ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 112 เสียงร้องของหงส์สวรรค์เยาว์วัย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ไม่แน่ว่าเวลานี้ยาวนานหรือสั้นอย่างมาก เฉินฉางเซิงก็ตื่นขึ้นจากความสับสนและหนีไปไกล
มังกรดำน้อยมองดูเงาหลังของเขาลับหายไปในความมืด ใบหน้าแสดงความไม่พอใจ โดยเฉพาะนัยน์ตาแนวตั้งของนาง แผ่ความรู้สึกอันเย็นเยียบผิดปกติออกมา
การกักขังที่หวังจือเช่อสร้างไว้บนผนังหินนั้น ทำให้นางไม่อาจฟื้นฟูสู่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้ แต่หากนางต้องการ นางก็สามารถคว้าตัวเฉินฉางเซิงมากินได้อย่างง่ายดาย ไม่เช่นนั้นนางจะกลายเป็น ‘สิ่งต้องห้าม’ ของวังหลวงที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงได้อย่างไร
แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้ทำ ความโกรธในดวงตาค่อยๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงความเปลี่ยวเหงา โศกเศร้าและดื้อรั้น
นางเข้าใจดีว่าที่เฉินฉางเซิงหนีไปไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวที่จะถูกกิน แต่เป็นเพราะเขาอยากจะหนีจากเรื่องอื่น
เมื่อไม่มีมังกรดำช่วย เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจใช้สระน้ำกลับไปยังผิวน้ำได้ เส้นทางที่เขาใช้จึงเป็นเส้นทางในครั้งแรกที่เข้ามาในถ้ำใต้ดินแห่งนี้โดยบังเอิญ เขาผลักประตูหินและกลับเข้าสู่ตำหนักเย็นที่เขาไม่ได้มาเป็นเวลานานมากแล้ว เมื่อเห็นตำหนักเว่ยยางที่อยู่ไกลออกไป เขาก็อดรู้สึกบางอย่างไม่ได้
ในตอนนั้น ม่ออวี่ได้ใช้ความสามารถวิเศษบางอย่าง ยืมพลังจากค่ายกลของวังหลวงส่งเขาจากตำหนักเว่ยยางมายังที่แห่งนี้ นางไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าเดินเข้าไปในถ้ำใต้ดินเพื่อพบกับ ‘สิ่งต้องห้าม’ ในตำนาน และได้พบกับประกายแห่งหวัง เช่นเดียวกับที่เขาไม่คาดคิดว่า ‘สิ่งต้องห้าม’ ที่ภายนอกดูโหดเหี้ยมและก้าวร้าว ในความจริงแล้วจะเป็นเพียงมังกรน้อยที่อ่อนต่อโลกและไม่รู้ประสา และไม่คิดว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับเด็กสาวผู้นี้มากมาย
เขายืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงริมสระมังกรดำ มองดูค่ายกลวังถงที่โด่งดัง จมอยู่ในความคิด เขาเข้าใจคัมภีร์เต๋าเป็นอย่างดีและได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลมาไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่ถึงระดับเดียวกับสวีโหย่วหรงหรือโก่วหานสือ ทว่าในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็ยังนับได้ว่ามีความโดดเด่น ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาถูกคุมขังด้วยค่ายกล เขาจึงพบว่ารากฐานของมันนั้นอยู่ลึกลงไปในสระ
เพื่อที่จะทำลายการกักขังที่หวังจื่อเช่อสร้างไว้ เขาได้เตรียมตัวมาเป็นเวลานาน ด้วยความช่วยเหลือของสวีโหย่วหรง เขาก็มั่นใจว่ามันจะใช้เวลาอย่างมากสิบปีในการกัดกร่อนโซ่ทั้งสองจนหมดประสิทธิภาพไป และมังกรดำน้อยก็จะได้รับอิสระ หากนางศึกษาคัมภีร์กาลเวลาที่เขาทิ้งไว้ให้ในถ้ำใต้ดิน นางก็จะทำให้เวลานั้นลดลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตอนนั้น เขาคงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
นี่คือความหมายของ ‘ผ่านไปพันปี เมฆขาวล่องลอยไร้จุดหมาย สิ่งต่างๆ คงเดิมแต่คนเปลี่ยนไป ต้นอ่อนเติบโตเป็นไม้ใหญ่’
แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังมีคนหรือเรื่องราวที่ไม่อาจปล่อยไป
สถานศึกษาหนานซีมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเดียวกับค่ายกลในตำหนักเย็นแห่งนี้ ล้วนแต่เรียกว่าวังถง
วังถงอยู่ในมือของนาง
ตอนนี้นางย่อมอยู่ในวังหลวง ไม่ไกลไปจากจุดที่เขาอยู่
เฉินฉางเซิงเดินอ้อมสระ ตามทางหินไปยังประตูหลังของวังถงเข้าสู่ป่า สายตาก็มองไปยังโถงตำหนักที่ห่างไกล
เขาไม่ชอบที่ต้องตายตามลำพัง แต่เขาก็ไม่อยากให้นางเห็นเขาจากโลกนี้ไป
ในไม่ช้า เขาเตรียมที่จะเข้าไปในสวนโจว ไม่มีใครที่นั่น ไม่มีใครเข้าไปได้
แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขามีบางอย่างที่จำเป็นต้องทำ
เสียงดังมาจากป่าตรงหน้า ใบไม้ที่กลายเป็นสีเหลืองแต่ก็ยังมีพลังชีวิตอยู่เริ่มร่วงลงมา
แพะดำโผล่ออกมาจากป่า เอียงหัวเล็กน้อยมองดูเฉินฉางเซิง ดูเหมือนจะสงสัยอยู่บ้าง มันใช้ความเงียบถามเขาว่าทำไมวันนี้ถึงได้มาโผล่ที่นี่แทนที่จะเป็นสระน้ำ
เฉินฉางเซิงประสานมือและคำนับให้แพะดำด้วยท่าทางพินอบพิเทา ก่อนกล่าว “ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลข้ามาตลอดสองปีที่ผ่านมา”
แพะดำหันหน้าไปทางตำหนักหนึ่งท่ามกลางหมู่ตำหนักมากมายที่อยู่ไกลออกไป
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายและส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะไปที่นั่น”
แพะดำหันกลับมามองดูเขาอย่างสงบ ดวงตาขอมันดูเหมือนกับความมืดมิดที่ลึกที่สุด
“ข้าใช้ชีวิตอย่างจริงจังมาตลอด บางทีอาจเรียกได้ว่าเข้มงวด เพราะข้าหวังว่าข้าจะมีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกสักหลายปีด้วยวิธีนี้ แต่ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี เมื่อคิดดูแล้ว ความเสียใจที่สุดก็คือข้าไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเอาแต่ใจมาก่อน ข้าบำเพ็ญเพียรด้วยเต๋าแห่งการทำตามใจตนเอง แต่เมื่อใดกันที่ข้าทำตามใจตนเองอย่างแท้จริง”
นับตั้งแต่เขารู้ว่าตนเองจะต้องตาย เฉินฉางเซิงก็ไม่เคยบอกความคิดของเขากับผู้ใด แต่ตอนนี้เขากลับบอกความในใจให้กับแพะดำตัวนั้น
“ดังนั้นก่อนข้าจะตาย ข้าตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ข้าอยากทำมาตลอด หากข้าทำสำเร็จ ข้าคิดว่าข้าคงจะมีความสุขมาก”
……
……
เข่นฆ่าไปทางบูรพา สังหารไปทางประจิม กวาดล้างทุกสิ่ง แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่เรื่องเดียว ‘ฆ่า’
ฆ่าทุกคนที่ขวางทาง ก็จะไม่มีใครมาขัดขวางเจ้าอีก ฆ่าจนโลกนี้ไม่กล้าขัดใจเจ้าและโลกนี้ก็จะเชื่อฟังเจ้า แต่หากทุกคนในโลกล้วนไม่ยอมฟังเล่า จะรับมือสิ่งที่เหนือกว่าโลกนี้อย่างไร แล้วเรื่องใจของผู้คนเล่า
หลังจากได้ยินคำของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงก็เงียบไปเป็นเวลานาน
นี่เป็นคำประกาศอย่างกดขี่ของจักรพรรดินี อีกทั้งยังเป็นคำสั่งสอนที่จักรพรรดินีมีต่อผู้สืบทอดของนาง
นางครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้ทำการคำนวณและวางแผนเงียบๆ
ในตอนนั้นเมื่อนางกล่าวกับเฉินฉางเซิงว่านางจะเข้ามาวังหลวงเพื่อขอให้จักรพรรดินีช่วยเหลือ เฉินฉางเซิงก็บอกว่าไม่มีความหมาย
เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ความจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถคาดเดาได้
แต่นางก็ยังคงมายังวังหลวง
เพื่อที่นางจะสามารถทำเท่าที่ทำได้แล้วปล่อยให้เรื่องที่เหลือเป็นหน้าที่ของสวรรค์อย่างนั้นหรือ หรือเพราะนางหวังว่าจะสามารถร้องขอเวลาอันสงบสุขให้กับเฉินฉางเซิงได้อีกหลายสิบวันกันแน่
ไม่ แม้ว่านางจะเป็นผู้ศึกษาเต๋า นางก็มีความแหลมคมของตนเอง ไม่คิดจะอยู่เฉยไม่ทำอะไรเลย
นับจากตอนที่พวกเขาออกจากหานซานจนถึงเมื่อคืนนี้ นางก็คิดคำนวณมาตลอด นิ้วของนางไม่เคยห่างจากถาดดาวโชคชะตา
นางพยายามมองวิถีสวรรค์ เพื่อฉีกกระชากหมอกหนาและดูเส้นทางเบื้องหน้า ทว่าผลของการคำนวณทั้งหมดล้วนเป็นเช่นเดิม
การที่เฉินฉางเซิงจะหนีจากชะตาตนเอง มีเส้นใยชะตาเพียงเส้นเดียว ที่เลือนรางริบหรี่เหลือเกิน ซึ่งปลายอีกด้านหนึ่งเชื่อมอยู่กับร่างของจักรพรรดินี
ว่าตามเหตุผลแล้ว การลงโทษของวิถีสวรรค์ที่เฉินฉางเซิงต้องทนทุกข์นั้นก็คือคำสาบานที่จักรพรรดินีได้มอบต่อท้องฟ้าพร่างดาว และคนที่อยากให้เขาตายที่สุดก็คือจักรพรรดินี ดังนั้น หากนางต้องการแก้ปมของชะตานี้ ทางแก้ก็ต้องอยู่บนร่างของจักรพรรดินีเท่านั้น
แต่นางรู้ว่าความหมายของชะตาอันเลือนรางนั้นไม่ใช่สิ่งนี้
มองภูเขาเป็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา แต่ก็ยังเป็นภูเขา…สุดท้ายภูเขาก็คือภูเขา แต่ความหมายนั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นนางจึงออกจากสำนักฝึกหลวงมายังวังหลวง
นางเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการกระทำนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่กระนั้นเวลาผ่านไปนานแล้วนับตั้งแต่นางมากถึงแต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ถ้วยลายครามยังหมุนอยู่ระหว่างนิ้วของนาง เหมือนจะไม่หยุดเลยตั้งแต่กลางวันมาจนถึงกลางดึก เหมือนกับกังหันน้ำ เหมือนกับกาลเวลา
“ศาสตร์แห่งการอนุมานก็คือการมองให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด แต่กระนั้นวิถีสวรรค์ก็ไม่อาจอธิบายและไม่อาจคำนวณได้ ดังนั้นจะคำนวณมันได้อย่างไร”
จักรพรรดินีพลันวางถ้วยลายครามลงบนโต๊ะแล้วมองไปที่นาง มองเพียงครั้งเดียวก็เสมือนว่าจะมองทะลุเรื่องราวทั้งหมดได้
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง สวีโหย่วหรงก็ตอบ “แม้ว่าเราไม่อาจสัมผัสได้ แต่เราเข้าใกล้ให้มากขึ้นได้”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ย้อน “ตอนนี้เจ้าไม่อาจคำนวณจิตใจของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน แล้วเหตุใดต้องพูดเรื่องเข้าใกล้วิถีสวรรค์อีก”
ในหน้าสวีโหย่วหรงซีดขาวไปบ้างเพราะนางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่นางกำลังเฝ้ารอได้เกิดขึ้นแล้ว แต่…ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่นางต้องการ
“เจ้าวางค่ายกลกระบี่ไว้ในสำนักฝึกหลวง ถึงขนาดขอให้พระราชวังหลีส่งความช่วยเหลือมา แล้วเจ้าก็มายังวังหลวงเพื่อพบข้า เชื่อว่าเจ้าจะตัดเขาออกจากโลกนี้ได้ เจ้าจะรอให้วิถีสวรรค์เคลื่อนไหวและเจ้าก็จะมองหาความเปลี่ยนแปลงที่แม้จะเล็กน้อยที่สุด แต่เจ้าคำนวณมากมาย กลับลืมคำนวณเรื่องหนึ่ง”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางอย่างสุขุมและกล่าว “เจ้าลืมไปว่าเขาเองก็คำนวณเช่นกัน”
สวีโหย่วหรงรู้ว่านางได้ทำผิดพลาดแล้ว
หากเฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวงเอง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากนางไม่อยู่ ก็ไม่มีใครห้ามเขาไม่ให้ออกไปได้
จักรพรรดินีได้เรียกนางมายังวังหลวงก็เพื่อมอบโอกาสนี้ให้กับเฉินฉางเซิง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยามที่นางพยายามเลือกทางออกให้กับเฉินฉางเซิง จักรพรรดินีก็เข้าใจมานานแล้วว่าเฉินฉางเซิงจะเลือกเช่นไร
“จักรพรรดินี ท่านเข้าใจเขาได้อย่างไร เป็นเพราะพวกท่านเป็นแม่ลูกกันเช่นนั้นหรือ” สวีโหย่วหรงมองนาง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตอบ “เมื่อเวลามาถึง เจ้าก็ยังไม่ลืมที่จะใช้เรื่องนี้มาทิ่มแทงหัวใจข้า เจ้าเป็นเด็กที่ดื้อรั้นยิ่งนัก”
ความดื้อดึงปรากฏบนใบหน้างดงามของสวีโหย่วหรง นางถาม “แต่ที่ข้ากล่าวไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องจริง” น้ำเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หนักแน่นราวกับทองคำหรือหยก “ข้าเข้าใจเขาดีก็เพราะข้าเคยทำความเข้าใจเขามาก่อน”
นางยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่างอีกครั้ง ตาจับจ้องไปยังตำหนักที่อยู่ไกลออกไป
ท้องฟ้าครึ้มเมฆตอนหัวค่ำได้เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว น้ำเสียงนางก็เฉยชายิ่งกว่าตอนกลางวัน ทั้งยังเย็นเยียบอยู่บ้าง
“ในสายตาคนทั่วไป ผู้ที่เรียกว่านักปราชญ์นั้นรู้ทุกอย่าง แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าหลังจากข้ามด่านนั้นมาแล้ว เราก็ยังอยู่บนฝุ่นผงของโลกมนุษย์อยู่ดี สาเหตุที่นักปราชญ์ไม่เคยทำผิดนั้นก็เพราะว่านักปราชญ์ไม่อาจผิด เมื่อพวกเขาผิดพลาด ฝุ่นผงพวกนั้นก็จะปกคลุมร่างและยากจะกำจัดออกไป”
คำพูดที่มาพร้อมกันเสียงเย็นเยียบชัดเจนนั้นตกกระทบโสตประสาทและจิตใจของสวีโหย่วหรง
“ข้าไม่เคยกลัวสิ่งที่เรียกว่าวิถีสวรรค์หรือชะตา มันอยากให้เจ้ากับข้าเป็นเหมือนวัวเหมือนม้า แต่ข้าจะทำให้มันเป็นวัวเป็นม้าของข้า ข้าจะกุมบังเหียน เอาคันไถผูกมัน ใช้มันแผ้วถางผืนดินขยายอาณาจักร ใช้มันทำให้พืชผลงอกงาม ตอนนี้เมื่อมองดูแล้ว หัวใจข้าซึ่งเคยมองวิถีสวรรค์ว่าเป็นสิ่งของไว้ใช้ ก็คือการยอมรับกลายๆ ว่าในบางแง่มุมมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าความสามารถของข้า และนี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ข้าทำในตอนนั้น ในยามที่ข้าสรุปได้เช่นนี้ วิญญาณของข้าก็เปื้อนไปด้วยฝุ่นที่ไม่มีวันจะล้างออก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หันมามองสวีโหย่วหรง
บางทีอาจเพราะนางพูดเรื่องวิถีสวรรค์ สีหน้านางจึงเคร่งเครียดและสงบนิ่งมาก ใบหน้าไร้ที่ติแผ่กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา
สวีโหย่วหรงเข้าใจดีว่านี่ก็เป็นการสอนสั่ง นอกจากนี้ก็ยังเป็นความจริงที่น่าจะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากนางที่เคยได้ยิน
นับตั้งแต่นางยังเด็ก เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นนางจึงคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป
เพราะจักรพรรดินีพูดถึงสิ่งที่ลึกลับที่สุด สูงส่งที่สุด วิถีสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ที่สุด แต่เนื้อหากลับไม่ให้ความเคารพวิถีสวรรค์เลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดินีถึงบอกนางเรื่องนี้
“ในอนาคต จะมีวันที่เจ้าจะแข็งแกร่งเช่นเดียวกับข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าจึงไม่อนุญาตให้เจ้าทำความผิดแบบเดียวกับข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองเข้าไปในดวงตานางและกล่าว “หากวิถีสวรรค์อยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้าก็ควรจะตัดมันทิ้งไป หากมีเยื่อใยความเสน่หาอยู่ตรงหน้าเจ้า ก็ยิ่งสมควรที่จะตัดมันให้เด็ดขาด”
เมื่อสวีโหย่วหรงได้ยินประโยคสุดท้าย นางก็ได้รับการยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาไว้ และร่างของนางก็เย็นขึ้นมา
“เจ้าคือผู้สืบทอดของข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดินมาตรงหน้านาง ตาพินิจมองนาง ก่อนกล่าวต่ออย่างใจเย็น “ไม่ว่าใครหรือเรื่องใดที่เป็นอันตรายต่อวิถีของเจ้า ข้าจะสังหารและตัดมันทิ้งไป”
ใบหน้าสวีโหย่วหรงซีดขาวยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่กระจ่างใสของนางหม่นมัวลงเล็กน้อย
“ข้าพอใจชิวซานมาก แต่เจ้าไม่ยอมรับเขา ซึ่งก็ทำให้ข้าพอใจมากเช่นกัน”
“เจ้ารักเฉินฉางเซิง แม้ว่าเขาจะมีหลายอย่างที่คู่ควรให้พอใจ แต่ข้าก็ยังไม่ชอบเขา”
“ชีวิตของเจ้าไม่ควรมาเสียเปล่าไปกับสิ่งไร้สาระ”
“ดังนั้นยิ่งเจ้าห่วงใยเฉินฉางเซิงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ข้าอยากฆ่าเขามากขึ้นเท่านั้น”
สวีโหย่วหรงไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
ใบหน้าของนางซีดขาวลงเรื่อยๆ จนกระทั่งขาวราวหิมะ ไม่เหลือสีอื่นเลยแม้แต่น้อย
ทว่าดวงตานางก็ค่อยๆ กลับสู่ความกระจ่างใสก่อนหน้านี้ ราวกับป่าเขาที่พบกันแสงตะวันยามเช้าหลังหมอกหนาจางหายไป
ครั้นแล้ว ทุ่งหิมะก็เหมือนจะมีดอกล่าเหมยบานสะพรั่ง ดูมีประกายสีแดงเกิดขึ้น ดอกเหมยค่อยๆ เบ่งบานและใบหน้าของนางก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
สายลมพัดเข้ามาในตำนหัก ปีกสีขาวบริสุทธิ์กางออกกว้างสิบกว่าจั้งอยู่ด้านหลังของนาง!
นางลอยขึ้นสู่อากาศ แผ่รังสีที่เจิดจ้าและไอพลังปราณที่แข็งแกร่งศักดิ์สิทธิ์
นางเผาไหม้เลือดแท้หงส์สวรรค์ในกาย เร่งการบำเพ็ญเพียรสู่จุดสูงสุด จนก้าวข้ามขีดจำกัดที่ร่างกายนางจะรับได้
นางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวง ตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์และแสงสว่าง บรรจุไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัดของท้องฟ้าพร่างดาว
นางเพิ่งอยู่แค่จุดสูงสุดของระดับทะลวงอเวจี และย่อมไม่อาจเหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน แต่นางในตอนนี้ ก็มีลักษณะและกลิ่นอายของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง สามารถต่อสู้กับยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาได้อย่างแน่แท้ แม้แต่ยอดฝีมือบางคนในระดับแปดมรสุมก็ต้องใช้เวลาและวิชาบางอย่างจึงจะสามารถสะกดนางเอาไว้ได้
นางไม่เคยคิดที่จะข่มขู่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ดิ้นรนซื้อเวลาให้นางได้ทำลายแผนที่อาจจะเป็นการกำหนดของวิถีสวรรค์หรือสร้างขึ้นจากความคิดของมนุษย์นี้
ต่อให้นางสามารถทำได้เพียงแผ่แสงออกมา แต่หากนางสามารถส่องแสงไปทั่ววังหลวงของต้าโจวได้ บางทีนางอาจทำให้จิงตูสว่างขึ้นและทำให้พระราชวังหลีมองเห็น
อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา สายลมในตำหนักพลันหยุดลง
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกทุกทิศทางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ปีกสีขาวบริสุทธิ์ด้านหลังลู่ลงอย่างอ่อนแรงบนพื้น
มือข้างหนึ่งกำรอบลำคอของนาง
เป็นมือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เป็นมือที่ดูนุ่มนวลอย่างยิ่งแต่ตอนนี้กลับน่ากลัวหาใดเปรียบ
ร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สูงหรือใหญ่แม้แต่น้อย ทว่ามือของนางสามารถยกสวีโหย่วหรงไว้กลางอากาศได้
ปีกสีดำกว้างกว่าร้อยจั้งกางอยู่ด้านหลังนาง ทำลายกำแพงของตำหนักที่กว้างใหญ่ กระพือขึ้นลงช้าๆ ในความมืด
ภาพนี้ดูลึกลับน่ากลัวอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังมีความงดงามที่ทำให้ขนลุก