ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 120 เสียงจากส่วนลึกของความมืด (2)
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซวียสิ่งชวนก็หรี่ตาลงกว่าเก่า มือกำทวนแน่นขึ้นเล็กน้อย
เขาเป็นขุนพลเทพอันดับสองของต้าลู่ ความแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่ายอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงสุดทั่วไปมาก แทบเรียกได้ว่าเหนือกว่าครึ่งขั้น เมื่อรวมกับเรื่องที่เขาอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต สูงสุดในแง่ของพลังใจ แรงกายและทุกสิ่งทุกอย่าง หลายคนเชื่อว่าเขานั้นเหนือล้ำกว่าผู้พิทักษ์สุสานเทียนซู ขุนพลเทพฮั่นชิงไปแล้ว
แม้ว่าเหมาชิวอวี่กับอันหลินจะร่วมมือกัน และยังมีของวิเศษจากพระราชวังหลีคอยช่วย กระนั้นเซวียสิ่งซวนก็มั่นใจว่าเขาจะรับมือได้ แต่ว่าเขาจะทำให้เฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ได้จริงหรือ
ตอนนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังมาจากถนนยาวที่ขนานคู่กับตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ตามาด้วยเสียงกีบเท้าม้าและการพังทลายของตึกรามบ้านช่องจนกลายเป็นจุณ!
ทุกคนในซากปรักหักพังของลานบ้านหันไปทางนั้น ก็เห็นอาคารที่อยู่ริมถนนถูกทำลาย เผยให้เห็นภาพบนถนนหลัก
โคมไฟและคบเพลิงส่องแสงสีเหลืองอร่ามไปทั่วท้องถนน ทว่าเมื่อตกกระทบลงบนชุดเกราะนั้น มันกลับดูไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ปลายถนนด้านหนึ่งมีมุขนายกจากพระราชวังหลีสิบแปดคนยืนอยู่ ล้วนแต่มีการบำเพ็ญเพียรสูงล้ำ และยังมีทหารม้านิกายหลวงหลายร้อยนายที่ถือหน้าไม้ไว้ในมือ
ที่ปลายถนนอีกด้านหนึ่ง คือกลุ่มทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองและกองทัพอวี่หลิน ตรงหน้าก็คือสวีซื่อจีที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
การประจันหน้าของนิกายหลวงกับราชสำนักได้ดำเนินมาตลอดคืน
ในตอนแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็ค้นหาคนผู้หนึ่ง ทว่าตอนนี้กระบี่ชักออกมา หน้าไม้ขึ้นสาย พร้อมที่จะโจมตีได้ทุกขณะ อันที่จริง ทั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนเข้าหากันแล้ว อาคารพังทลาย ฝุ่นควันตลบคละคลุ้ง ซากศพของทหารม้าในกองเลือดข้างถนน เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากสวีซื่อจี และมุขนายกที่บาดเจ็บสาหัสสามคนล้วนเป็นข้อพิสูจน์
บรรยากาศบนถนนนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดผิดปกติ แม้แต่ม้าศึกก็รู้สึกได้และเตะเท้าอย่างไม่สบายใจ
คนที่หยุดการเผชิญหน้าในครั้งนี้เป็นคนที่ไม่มีใครคาดคิด
“ข้ายังไม่ตาย” โจวทงผู้อาบชุ่มไปด้วยเลือดส่งเสียงออกมา
ใช่แล้ว เขายังไม่ตาย เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงไม่อยากจะยอมรับอย่างที่สุด ทว่าเป็นสิ่งทั้งราชสำนักและนิกายหลวงยอมรับได้ เพราะหมายความว่ายังมีทางที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ในตอนนี้
ตอนนี้โจวทงเป็นคนพูดออกมาเอง
รถม้าจากในตรอกหันหน้าเข้าหาถนน ม่านถูกเปิดออก เผยใบหน้าของเฉินหลิวอ๋อง
ใบหน้าหล่อเหลาเจือความเป็นกังวล โดยเฉพาะเมื่อเห็นเฉินฉางเซิง
“ข้ามารับเขา” เฉินหลิวอ๋องกล่าวกับเซวียสิ่งชวน ดวงตาสงบนิ่งไม่หวาดเกรง
หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง เซวียสิ่งชวนก็ลดมือขวาลงช้าๆ ส่งสายตาเฉยชาไปทางเฉินฉางเซิงและออกคำสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “คุ้มกันใต้เท้าโจวทงกลับวัง”
เสียงเท้าม้าควบตะบึงราวฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้น่าขนลุกเหมือนก่อน ทหารม้าทั้งของนิกายหลวงและราชสำนักต่างก็เชื่อฟังคำสั่งและล่าถอยไปในความมืดจากทั้งสองปลายของถนน
“ข้าทำให้ทุกคนเดือดร้อนแล้ว” เฉินฉางเซิงกล่าวกับเหมาชิวอวี่ จากนั้นก็เข้าสู่รถม้าด้วยความช่วยเหลือของเฉินหลิวอ๋อง
ด้วยปัญหามากมายจากสถานการณ์โดยรวมและจิตใจของเขาเอง เขาในตอนนี้จึงไม่อยากอยู่ใกล้กับคนของพระราชวังหลีจนเกินไป
สายลมพัดผ้าม่านรถม้าเปิดขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งและลานบ้านที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นพวกกองทัพอวี่หลินยกร่างโจวทงขึ้นแคร่หาม
ดวงตาโจวทงปิดอยู่ สีหน้าซีดขาวจนน่ากลัว ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ดูราวกับคนตายก็ไม่ปาน
ต่อให้หมอหลวงที่อยู่ในวังหลวงสามารถรักษาเขาได้ ร่างกายและวิญญาณของขุนนางผู้ชั่วช้าก็จะมีส่วนหนึ่งที่หายไปตลอดกาล เขากลายเป็นคนพิการแล้ว
แต่ความผิดหวังบนคิ้วเฉินฉางเซิงก็ยังไม่คลายไป
“การกระทำของข้านั้นอุกอาจไม่สนใจสถานการณ์ส่วนรวมหรือเปล่า” เขาถามเฉินหลิวอ๋อง
เฉินหลิวอ๋องยื่นมือออกมาตบไหล่เขา กล่าวปลอบโยน “โจวทงไม่ใช่ขุนนางทั่วไป แต่จักรพรรดินีจะใช้เขาก็ต่อเมื่อเขาเป็นประโยชน์ หากเจ้าสังหารเขาไปจริงๆ จักรพรรดินีจะลงมือแก้แค้นแทนเขาละหรือ จะก่อสงครามเพื่อเขา จะสังหารว่าที่สังฆราชเพื่อเขาเช่นนั้นหรือ ย่อมมิใช่”
อันที่จริงเขาไม่ได้พูดทุกอย่างที่อยากพูด ในสายตาเขา หากเฉินฉางเซิงเป็นโอรสจักรพรรดินี เช่นนั้นชีวิตเขาก็ย่อมมีค่ากว่าชีวิตโจวทง ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ ต่อให้จักรพรรดินีต้องการสังหารเฉินฉางเซิง ในใจนาง ชีวิตเฉินฉางเซิงก็ยังมีค่ามากกว่าชีวิตโจวทงเป็นพันเท่าหมื่นเท่า
เฉินหลิวอ๋องมองผ่านหน้าต่างไปที่โจวทงบนแคร่หามและกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “เขาก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง”
“มีแต่สุนัขที่ตายแล้วถึงเป็นสุนัข หากยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังเป็นหมาป่า”
เฉินฉางเซิงยังจำคำของเจ๋อซิ่วที่เคยบอกกับเขาได้ พลันรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นมาในทันที เขากล่าว “คืนนี้ข้าไม่ได้ฆ่าเขา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกหรือไม่ในอนาคต”
เขารู้ดีว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่มีโอกาสสังหารโจวทงอีกแล้ว
“คนอย่างโจวทงนั้นยากจะสังหารได้ เจ้าทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว”
ในฐานะสมาชิกราชวงศ์ เป็นไปไม่ได้ที่เฉินหลิวอ๋องจะมีความรู้สึกอันดีต่อโจวทง เขาอยากให้โจวทงตายมากกว่าใครทั้งนั้น ดังนั้นเขาย่อมยินดียิ่งกว่าใครในสิ่งที่เฉินฉางเซิงทำไปคืนนี้
“ข้าชื่นชมเจ้าอย่างลึกซึ้ง” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง
ครั้นคิดถึงความอลม่านในจิงตูคืนนี้และสถานการณ์ตึงเครียดบนถนนเมื่อครู่ เฉินหลิวอ๋องก็เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม เขาได้ปรากฏกายที่ถนนยาวและตอนนี้ก็นั่งรถม้าคันเดียวกับเฉินฉางเซิง มีทหารม้านิกายหลวงคุ้มครองส่ง นี่เป็นการประกาศต่อจิงตูและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถึงจุดยืนของเขา
เฉินฉางเซิงไม่รู้สึกว่าตัวเขามีสิ่งใดน่าชื่นชม
เพราะเขายังไม่ได้ฆ่าโจวทง
ในสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วเคยบอกว่าหลังจากสังหารโจวทง เขาจะไปยังหลีซานเพื่อรับตัวชีเจียน ในตอนนั้น เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่ว และพวกรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คนสำคัญอย่างโจวทงนั้นย่อมฆ่าได้ยากเป็นธรรมดา แต่คืนนี้เขาเกือบจะทำสำเร็จแล้ว หากมิใช่เพราะถูกความมืดนั้นขวางกั้นเอาไว้
หากมิใช่เพราะเสียงที่มาจากส่วนลึกของความมืด อันดังก้องไปในห้วงแห่งจิตของเขาโดยตรง
มันเป็นเสียงที่คุ้นอย่างยิ่ง เป็นเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานมากแล้ว
……
……
ย้อนไปตอนที่ความมืดปกคลุมลานบ้าน มีเพียงเฉินฉางเซิงกับโจวทงอยู่ที่นั่น
เฉินฉางเซิงได้ยินเสียงนั่น โจวทงก็เช่นกัน
ในตอนนั้น เขาเชื่อว่าเป็นภาพหลอนที่เกิดขึ้นตอนเขาใกล้ตาย
ความมืดนั้นลึกล้ำ เงียบงัน และเย็นเยียบ เขาไม่อยากตาย เพราะความตายนั้นเป็นเหวที่ลึกเกินหยั่ง เงียบสงัดงัน และเหน็บหนาวยิ่งกว่า
ในตอนที่เขาใกล้กับความตายอย่างที่สุด เกราะที่ชั่วร้ายน่ากลัวทั้งหมดของเขาแตกสลาย เหลือไว้เพียงความพยาบาท โทมนัส ความพรั่นพรึง
หลังจากยืนยันว่าเสียงนั้นเป็นของจริง เขาก็ตกลงโดยไม่ลังเลกับเงื่อนไขของคนผู้นั้น
ดังคาด ความมืดนั้นได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม
คนทั่วไปพูดกันว่าโจวทงกับกุนซือชุดดำของเผ่ามารเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้น เขาก็ตระหนักว่าคำพูดพวกนั้นเป็นเรื่องตลกเพียงใด
ต่อหน้าคนผู้นั้นเป็นความมืดมิดที่ลึกล้ำ เขามีสิทธิ์อะไรเรียกตนเองว่าคนเจ้าแผนการ เขาจะนับเป็นคนเลือดเย็นไร้น้ำใจได้อย่างไร ในสายตาของคนผู้นั้น เขาอาจเป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง
สุนัขที่ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
แต่ต่อให้เขาเป็นแค่สุนัขจริงๆ เขาก็ยังต้องการมีชีวิตรอด
ต่อให้เขาต้องกระดิกหางทำท่าน่าสงสารไปทั่วโลก เขาก็ยังต้องการมีชีวิตอยู่
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ ใจเขาก็ยิ่งปวดร้าว ไม่อาจทนความเจ็บปวดของบาดแผลได้อีกต่อไป โจวทงหมดสติไป
ภายใต้การคุ้มครองด้วยตัวขุนพลเทพเซวียสิ่งซวนและสวีซื่อจีเอง โจวทงที่บาดเจ็บหนักก็ถูกนำตัวมาถึงวังหลวง
มีแต่วิธีนี้ มีแต่ที่แห่งนี้ ที่แน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไป
ข่าวเรื่องโจวทงบาดเจ็บสาหัสได้แพร่กระจายออกไป ในความมืดมิดของจิงตู เป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้ว่ามีคนมากมายเพียงไรที่อยากให้โจวทงตาย
เฉกเช่นสถานการณ์ของซูหลีที่พบเจอตอนเดินทางลงใต้
ตาสองคู่มองดูโจวทงบนเตียง หายใจรวยรินเจียนตาย อาการบาดเจ็บหนักหนาสาหัส เซวียสิ่งชวนกับสวีซื่อจีนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
พวกเขาไม่รู้จะกล่าวอะไร
เฉินฉางเซิงทำเรื่องนี้ได้อย่างไร
บาดแผลจากดาบที่น่ากลัวและน่าอนาถทอดยาวจากใบหน้าด้านซ้ายไปจนถึงซี่โครง เผยให้เห็นอย่างชัดเจนในแสงโคม เป็นภาพที่น่าสยดสยอง
เซวียสิ่งชวนกับสวีซื่อจีต่างก็คิดว่าพวกเขาเข้าใจว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นไร โดยเฉพาะสวีซื่อจี แต่ทั้งคู่กลับไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
ผู้เชี่ยวชาญแสงศักดิ์สิทธิ์ที่รับใช้ราชสำนักมาถึง พร้อมกับหมอหลวงในวัง หัวหน้าขันทีก็มาเป็นตัวแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่หลังจากที่การรักษาจบลงและยืนยันแล้วว่ารักษาชีวิตโจวทงเอาไว้ได้ จักรพรรดินีก็ไม่ปรากฏตัว
“ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องบางอย่างก่อน”
สวีซื่อจีเหมือนจะได้รับผลกระทบจากบางอย่าง สีหน้าค่อนข้างปั้นยากและออกไปจากวัง
เซวียสิ่งชวนไม่ได้จากไป เขาบรรจงเช็ดแผลของโจวทงและนำเก้าอี้มานั่งตรงกลางประตูทางเข้าตำหนัก
เขาหลับตา ทวนวางขวางอยู่บนตัก
ใครต้องการสังหารโจวทงจะต้องฆ่าเขาให้ได้ก่อน
เพราะเขาเป็นสหายเพียงคนเดียวของโจวทงในโลกนี้
ในโลกนี้ โจวทงมีสหายเพียงคนเดียวเท่านั้น
หากเขาก็ยังทิ้งโจวทงไป เช่นนั้นโจวทงก็ต้องเดียวดายอย่างแท้จริง
……
……
ทั่วทั้งโลกรู้ว่าเซวียสิ่งชวนเป็นสหายเพียงคนเดียวของโจวทง
เป็นเรื่องที่คนในโลกไม่อาจเข้าใจ และสงสัยกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี
เซวียสิ่งโจวเป็นขุนพลเทพอันดับสองของต้าลู่ ด้วยว่าฮั่นชิงคุ้มกันสุสานเป็นเวลาหลายร้อยปี เขาก็เท่ากับเป็นผู้นำของขุนพลเทพทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียร ผลงานด้านการทหาร ความสำเร็จที่แดนเหนือ เขาสามารถรับเกียรติคุณเหล่านี้ไว้ได้โดยไม่ต้องละอายแม้แต่น้อย ว่ากันว่าเขากับหวังผ้อนั้นเป็นคนสองคนที่เป็นความหวังมากที่สุดที่จะก้าวผ่านเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
เขามีเชื่อเสียงในเรื่องการควบคุมกองทัพและตระกูลอย่างเข้มงวด ทว่าเขากลับเป็นเพื่อนกับคนชั่วช้าอย่างโจวทง ในอดีตมีคนสงสัยว่านี่อาจเป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ กระนั้นก็ตาม ขุนพลเทพคนอื่นก็ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เคยเป็นมิตรกับโจวทงที่น่าหวาดกลัว ไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยสีหน้าหวังดี
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงเป็นเพื่อนกันได้
ความสามารถทางการแพทย์ของหมอหลวงนั้นสูงส่งอย่างแท้จริง และแสงศักดิ์สิทธิ์ก็มีบทบาทสำคัญ โจวทงได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ทว่าในเวลาอันสั้น เขาก็ฟื้นคืนสติ
เซวียสิ่งชวนลุกขึ้นและกลับมาที่เตียง กล่าวด้วยสีหน้าขาวซีด “อย่าได้รีบพูด รักษาบาดแผลของเจ้าให้หายเสียก่อน”
โจวทงไม่สนใจคำแนะนำของเขา เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าในตอนนี้ไม่เหมือนกับสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ”