักรพรรดิเซียน รัชทายาทเจาหมิงเป็นโอรสนางและก็เป็นโอรสจักรพรรดิเซียนด้วย หากบัลลังก์ต้าโจวเว้นว่างเมื่อไร ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปกว่ารัชทายาทเจาหมิงอีกแล้วที่จะได้นั่ง”
เฉินหลิวอ๋องมองดวงตาเขาและกล่าวอย่างจริงจัง
เพราะเฉินฉางเซิงไม่ได้ยอมรับว่าเขาเป็นรัชทายาทเจาหมิง คำพูดจึงไม่ได้กล่าวว่า ‘เจ้า’ แต่เป็น ‘รัชทายาทเจาหมิง’
ทว่าเจตนาของเขานั้นชัดเจนดังแสงตะวัน ทุกคนล้วนเข้าใจ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นปกครองมาเป็นเวลากว่าสองร้อยปีและควบคุมราชสำนักด้วยกำปั้นเหล็ก มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมายช่วงสิบกว่าปีมานี้ อย่างเช่นวิธีการของโจวทงที่กดขี่ราชวงศ์เฉินให้ตกต่ำจนน่าอนาถ ในตอนนี้ไม่มีร่องรอยว่าราชวงศ์เฉินมีอำนาจอะไรในจิงตู อย่างน้อยก็จากที่เห็นภายนอก เฉินหลิวอ๋องเป็นผู้เดียวที่เหลือรอด เป็นคนเดียวที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังไว้หน้าให้กับราชวงศ์ เป็นความสบายใจเล็กน้อยให้กับประชาชนทั้งหลาย และยังเป็นสัญลักษณ์ ว่าเฉินหลิวอ๋องเป็นเพียงแค่ผีเดียวดายที่ไม่มีอำนาจอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งราชวงศ์เฉินเคยออกจากเมืองเทียนเหลียงเพื่อยึดครองโลก และสร้างยอดคนที่ทำให้สวรรค์ต้องสะเทือนอย่างเฉินเสวียนป้าคนแล้วคนเล่า รัชทายาทองค์ก่อนและจักรพรรดิไท่จงนั้นมั่งคั่งเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกกวาดล้างจากจิงตูอย่างง่ายดาย พวกเขาย่อมต้องมีทรัพยากรซุกซ่อนเอาไว้ในจิงตู บางทีความแข็งแกร่งนี้อาจซ่อนอยู่ในนิกายหลวงหรือราชสำนัก แม้กระทั่งในวังหลวง และตามเมืองต่างๆ ภายนอกจิงตู ความแข็งแกร่งของราชวงศ์ก็ยังถือว่าเป็นปึกแผ่นมากพอที่จะทำให้ราชสำนักสั่นคลอนได้
ยกตัวอย่างเช่นเมืองเทียนเหลียง หากต้าโจวมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือสามัญชน ทุกคนในเมืองก็จะยืนหยัดอยู่ข้างราชวงศ์เฉินอย่างแน่นอน
ราชวงศ์เฉินนั้นมีลูกหลานที่กระจายออกไปหลายร้อยคนอยู่ตามเมืองต่างๆ ล้วนแต่มีขุมกำลังของตนเอง ด้วยขุมกำลังเหล่านี้ ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นของเซียงอ๋อง
เซียงอ๋องเป็นบิดาของเฉินหลิวอ๋อง
ไม่รู้ว่าเฉินหลิวอ๋องได้รับอนุญาตจากเซียงอ๋องให้พูดหรือกับเฉินฉางเซิงหรือไม่ แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงท่าทีของเซียงอ๋องออกมา
หากเฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง และอยากสืบทอดบัลลังก์ การได้รับแรงสนับสนุนจากขุมกำลังของเซียงอ๋องนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเท่าไร
ดวงตาเฉินหลิวอ๋องเผยความผิดหวังและสับสน
ใครกันที่ไม่ต้องการบัลลังก์ต้าโจว
เฉินฉางเซิงไม่ต้องการ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ในตอนนี้ เขาไม่มีอารมณ์มายุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการใหญ่
‘เหตุการณ์สำคัญของชีวิตก็มีแค่เกิดกับตายเท่านั้น’ นี่คือเหตุผล
เฉินหลิวอ๋องไม่อาจอยู่ในสำนักฝึกหลวงได้นานนัก ด้วยข่าวลือที่ว่าเฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิง การพบกันนี้จึงถือเป็นเรื่องต้องห้าม
คนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องเฝ้ามองสถานที่แห่งนี้ ราชโองการที่เพิ่งมาเมื่อครู่เป็นหลักฐานได้อย่างดี
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “อย่าได้ยืนอยู่ฝั่งจักรพรรดินีเพียงเพราะสวีโหย่วหรง อย่าได้รีบตัดสินใจ ดูให้ดีก่อน คิดให้ดีก่อน ว่าราชวงศ์ต้าโจวต้องการสิ่งใดมากที่สุด”
เฉินฉางเซิงมองดูใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย มองดูความมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนนั้น เขาคิดถึงข่าวลือที่เขาได้ยินตอนเข้ามาในจิงตูที่ว่าจักรพรรดินีชื่นชอบเฉินหลิวอ๋องมาก รู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เฉินหลิวอ๋องดูเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงอธิบาย “จักรพรรดินีปฏิบัติต่อข้าด้วยดี แต่นางทำผิด”
เฉินฉางเซิงไม่ถามคำถามอย่าง ‘ใครเป็นคนตัดสินว่าถูกหรือผิด’ เพราะเขารู้ว่าทุกคนล้วนมีข้อสรุปของตนเองเกี่ยวกับเรื่องของราชวงศ์ในช่วงหลายปีมานี้ ทุกคนต่างก็มีตาของตนเอง
“ความผิดของนางไม่ได้อยู่ที่ว่านางใช้โจวทง ไม่ใช่การที่นางใช้เฉิงจวิ้น หรือการที่นางใช้พวกที่เรียกว่าแปดพยัคฆ์”
เมื่อเฉินหลิวอ๋องพูดถึงเหล่าขุนนางที่ชั่วร้ายเหล่านั้น สีหน้าเขาก็จริงจังขึ้นมา “…ความผิดของจักรพรรดินีไม่ใช่การที่นางใช้คนผิดหรือใช้ผิดคน แต่เป็นเพราะเมื่อนางคิดใช้คนพวกนี้ จงใจใช้คนพวกนี้ นางไม่สนว่าจะมีใครตาย สนเพียงแต่อำนาจตนเท่านั้น นางทุ่มเทพลังทั้งหมดไปที่ราชสำนักและสังหารผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่นางเห็นว่าเป็นศัตรู แต่นางลืมไปว่าศัตรูที่แท้จริงของต้าโจวคือใคร”
ต้าโจวนั้นเป็นราชวงศ์ที่ถูกต้องของโลกมนุษย์ เป็นตัวแทนผลประโยชน์พื้นฐานของมนุษย์ทั้งมวล ศัตรูย่อมต้องอยู่ที่แดนเหนือ ซึ่งก็คือเผ่ามาร”
“ดูสภาพบ้านเมืองนี้ช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาสิ อาณาจักรต้าโตวนั้นอยู่ในจุดสูงสุด แต่เรากลับไม่อาจบุกขึ้นเหนือได้แม้แต่ก้าวเดียว ถึงกับพ่ายแพ้ในการต่อสู้ด้วยซ้ำ สำหรับบ้านเมืองและประชาชน เราทุกข์ทนอยู่ในพายุหิมะ มีคนถูกเผ่ามารจับตัวไปอยู่เป็นระยะๆ เพื่อทำงานรับใช้ในกองทหารเผ่ามาร เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ เพราะว่าจักรพรรดินีไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น”
เฉินหลิวอ๋องจ้องเข้าไปในดวงตาเขาและกล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่ว่านางจะมีการบำเพ็ญสูงเพียงใด มีพลังน่าทึ่งสักเพียงไหน หรือจะมีแผนร้ายกาจเท่าไร นางก็ยังเป็นสตรี สายตาและจิตใจของนางยังคงคับแคบ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะนำพวกเราไปสู่ชัยชนะ ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ต่อไป”
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปทางตะวันตก แต่ยังไม่ถึงยามพลบค่ำ แม้กระนั้นท้องฟ้าก็เริ่มมีสีแดงแล้ว
เฉินฉางเซิงเดินผ่านม่านกลับไป ภายใต้สายตาที่ไม่สบายใจและลังเลของศิษย์สถานศึกษาหนานซี เขาปีนขึ้นไปบนต้นไทรย้อย และนั่งอยู่บนกิ่งของมัน ทอดสายตามองไกลออกไป
จิงตูถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงตะวันต้นฤดูสารท หลังคาสีดำกำแพงสีขาวมีให้เห็นอยู่ทั่วไปหมด ผู้คนเดินไปมาบนถนน รถม้าวิ่งไม่ขาดสาย เป็นความคึกคักที่เปี่ยมไปด้วยความปลอดภัยและเป็นสุข
ผู้คนในที่แห่งนี้ยากที่จะจินตนาการถึงแรงกดดันที่กองทัพมนุษย์ได้รับบนทุ่งหิมะแดนเหนือ ต้องใช้ชีวิตอย่างเย็นเยียบเช่นไรในที่แห่งนั้น
คนที่มีชีวิตอยู่เหล่านี้คงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนไปนานแล้ว กองทัพเผ่ามารได้โจมตีเมืองลั่วหยางเป็นเวลาสามเดือน แนวรบห่างจากจิงตูไปเพียงสี่ร้อยลี้เท่านั้น
เขาครุ่นคิดถึงคำพูดเฉินหลิวอ๋องอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็เลิกคิดและเริ่มกลับมาสนใจเรื่องของตน
ต้นไทรย้อยอยู่ริมทะเลสาบ และทะเลสาบในสำนักฝึกหลวงก็เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี
เขาใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้มานานกว่าสองปี ตอนเขาเข้ามายังที่แห่งนี้ครั้งแรก นามของสำนักฝึกหลวงนั้นถูกไม้เลื้อยปกคลุมจนหมด และที่แห่งนี้ก็ถูกลืมเลือนไปนานแล้ว
เขาได้พบกับแพะดำที่นี่และยังได้พบแม่นมจากวังหลวง หลังจากนั้นในตำหนักเขาก็ได้สบตากันแม่นมคนนั้นและเกือบจะลืมไปหมดว่านางมีหน้าตาเช่นไร
รถลากไม้ไผ่ที่ลากโดยเจ้าแพะดำนั้นไม่ใช่ของแม่นมแต่เป็นม่ออวี่
เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้พบม่ออวี่ นานแล้วที่ไม่ได้กลิ่นของนางบนเตียงเขา หรือได้เห็นเส้นผมนางที่ตกเหลืออยู่ บางทีสวีโหย่วหรงอาจเป็นสาเหตุกระมัง
สำนักฝึกหลวงในตอนนั้นมีเพียงแค่เขาคนเดียว
อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงก็คือสวนร้อยหญ้า หญิงสาวผู้หนึ่งกระโดดข้ามกำแพงมาและจากนั้นสำนักฝึกหลวงก็มีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
จากนั้นเซวียนหยวนผ้อก็มา ถังซานสือลิ่วตามมา หลังจากนั้นก็มีเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋อีกด้วย หลังจากรับนักเรียนใหม่เมื่อปีก่อน ที่แห่งนี้ก็คึกคักหาใดเปรียบ
ครั้นคิดถึงเวลาช่วงแรกที่มีเพียงเขากับลั่วลั่วในที่แห่งนี้ เขาก็ราวกับตกอยู่ในภาพลวงตาของชาติก่อน
เซวียนหยวนผ้อได้จากไปแล้ว คาดว่าคงวิ่งตะบึงไปยังแม่น้ำแดง หลังจากลั่วลั่วได้รู้ นางคงเสียใจอย่างมาก
คิดแล้วเฉินฉางเซิงก็รู้สึกอบอุ่นใจอยู่บ้าง เขาตระหนักว่าเขาไม่อาจจะมีชีวิตอย่างสงบสุขได้เมื่อมีความกังวลห่วงใยในสิ่งต่างๆ มากเกินไป
โศกนาฏกรรมอาจเผยให้เห็นความงาม ความเศร้าทำให้ผู้คนมองเห็นความงามแต่ก็ไม่อาจที่จะเอื้อมถึงได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องหันจากไป จากนั้นก็หายไปจากสายตา
ครั้นได้เห็นจิงตูภายใต้แสงอาทิตย์ฤดูสารทและคิดว่าจะต้องอำลาโลกอันงดงามนี้ในไม่ช้า เขาก็เริ่มรู้สึกเศร้าขึ้นมา
เขามองไกลออกไป และตะโกนออกมาสองครั้ง เสียงตะโกนไม่มีความหมายอะไร เขาเพียงอยากตะโกนออกไปเพื่อพิสูจน์ว่าตนยังมีชีวิตอยู่
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีและนักเรียนของสำนักฝึกหลวงมองขึ้นไปที่ต้นไทร มองดูร่างของเขาที่เหมือนจะละลายหายไปในแสงตะวัน พวกเขาสับสนอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเขาตะโกน พวกเขาก็ตกใจ ศิษย์สถานศึกษาหนานซีคิดในใจ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปชอบคนเช่นนี้ได้อย่างไร นักเรียนสำนักฝึกหลวงคิด ที่แท้เจ้าสำนักก็เป็นคนเช่นนี้
ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋มองไปที่แห่งนั้นและสีหน้าก็เคร่งเครียด หัวใจหนักอึ้ง
……
……
หากรู้ว่าตนมีชีวิตเหลืออีกไม่กี่สิบวัน จะใช้เวลานั้นอย่างไร รวบรวมสิ่งที่อยากจะทำแต่ไม่เคยทำแล้วบันทึกเป็นรายการจากนั้นก็ขายบ้านขายนาไปทำสิ่งเหล่านั้น หรือจะซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของห้อง ร้องไห้น้ำตานองหน้า หรือจะไม่สนใจกฎเกณฑ์อันใดและทำในสิ่งที่ตนเองต้องการไม่ว่ามันจะชั่วร้ายเพียงใด
ยามที่เฉินฉางเซิงยืนขึ้นบนต้นไทรย้อยในสำนักฝึกหลวงและคิดถึงคำถามนี้ ในคุกกรมอาญาที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง อดีตหมอหลวงเจิ้งซุนและอดีตขุนนางกรมพิธีการใต้เท้าหยางซิวเซินก็กำลังถูกสอบปากคำ แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะผ่านวันเวลานี้ไปได้ ได้แต่คิดว่าอยากให้วันเวลานี้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นับตั้งแต่ถูกลอบนำตัวมายังคุกโจว พวกเขาก็ปรารถนาจะตาย ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะที่นี่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย
ลวดเหล็กแหลมคมแทงเข้าใส่หูซ้ายของหยางซิวเซินและทะลุออกมาทางหูขวา พร้อมกับบางอย่างที่ดูเหมือนเศษสมอง แต่ไม่มีเลือดออกมามากนัก ในการทรมานช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาเสียเลือดมากเกินไป ไม่แน่ว่าเลือดในกายเขาคงจะหมดไปแล้ว