ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 110 สาเหตุที่กินเจ้า
หญิงสาวนางนี้งดงามดั่งภาพวาด เป็นความงามไร้ที่ติ เป็นปทุมาสีนิลที่เพิ่งแย้มบาน แต่กระนั้นดวงเนตรกลับไม่แยแส ความลึกล้ำแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยม เมื่อรวมกับนัยน์ตาวงรีแนวตั้งที่ดำสนิท ความงดงามของนางจึงออกจะแปลกประหลาดไปบ้าง
เฉินฉางเซิงพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน ในตอนนี้ เขาย่อมเดาได้แล้วว่าหญิงสาวในชุดดำผู้นี้คือใคร โดยเฉพาะหลังจากเห็นเส้นสีเลือดบนหน้าผากของนางที่เหมือนกับจุดแต้มชาด
เขารู้ว่าจากช่วงชีวิตของเผ่ามังกร นางเป็นเพียงแค่เด็กสาวเท่านั้น
เขาเคยได้ยินสวีโหย่วหรงกล่าวว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาวผู้หนึ่ง
แต่เขาก็ยังไม่คาดคิดว่านางจะเป็นเด็กสาวผู้หนึ่งจริงๆ
……
……
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็สลัดหลุดจากความตื่นตกใจได้
เขาเริ่มเดินไปหานาง อย่างแช่มช้าอยู่บ้างด้วยว่ายังคงกังวล
หญิงสาวเงยหน้ามองเขา นางดูยิ่งใหญ่และเหมือนจะขาดความอดทนอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงเห็นความเฉยเมยและโหดเหี้ยมในดวงตานาง รู้สึกราวกับว่าเขาถูกมองลงมาจากเบื้องบน เขารู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่านั่นเป็นธรรมชาติของนาง ไม่ใช่เพราะนางดูถูกเขาอย่างล้ำลึกแต่อย่างไร
มันเป็นสัญชาตญาณที่สิ่งมีชีวิตซึ่งมีระดับสูงกว่าจะมองลงไปยังสิ่งมีชีวิตที่ระดับต่ำกว่า
ดังเช่นมนุษย์มองวัวหรือม้าในทุ่ง บางทีอาจมีความชื่นชอบ ความกรุณา ความเคารรพอยู่บ้างแต่ก็ล้วนเป็นการมองจากเบื้องบนลงมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
ครั้นเฉินฉางเซิงเดินไปหานาง นางก็ก้มหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ปรารถนาให้เขาได้เห็นหน้านางชัดๆ อาจเพราะว่านางต้องการปกปิดความไม่แยแสที่นางแสร้งทำซึ่งเกิดจากความกระวนกระวายภายในใจของนาง แต่นางหารู้ไม่ว่าสำหรับผู้ชายแล้ว การก้มหน้านั้นมีแต่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเป็นความอ่อนช้อยและเอียงอาย
“ข้าไม่รู้ว่า…เจ้า…ทำเช่นนี้ได้”
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดเช่นไร เขาเข้าใจว่าทำไมนางถึงอยากจะใช้ร่างมนุษย์ในการพบเขา เพราะว่าเขากำลังจะตาย นางต้องการแสดงบางอย่างกับเขา เขาไม่แน่ใจว่านางต้องการจะแสดงอะไร แต่เขาพอจะเดาได้ และย่อมรู้สึกกังวลใจ
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฉินฉางเซิง
นางกลับคืนสู่ท่าทางเงียบขรึมเฉยชาดังเดิม นางนั่งอยู่บนพื้นและเตี้ยกว่าเฉินฉางเซิงมาก ทว่าสายตานางก็ยังดูเหมือนจะมองลงไปที่เขา น้ำเสียงก็เหมือนกับการออกคำสั่ง
เฉินฉางเซิงคิดในใจ ใช่ว่าข้าอยากจะตายเสียหน่อย เขานึกขึ้นได้ว่าวันนี้ก่อนที่โหย่วหรงจะไปยังวังหลวง นางก็พูดบางสิ่งคล้ายกันนี้
“ข้าเพิ่งบอกไปว่าคัมภีร์กาลเวลาสามารถช่วยเจ้าทำลายพันธนาการและจากไปได้ นับตั้งแต่ปีที่แล้ว โหย่วหรงกับข้าได้ถกกันถึงปัญหาที่จะช่วยเจ้าออกไป ในการเดินทางครั้งนี้ นางก็เสนอความคิดมากมาย ค่ายกลที่ข้าเพิ่งจัดวางเมื่อครู่ก็เป็นการออกแบบของนาง”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฉินฉางเซิงมองดูนางพลางกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมาอย่างจริงจัง เพราะเขาพอจะเดาได้บางอย่างและไม่ต้องการให้นางขุ่นเคืองสวีโหย่วหรงในอนาคต
เด็กสาวเบือนหน้าหนี ไม่ยอมเอ่ยคำ
นางไม่คาดคิดว่าสวีโหย่วหรงจะช่วยนาง ดังนั้นนางจึงตกใจอยู่บ้าง แต่ก็แค่นั้นไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกล่าว ‘ขอบคุณ’ นางสักหน่อย”
“นางอยู่กับเจ้าทุกวัน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเจ้ากำลังจะตาย เจ้าคิดว่าข้าต้องขอบคุณนางหรือ”
น้ำเสียงเด็กสาวพลันแหลมคมขึ้นด้วยความโกรธ
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
แม้ว่าพูดตามเหตุผลแล้ว พวกเขาได้พบกันหลายครั้งและก็คุ้นเคยกันดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนางในร่างของสาวน้อย จึงยากนักที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกกระอักกระอ่วนได้
“นี่..แม่นางจี๊ดจี๊ด”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ชื่อจี๊ดจี๊ด!”
เด็กสาวมองเขาเขม็งและกล่าว “ข้ามีชื่อ”
เฉินฉางเซิงจำได้ว่าสวีโหย่วหรงเคยบอกเขาว่า มังกรดำน้อยตนนี้มีชื่อเสียงเรียงนาม ดูเหมือนจะเรียกว่าจูซา แต่ก่อนที่เขาจะเปิดปาก…
“ข้านามว่าหงจวง” เด็กสาวกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
เฉินฉางเซิงย่อมไม่เถียงกับนางด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เขากล่าว “ข้าจะไปวางค่ายกล เจ้าอยากจะมาดูหรือไม่”
จากฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนจนถึงฤดูร้อนปีนี้ เขาได้มาที่นี่หลายหนและค้นคว้าค่ายกลบนผนังหิน พยายามหาทางทำลายมันเพื่อปล่อยมังกรดำให้เป็นอิสระ เขาไม่เคยให้นางดูมาก่อน
มิใช่เพราะว่ามีความลับเบื้องหลังวิธีที่เขาใช้ในการทำลายค่ายกล ทว่าเป็นเพราะนางไม่สนใจ หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางไม่มั่นใจว่าเฉินฉางเซิงจะมีความสามารถทำลายการกักขังที่หวังจือเช่อเป็นคนสร้างขึ้นได้
แต่วันนี้ เขาชวนนางให้มาดูเพราะว่าอาจไม่มีโอกาสทำเช่นนี้อีกแล้วในอนาคต
มังกรดำน้อยคิดแล้วก็ยืนขึ้นเดินไปทางผนังหินที่ห่างไป เพื่อความสะดวกนางยกชุดยาวสีดำขึ้น เผยให้เห็นเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้าง
เท้าเปล่าของนางขาวสะอาดดั่งหิมะ ครั้นเท้านางสัมผัสพื้นที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง น้ำแข็งพวกนั้นก็ดูเหมือนจะเสียความงดงามไปในทันใด
โซ่เหล็กเล็กๆ สองเส้นมัดอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสองของนาง โซ่นั้นสีดำสนิทขึ้นสนิม ข้อเท้าขาวนวลที่แนบกับโซ่ตรวนดูแล้วช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน
หลายปีล่วงผ่าน นางไม่รู้ว่านางพยายามทำลายมากี่ครั้งแล้ว โซ่นี้ก็ยังฝังลึกลงไปในข้อเท้านาง สามารถมองเห็นรอยแผลหรือแม้แต่กระดูกขาวได้ชัดเจน
เพียงมองดูก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว อย่าว่าแต่ความรู้สึกของเด็กสาวเลย เฉินฉางเซิงเดินอยู่ตรงหน้านาง ถือโซ่เอาไว้ในมือ ระมัดระวังอย่างมากเพื่อให้แน่ใจว่าโซ่ตรวนจะไม่เสียดสีข้อเท้าของนาง
แม้ว่าพลังของนางจะถูกค่ายกลนี้ควบคุมเอาไว้ ทว่านางก็ยังมีความแข็งแกร่งแต่กำเนิดของเผ่ามังกร สามารถเดินทางไปได้อย่างอิสระภายในถ้ำใต้ดิน ความเร็วของเฉินฉางเซิงก็นับว่าน่าทึ่ง พูดตามเหตุผลแล้ว พวกเขาเดินทางสิบกว่าลี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงเดินอย่างเชื่องช้า
ท้องฟ้าพร่างดาวที่เกิดจากไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่บนผนังถ้ำเริ่มอ่อนแสงลง ทิ้งไว้เพียงผนังหินที่ห่างไกลซึ่งพอจะเหลือประกายแสงอยู่บ้าง นางยกชุดยาวขึ้น เขาถือโซ่เอาไว้ และพวกเขาก็หายไปในความมืดเช่นนั้นเอง
แสงสลัวตกต้องพื้นผิวผนังหิน ส่งให้ใบหน้าขุนพลเทพในตำนานทั้งสองดูหม่นหมอง โซ่ในมือของพวกเขาดูเหมือนจะเคลือบไว้ด้วยพิษของเผ่าแม่มด รังสรรค์ภาพอันน่ากลัว
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ตรงหน้าผนังหิน มองดูขุนพลทั้งสองและค่ายกลที่เคยผนึกผนังหินเอาไว้ หลังจากคำนวณและศึกษาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นำเอาของที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาจากฝักกระบี่และเริ่มทำการจัดวางค่ายกล
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาทำงานอย่างขะมักเขม้น คิ้วขมวดมุ่นอยู่เป็นระยะๆ มีแต่เขาเท่านั้นว่าที่รู้ว่าเป็นเพราะเขาพบกับความยากลำบาก หรือเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากอาการป่วยของเขา
มังกรดำน้อยนั่งลงบนพื้นที่มีน้ำแข็งปกคลุมด้วยความคุ้นเคย เงยหน้าขึ้นมองภาพบนผนังหิน จิตใจเหม่อลอยไปราวกับกำลังคิดเรื่องบางอย่าง ความเสียใจและขุ่นเคืองเผยให้เห็นในดวงตาอันเฉยเมยคู่นั้น มีแต่มองไปที่เฉินฉางเซิง ถึงจะลดความขุ่นมัวของอารมณ์ลงได้
หลังจากผ่านไปนานเฉินฉางเซิงก็เสร็จสิ้นการวางค่ายกล เขาสำรวจดูอย่างละเอียดสองรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อบกพร่องหรือปัญหาใดก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก นับตั้งแต่คืนนั้นเมื่อสองปีก่อนตอนที่เขามาถึงที่แห่งนี้ผ่านวังหลวง เขาก็ได้ศึกษาโซ่ที่ขังมังกรดำเอาไว้เป็นเวลานาน กล่าวได้ว่าเขาได้นำเอาวิชาเต๋าและความรู้ทั้งหมดที่ร่ำเรียนมาตลอดชีวิตมาใช้เพื่อการนี้ และยังได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากถังซานสือลิ่วในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เขาจึงมีความมั่นใจว่ามันจะได้ผล
เขานำเอาคัมภีร์กาลเวลาออกมาและวางไว้ในมือมังกรดำ ครั้นแล้วก็มองไปยังในหน้านาง และกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้ามีวิธีที่จะทำให้ตัวเองหมดสติไปชั่วระยะหนึ่งหรือไม่”
ดวงตามังกรดำน้อยเปลี่ยนเป็นกลมโตพลางคิดในใจ นี่มันคำขอร้องแบบไหนกัน
เฉินฉางเซิงคิดจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เขาก็รู้ว่านางไม่เห็นด้วย จึงได้แต่กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เจ้าก็พยายามอดทนเอาไว้ให้มากที่สุด”
มังกรดำน้อยพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ก็ยื่นมือออกมาหวังจะทุบเขาให้หมดสติ ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว
เงียบเชียบราวกับใบหลิวตัดผ่านสายลมต้นวสันต์
กระบี่ไร้ราคีที่คมกล้าหาใดเปรียบถอดออกจากฝักและฟันลง
เฉินฉางเซิงกรีดข้อมือตัวเองและเลือดก็ไหลออกมา
เห็นได้ชัดว่าเลือดของเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันเปี่ยมด้วยประกายสีทองและพลังงานอันไร้ขีดจำกัด บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ แต่กระนั้นก็แผ่รัศมีความงามที่ยวนใจอย่างที่สุด
เลือดแสงศักดิ์สิทธิ์ของเขายังบรรจุไว้ด้วยเลือดแท้หงส์สวรรค์ของสวีโหย่วหรงอีกด้วย
ครั้นเลือดต้องสายลมเย็นในถ้ำ กลิ่นที่ไม่อาจบรรยายได้ก็แผ่กระจายไปทั่วถ้ำด้วยความเร็วที่ยากจะเข้าใจได้
กลิ่นนี้คล้ายกับกลิ่นหญ้าหรือหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า หรือกลิ่นลูกไม้ที่ออกผลใหม่ หรือผลไม้ที่เพิ่งสุกงอมและถูกลมพัดมาตลอดทั้งคืน
หากสถานการณ์นี้ดำรงต่อไป กลิ่นนี้ก็จะลอยออกไปจากสะพานอุดรใหม่สู่ส่วนต่างๆ ของจิงตู และจากนั้นประชาชนในจิงจูก็อาจจะกลายเป็นคลุ้มคลั่ง และแม้แต่นกในสุสานเทียนซูก็ยังบินอย่างบ้าคลั่งมายังที่แห่งนี้
เพราะโชคดีหรือเพราะเฉินฉางเซิงได้เตรียมตัวมานานแล้ว ค่ายกลที่เขาเพิ่งวางลงไปก็บรรจุพลังของธนูถงที่สวีโหย่วหรงใช้บนหานซานเพื่อตัดกลิ่นเลือดของเขาออกจากโลกภายนอก ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ภายในเลือดเป็นรากฐาน กลิ่นเลือดของเขาก็ถูกกลบจนสิ้น เมื่อรวมกับความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากมังกรดำ ก็มั่นใจได้ว่ากลิ่นจะหายไปก่อนจะแพร่ออกไปจากสะพานอุดรใหม่
แต่ก็ยังมีปัญหาหนึ่ง
มังกรดำน้อยอยู่ติดกับเขา ภายในบริเวณที่ค่ายกลปิดกั้นเอาไว้ นางดูเขาทำงานมาตลอดดังนั้นนางย่อมได้กลิ่น
เคล้ง!
โซ่ดึงรั้งร่างนางเมื่อนางลอยตัวขึ้นในอากาศ ผมสีดำพลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกับชุดสีดำของนาง ใบหน้างดงามเฉยชาไม่เหมือนมนุษย์ดุจดั่งเทพหรือปีศาจ
อารมณ์นับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากนัยน์ตาแนวตั้งอันน่าหลงใหลของนาง ดูซับซ้อนอย่างที่สุดและสับสนอย่างยิ่ง เป็นความลึกซึ้งที่สิ่งมีชีวิตระดับสูงมีต่อพลังอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นความปรารถนาของยอดฝีมีที่มีต่อความเป็นอมตะ และยังเป็นสัญชาตญาณความอยากกระหายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
นางมองลงไปที่เฉินฉางเซิงจากด้านบนด้วยความโลภแต่ก็ไม่สบายใจ กระหายแต่ก็เศร้าโศก นางดิ้นรนต่อสู้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในที่สุดนางก็สงบลง
สงบไม่ได้แปลว่าปลอดภัย
แม้ว่านางจะเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ทรงพลังและสูงส่ง แต่นางก็ยังเด็กมาก ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มายังชายฝั่งทะเลใต้ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยได้รับการสั่งสอนของเผ่ามังกรอย่างสมบูรณ์ ผลที่ตามมาก็คือนางไม่เคยเรียนรู้ที่จะควบคุมความปรารถนาของตน จะป้องกันจิตใจจากความปรารถนาที่ยากเกินควบคุมได้อย่างไร
สีหน้านางสงบอย่างยิ่ง ดวงตาโหดเหี้ยมอย่างที่สุด
นางตัดสินใจที่จะกินเฉินฉางเซิงเพราะเขาน่ากินเกินไป และนางก็มีเหตุผลมากเกินพอที่จะกินเฉินฉางเซิง ต่อให้ท้องฟ้าพร่างดาวถล่มลงมาและเจตจำนงของวิถีสวรรค์มาถามนาง นางก็ไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย
“เจ้าคนไร้หัวใจ ข้ามอบเลือดต้นกำเนิดของข้าให้กับเจ้า แล้วเจ้าก็ยังไปคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงอื่น! ข้าขอทำตามคำสาบานที่เราได้ให้แก่กันไว้ตั้งแต่แรก ข้าจะกลืนกินเจ้าทั้งเป็นในคำเดียว!”
ว่าแล้วพลังปราณของนางก็พุ่งขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตระหนก ทะลวงผ่านหลายระดับในทันทีจนกระทั่งบรรลุถึงระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนางก็พุ่งลงมายังเฉินฉางเซิง
……