ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 107 ก็แค่สังหารให้หมด
“หากเขาเป็นรัชทายาทเจาหมิง ข้าคิดว่าย่อมมีคนมากมายที่ต้องการสังหารเขา ถึงแม้คนพวกนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจะตาย แต่ท่านก็ต้องเข้าใจว่าชีวิตของพวกเขารวมถึงการดำรงอยู่ของตระกูลนั้นขึ้นอยู่กับท่าน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ยอมเสี่ยง ไม่ยอมปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแม้แต่วันเดียว”
สวีโหย่วหรงสรุปอย่างใจเย็น “ดังนั้นข้าไม่อาจไปจากสำนักฝึกหลวง และค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีก็จะไม่ถูกยกเลิก”
ถ้วยลายครามเรียบหรูในมือของนางหมุนช้าๆ ประดุจกังหันน้ำที่ถูกกระแสน้ำดันให้หมุนอย่างนุ่มนวลและเงียบเชียบ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังถ้วยในมือนาง เผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนจางที่เหมือนจะมีความหมายอย่างล้ำลึก ทว่านางไม่พูดอะไร
ถ้วยลายครามนั้นงดงามนัก และดูเหมือนจะทนทานมาก แต่สำหรับนาง เพียงอำนาจจิตก็สามารถทำให้มันกลายเป็นผุยผงได้แล้ว
สวีโหย่วหรงไม่คาดหวังให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ช่วยชีวิตเฉินฉางเซิง ต่อให้เขาอาจเป็นบุตรของนางก็ตามที
ยิ่งไปกว่านั้น สังฆราชก็ไม่สามารถช่วยรักษาอาการป่วยของเฉินฉางเซิงได้ ดังนั้นจักรพรรดินีก็ย่อมไม่อาจทำได้เช่นกัน
แต่นางหวังว่าในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายในชีวิตของเฉินฉางเซิง เขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องพบเจอกับเรื่องวุ่นวาย
หลังจากอายุครบสิบปี เฉินฉางเซิงก็ต้องแบกรับเงาแห่งความตาย ทั้งต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่อาจหยุดพักได้ ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
“หากฝ่าบาทเห็นด้วยกับข้า ข้าจะไปจากจิงตูพร้อมกับเขาในวันพรุ่งนี้”
สวีโหย่วหรงพิศมองจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขณะกล่าว
รอยยิ้มจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จางไป เหลือไว้เพียงความไม่แยแส “หากเขาเป็นลูกข้าจริง เช่นนั้นทุกวันที่เขามีชีวิตก็ต้องเป็นเรื่องที่ข้าควรใส่ใจ”
สวีโหย่วหรงตอบ “ในการเดินทางกลับจากหานซาน ข้าได้ศึกษาตำราทั้งหมด ไม่มีหลักฐานเรื่องการสะท้อนกลับของวิถีสวรรค์”
“นั่นเพราะว่าจักรพรรดิไท่จู่และจักรพรรดิไท่จงไม่ได้ทำผิดคำสาบานที่ให้ไว้ คนแรกให้ลูกทั้งหมดตายเหลือเพียงแค่ไท่จงเท่านั้น และคนหลังก็ได้สังหารเหล่าคนที่มีรูปอยู่บนหอหลิงเยียนทั้งหมด หากหวังจื่อเช่อไม่หนีไปได้เร็วพอ บางทีไท่จงอาจจะมีชีวิตได้เห็นฤดูใบไม้ร่วงอีกพันครั้งและหลายชั่วอายุคน จนแม้แต่ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งของข้าในตอนนี้”
ยามที่นางพูดถึงจักรพรรดิไท่จู่และไท่จง น้ำเสียงนางไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อนางกล่าวถึงจักรพรรดินีไท่จงผู้ซึ่งได้รับความนับถือจากคนทั่วไป น้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความล้อเลียน ประหนึ่งว่าเขาเป็นเรื่องอัปยศอดสู
“เมื่อสองปีก่อนตอนที่เฉินฉางเซิงจุดดาวชะตาในหอสมุดสำนักฝึกหลวง ข้ากับม่ออวี่บังเอิญอยู่บนแท่นกานลู่ ในตอนนั้นข้าก็รู้ว่าดาวชะตานั่นถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกับชะตาข้า…หากชะตากำหนดไว้ว่าระหว่างเขากับข้ามีคนรอดชีวิตได้เพียงคนเดียวแล้ว วิถีสวรรค์จะให้เขาหรือข้าที่มีชีวิตอยู่กันล่ะ”
น้ำเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น
สวีโหย่วหรงรู้ดีว่าก่อนที่วิถีสวรรค์จะเป็นฝ่ายเลือก จักรพรรดินีจะเป็นฝ่ายให้คำตอบเสียเอง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนขึ้น เป็นการบอกว่านางไม่ต้องพูดต่อไปแล้ว นางเดินเอามือไพล่หลังไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้าที่ดูราวกำลังลุกไหม้
สวีโหย่วหรงเดินไปที่หน้าต่าง ชะเง้อมองท้องฟ้าสีแดงยามเย็น นางหรี่ตาและเอามือไพล่หลังโดยไม่รู้ตัว
ดูจากด้านหลัง ทั้งสองมีท่าทางเหมือนกันราวกับแกะ หรืออาจบอกได้ว่าเหมือนแม่ลูก
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าว “ทุกคนมองว่าเจ้านั้นเหมือนกับลูกสาวของข้ายิ่งกว่าองค์หญิงผิง”
องค์หญิงผิงนั้นเป็นลูกบุญธรรมที่นางรับตัวมาจากตระกูลเทียนไห่ พวกเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดและมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันอยู่บ้าง
ในตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นสาว นางเป็นหนึ่งในสาวงามที่เลื่องชื่อของโลกนี้ ในตอนนี้สวีโหย่วหรงก็เป็นที่รู้จักในนามของสาวงามที่สุดในโลก ทว่าความงามของทั้งสองคนนั้นกลับไม่เหมือนกัน
แต่ก็เฉกเช่นที่นางกล่าว ทุกคนคงคิดว่าสวีโหย่วหรงเป็นลูกสาวนาง
นั่นเป็นเพราะกิริยา ท่าทาง และนิสัยที่คล้ายคลึงกัน
“อันที่จริง ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นลูกสาวของข้าเพราะเรามีเลือดแบบเดียวกัน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังเมฆแดงบนขอบฟ้า รัศมีเจิดจ้าแผ่ออกมาจากใบหน้างดงาม เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “ในตอนที่ข้าทำการบูชาต่อท้องฟ้าพร่างดาวและทำการฝืนลิขิตพลิกโชคชะตา ข้านั้นยินดีที่จะตายโดยไร้ทายาท เพื่อที่ข้าจะได้ขึ้นสู่บัลลังก์ ข้าไม่เคยเสียใจในเรื่องนี้ เพราะข้ารู้ดีว่าแม้แต่วิถีสวรรค์ก็ไม่อาจห้ามการกำเนิดใหม่ของหงส์สวรรค์ได้”
เมฆแดงเคลื่อนไปช้าๆ ราวกับวิหคเพลิงกำลังพุ่งตัวออกจากเปลวไฟ
“เจ้าคือทายาทของข้า ผู้สืบทอดของข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หันมาหาสวีโหย่วหรงและกล่าวอย่างเฉยชา “ส่วนเขาจะเป็นลูกชายของข้าหรือไม่ ข้าไม่สนใจ”
สวีโหย่วหรงคิด อย่างไรเขาก็ยังเป็นเลือดเนื้อของท่าน ท่านไม่มีความรักให้เขาแม้แต่เพียงเล็กน้อยจริงหรือ
“ข้าสอนเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์เจ้าจะทำให้เจ้าลืมที่ข้าสอนไปหมด”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเฉยชา “ความรักเป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด คุณธรรมเป็นสิ่งที่พวกอ่อนแอใช้ปกป้องตัวเอง ล้วนมิใช่เรื่องที่สำคัญ”
สวีโหย่วหรงถาม “เช่นนั้นสิ่งใดเล่าที่สำคัญ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าวอย่างสบายๆ “มีตัวตน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวีโหย่วหรงก็ถาม “เราควรมีตัวตนอย่างไร”
“มีตัวตนอย่างไรน่ะหรือ ใช้ความมหัศจรรย์ทั้งหมด ดูว่าจะมีตัวตนได้นานสักเท่าไร สามารถทำให้วิญญาณไม่ดับสูญได้อย่างไร และก้าวไปตามเส้นทางแห่งมหามรรค”
“ทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมดับสูญ แม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นอำพรางเทพหรือแม้แต่ที่อยู่เหนือกว่าอย่างขั้นมหาอิสระก็ยังมีเกิดมีตาย”
“สิ่งต่างๆ นั้นเสื่อมสูญได้อย่างง่ายดาย แต่ผลกระทบนั้นสามารถอยู่ได้อย่างยาวนาน สุดท้ายแล้วก็ต้องดูว่าเราจะสามารถทิ้งรอยเอาไว้ได้ลึกแค่ไหน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หันกลับไปมองนางและกล่าวต่อ “รอยทางนั้นก็มาจากการก้าวเดินของข้ากับเจ้า ไปยังทิศทางแห่งใจของพวกเรา”
สวีโหย่วหรงถาม “หากมีคนขวางทางท่านเล่า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตอบ “ดังนั้นเราจึงต้องมีความแข็งแกร่งที่จะสังหารคนที่มาขวางทาง มีแต่วิธีนี้ เราจึงจะขับเคลื่อนโลกนี้ไปเบื้องหน้าได้ตามใจปรารถนา เพื่อประทับวิญญาณของเราเอาไว้ในประวัติศาสตร์ที่แม้แต่คำประณามของคนนับหมื่นก็ยังไม่อาจลบมันได้ มีแต่วิธีนี้ เราจึงจะเข้าใกล้กับความเป็นนิรันดร์ได้อย่างแท้จริง”
สวีโหย่วหรงนั้นฉงนอยู่บ้าง ขมวดคิ้วถาม “หากทุกคนล้วนขัดขวางท่านเล่า หรือว่าสามารถสังหารได้หมด”
“แน่นอนว่าเจ้าสามารถสังหารได้หมด ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
สุรเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ดังก้องไปในโถงตำหนักอันกว้างใหญ่และว่างเปล่า
“ก่อนอื่นก็ฆ่าทุกคนที่นั่น”
นางมองไกลไปยังทิศเหนือ ประหนึ่งจะส่งเสียงไปยังพายุหิมะที่ไม่เคยสงบตลอดทั้งปี
“จากนั้นก็สังหารทุกคนที่อยู่ที่นั่น”
นางมองไปทางตะวันตกกล่าวกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด
“ครั้นแล้วก็สังหารทุกคนที่อยู่ที่นั่น”
นางเบนสายตากลับมามองที่จุดหนึ่งในจิงตู
ยามที่นางกล่าว ต้นไม้ที่ทอดตัวเป็นแนวตามถนนเสินของพระราชวังหลีก็สั่นไหวแม้ไม่มีลม ใบไม้มากมายร่วงลงพื้น
“สุดท้ายก็สังหารทุกคนที่นั่น”
นางมองไปบนฟ้า ดวงตาลึกล้ำราวกับว่านางมองทะลุท้องฟ้าสีแดงไป
……
……
แสงอัสดงเคลื่อนผ่านไป ความมืดก็มาแทนที่ ร้านอาหารภายนอกสำนักฝึกหลวงยังคงปิดอยู่ ทำให้ตรอกไป๋ฮวาเงียบงันอย่างยิ่ง มีเสียงพ่อค้าเร่ร้องขายของอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ถูกทหารม้านิกายหลวงกล่าวเตือน พวกเขารู้ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และศิษย์สถานศึกษาหนานซีต่างก็อาศัยอยู่ในสำนักฝึกหลวงทั้งหมด พวกเขาจึงต้องควบคุมเสียงร้องไม่ให้ดังเกินไป
ชายชราขายดอกพุดซ้อนอาศัยความมืดเคลื่อนตัวเข้าใกล้กำแพงสำนักฝึกหลวง ดูเหมือนเขาจะไปปลดทุกข์ แต่ก็พลันหายตัวไป
รถม้านำวัตถุดิบจากหอเฉิงหูเข้าสู่สำนักฝึกหลวงทางประตูหลัง ของว่างยามค่ำจำนวนมากถูกลำเลียงมาอย่างระมัดระวังเข้าไปในครัว เพื่อที่พ่อครัวจะได้เตรียมให้กับเหล่านักเรียนสำนักฝึกหลวงและศิษย์สถานศึกษาหนานซี ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นำอาหารมาได้พูดกับพ่อครัว จากนั้นก็หายไปตรงหน้ากำแพงสีเทาด้านนอก
ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นในหลายที่ ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น
มีคนทั้งหมดสิบสี่คนที่เข้ามาในสำนักฝึกหลวงยามมืด ทั้งหมดล้วนเป็นมือสังหารและนักฆ่า
นอกเหนือจากหอความลับสวรรค์และชุดดำ ทั่วทั้งต้าลู่ มีเพียงกรมอาญาที่สามารถจัดหายอดมือสังหารและนักฆ่าที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ได้ในเวลาอันสั้น
ไม่ว่าศิษย์สถานศึกษาหนานซีจะมีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงเพียงไร มีเพลงกระบี่ล้ำเลิศแค่ไหน หรือแม้จะจัดวางค่ายกลกระบี่เอาไว้ พวกเขาก็ยังเป็นแค่ศิษย์ผู้ศึกษาเต๋าที่บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบงันอยู่ภายในยอดเขาของตน พวกเขาจึงขาดประสบการณ์ในด้านนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักฝึกหลวงยังมีทางเข้ามากกว่าสิบจุดบนกำแพงรอบนอก ไม่ว่าทหารม้านิกายหลวงจะลาดตระเวนอย่างแข็งขันเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมได้อย่างสมบูรณ์
ไม่ใช่ทุกคนในสำนักฝึกหลวงจะไม่รู้ตัวว่ามีมือสังหารลอบเข้ามาในสำนัก
ยามที่ชายชราที่ขายดอกพุดซ้อนเข้ามาในสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วก็ลืมตาขึ้น
เขาไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่อยู่ที่ต้นไทรย้อยริมทะเลสาบ
ระหว่างวัน เฉินฉางเซิงได้บอกความประสงค์สุดท้ายของเขารวมถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
ถังซานสือลิ่วกับซูม่ออวี๋นั้นเงียบงันอย่างยิ่ง ในขณะที่เซวียนหยวนผ้อได้วิ่งจากไป เจ๋อซิ่วไม่พูดอะไร เพียงแต่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้และนอนหลับโดยมีกระบี่ธงชัยอยู่ในอ้อมแขน
ด้านหลังเขาคือค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี และเลยไปอีกเป็นบ้านที่มีเฉินฉางเซิงอยู่ภายใน
หากจะสังหารเฉินฉางเซิง คนพวกนั้นต้องผ่านเขาไปก่อน
บนประกาศชิงอวิ๋น เขาอยู่อันดับสอง ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์เพียงคนเดียวที่สั่นคลอนตำแหน่งของสวีโหย่วหรงได้ ไม่ใช่เพราะเขามีระดับการบำเพ็ญเพียรอันสูงล้ำ แต่เป็นเพราะเขามีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เกินคาดหยั่ง
เขาไม่ได้มีระดับการบำเพ็ญสูงที่สุดในสำนักฝึกหลวงเช่นกัน แต่หากไม่นับรวมของวิเศษต่างๆ แล้ว ต่อให้เป็นเฉินฉางเซิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เขาเติบโตขึ้นในถิ่นกันดารและโหดร้ายอย่างทุ่งหิมะ ลูกหมาป่าที่ใช้ชีวิตด้วยการเผชิญหน้ากับความตาย
ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงใช้กระบี่เดียวทำลายเขตแดนดวงดาวจนทำให้ฝูงชนตกตะลึง ในตอนนั้น เขากล่าวว่ามีอย่างน้อยห้าคนที่สามารถทำได้แบบเดียวกันนี้ เอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวได้ในขณะที่อยู่ในระดับทะลวงอเวจี
คนทั้งห้าที่เขากล่าวถึงก็คือชิวซานจวิน สวีโหย่วหรง โก่วหานสือ ตัวเขาเองและเจ๋อซิ่ว[1]
เจ๋อซิ่วนั้นสัมผัสถึงอันตรายได้อย่างว่องไวเป็นที่สุด เขามองไปยังความมืดของสำนักฝึกหลวง ไม่นานก็หาร่องรอยของมือสังหารได้อย่างน้อยเจ็ดคน
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ดูประหลาดเกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะเหล่ามือสังหารล้มลงทีละคน บ้างก็ล้มลงในกอหญ้า บ้างก็ล้มลงในป่า มีมือสังหารคนหนึ่งพยายามหนีลงน้ำ แต่กลับจมลงไปและไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย ภายใต้แสงดาว มีเพียงจุดสีแดงหม่นมัวให้เห็นบนผิวน้ำ
ตอนนั้นเองที่เจ๋อซิ่วตระหนักว่ามียอดฝีมือมากมายได้ซ่อนตัวอยู่ในสำนักฝึกหลวง แม้ว่ายอดฝีมือเหล่านี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาอยู่ดี
……
……
รถม้าจอดอยู่นอกตรอกไป๋ฮวา
แสงโคมในรถม้านั้นค่อนข้างสลัว ส่องกระดาษขาวบนโต๊ะจนเป็นสีเหลือง และตัวอักษรมีสีค่อนไปทางน้ำเงิน
สีหน้าของเจ้าหน้าที่กรมอาญาทั้งสองดูซีดขาวยิ่งขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านับตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองอำนาจ สำนักงานที่อยู่บนตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งนั้นเป็นที่ซึ่งชั่วร้ายที่สุดในต้าลู่และกระทำเรื่องหยาบช้าเสมอมา
แต่คนที่กรมอาญาต้องการจะสังหารในคืนนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นว่าที่สังฆราช เมื่อคิดเรื่องนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็รู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
พวกมือสังหารที่เข้าไปในสำนักฝึกหลวงก็ไม่มีใครกลับออกมา
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือไม่มีเสียงดังออกมาจากสำนักฝึกหลวง เสมือนว่าไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นภายในนั้น
ความมืดปกคลุมสำนักฝึกหลวงราวกับนรกที่กลืนกินชีวิตของเหล่ามือสังหารที่โดดเด่นสิบสี่คนของกรมอาญาไปอย่างเงียบงัน
[1] จุดนี้ต่างจากที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ไม่มีเจ๋อซิ่วและเฉินฉางเซิง แต่เป็นหนานเค่อกับชูเจี้ยน