ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 127 กระรอกตัวที่สอง
ป่ามืดเงียบจนน่าขนลุก จักจั่นหน้าหนาวไม่ส่งเสียงร้อง แมลงฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ขับขาน
ชาบนโต๊ะหินเย็นชืด ไฟก็ดับมอดแล้ว
ทันใดนั้น เสียงสวบสาบก็ดังมาจากป่า
ทั้งสองคนมองไปก็เห็นกระรอกตัวหนึ่งวิ่งผ่านต้นไม้
กระรอกตัวนี้อวบอ้วน หางปุกปุยสีเทา ดูน่ารักน่าชัง
ครั้นเห็นเช่นนี้ ดัวยเหตุผลบางอย่าง เฉินฉางเซิงพลันลืมว่าเขากำลังจะตายหรืออาจต้องอนาถยิ่งกว่าตาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้ยิ้ม นางจ้องมองไปที่กระรอกเงียบๆ พลางคิดเรื่องบางอย่าง
นางโบกมือประหนึ่งจะปัดอารมณ์บางอย่างที่น่างรู้สึกว่าไม่น่าพึงใจออกไป
กระรอกน่ารักที่กำลังกระโดดไปยังต้นไม้อีกต้นได้เปลี่ยนไปเป็นบุปผาโลหิตกลางอากาศ
เฉินฉางเซิงตัวแข็ง ถามอย่างเศร้าสร้อย “ทำไม”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่สิ่งที่ตอบคำถามคือเสียงที่ดังมาจากป่ามืด
เสียงนี้ดังทึบประหนึ่งถุงหนังจุสุราจนแน่นไม่อาจทนรับแรงดันได้อีกและระเบิดออก
ชายวัยกลางคนโผเผออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ท้องกิ่วราวกับถูกกดเอาไว้ด้วยแรงดันที่น่ากลัว เลือดไหลออกมาจากดวงตา หู จมูก ก่อนเขาจะทันพูดอะไร ก็ล้มลงกับพื้นเสียแล้ว
เฉินฉางเซิงจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสามมุขนายกของสำนักการศึกษากลาง
เขามาหาเฉินฉางเซิง หรือไม่ก็ทำตามคำสั่งพระราชวังหลีเพื่อปกป้องเขา
เขาตายลงต่อหน้าเฉินฉางเซิง
เสียงทึบยังดังต่อไป ในป่าช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงท่ามกลางหมู่ไม้และใบไม้ที่ร่วงหล่น บุปผาโลหิตสิบกว่าดอกเบ่งบาน
บุปผาโลหิตทุกดอกบ่งชี้ถึงการระเบิดตายของยอดฝีมือนิกายหลวง
ไกลไปในความมืด ยอดฝีมือนิกายหลวงบางคนที่ไม่ได้รับผลกระทบได้หนีไปทุกทิศทาง ทว่าพวกเขาจะเร็วไปกว่าสายลมที่พัดผ่านป่าได้อย่างไร
เมื่อเขามองเห็นภาพที่น่ากลัวเกินจะทนรับนั้น ร่างของเฉินฉางเซิงก็เย็นเยียบ
ผู้คนที่ตายต่อหน้าเขาล้วนเป็นยอดฝีมือผู้โดดเด่นมีพรสวรรค์หายาก ทว่าต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ พวกเขากลับไร้กำลังจะทำสิ่งใด
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้เอามือไพล่หลังแล้ว แต่สายลมที่พัดขึ้นจากแขนเสื้อยังคงพัดไปในป่า
การเข่นฆ่าไร้ปรานียังดำเนินต่อไป มีค้นล้มตายเป็นระยะๆ ความตายของพวกเขาน่าอนาถเกินบรรยาย
เฉินฉางเซิงร้องว่าพอแล้ว
เขาคิดว่าเสียงตนดังพอ ทว่านางเหมือนจะไม่ได้ยิน
เขารู้สึกเหมือนเสียงตนเองแปดเปื้อนไปด้วยเลือด แต่นางก็เหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใด
ซากศพมากมายที่ไม่สมบูรณ์ล้มลงอย่างเงียบงันอยู่ในป่าอันมืดมิด
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปในความมืดด้วยสายตาเฉยชาแล้วยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากในความมืด จากนั้นคนผู้หนึ่งก็ถูกบีบให้ออกมา
คนที่ออกมาจากความมืดคือหลิวชิง กระบี่ในมือเขาบิดงอ เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยขาด เลือดไหลออกมาตามรอยพวกนั้น
เขาคุกเข่าอยู่ในกองใบไม้ ตามองไปยังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ด้านหลังเฉินฉางเซิง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและความเคารพ ทว่าปราศจากความกลัว
ซูหลีกับมือสังหารลึกลับได้ไปจากต้าลู่แล้ว เขาที่อยู่ในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงสุดย่อมเป็นมือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจเข้าใกล้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ แม้แต่วิชาลับที่ใช้ซ่อนกายในความมืดก็ถูกมองออกในปราดเดียว เขาเป็นแค่เรื่องตลกในสายตานาง
หลังจากเผชิญหน้ากับราชามารที่หานซาน เขาก็รู้ดีถึงระยะห่างระหว่างเขากับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจว่าเขารบเร้าอย่างไม่ไตร่ตรอง ให้ซูหลีนำพวกเขาไปยังจิงตูเพื่อสังหารจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ยังมาที่จิงตู
เพราะเขาเป็นมือสังหารและนี่เป็นสิ่งที่เขาควรทำ
มือสังหารอย่างไรก็ต้องตาย และการตายในมือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ก็เป็นเรื่องที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เขาถึงขนาดรู้สึกตื่นเต้น ไม่ว่าซูหลีหรือพี่สาวใหญ่ต่างก็ไม่เคยได้ประมือกับเทียนไห่ แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เขาก็ยังต้องลองดู ยิ่งไปกว่านั้น…เทียนไห่ก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
เมื่อเห็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหิน หลิวชิงก็เริ่มหายใจเร็วขึ้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางรู้ว่าหลิวชิงเป็นคนของหอความลับสวรรค์ นางเคยคิดจะละเว้นเขาเพื่อเห็นแก่หน้าผู้เฒ่าความลับสวรรค์ แต่ตอนนี้นางจะสังหารเขาเพราะนางไม่ชอบให้คนมองนางเช่นนี้
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามองดูนางอยู่ทุกขณะ หรือเพราะว่าหัวใจพวกเขาเชื่อมถึงกันอย่างลึกลับด้วยวิธีที่ไม่อาจป้องกัน แต่เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยินเสียงเหยียบใบไม้และเห็นนางขมวดคิ้ว เขาก็รู้ว่านางจะฆ่าหลิวชิงเฉกเช่นที่นางสังหารเหล่านักบวชจากพระราชวังหลี
ในเมืองสวินหยาง หลิวชิงช่วยชีวิตซูหลี บนหานซานเขาช่วยเฉินฉางเซิงเอาไว้ ดังนั้นเฉินฉางเซิงย่อมไม่ยอมให้เขาตาย ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงเป็นกังวลยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินเสียงควบม้าเบาๆ นอกกำแพงและเดาได้ว่าทหารม้านิกายหลวงกำลังจะมุ่งมาทางนี้ หากเขาไม่อาจป้องกันนางจากการสังหารผู้คนได้ เช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่สำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้าจะกลายเป็นสุสานอันน่าหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม เขาในตอนนี้ไม่อาจเคลื่อนไหว ได้แต่หันหน้าเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงพยายามใช้คำพูดโน้มน้าวนางอีกครั้ง เขาส่งสายตาไปที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และอ้อนวอน “ได้โปรดปล่อยพวกเขาไป พวกเขาเป็นแค่ทหารม้าระดับล่างเท่านั้น ไม่มีส่วนอันใดต่อเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ ส่วนเขา…เขาเป็นคนบ้ามาตลอด ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก้มหน้ามองเขาแล้วถาม “ทำไมข้าต้องสนเรื่องนี้ด้วย”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไป จากนั้นก็ตอบ “เนื่องจากท่านให้กำเนิดข้า แต่ไม่ได้เลี้ยงข้ามา ข้าจึงไม่ขออะไรอีก มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น”
คิ้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เลิกขึ้นอีกครั้ง ประหนึ่งกำลังล้อเลียนเขา
เฉินฉางเซิงแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางและกล่าวต่อ “มีความจำเป็นอะไรต้องฆ่าคนมากมาย แค่ฆ่าข้ายังไม่พอหรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลากสายตาไปยังคราบเลือดบนกองใบไม้ คราบเลือดนี้ไม่ได้เป็นของนักบวชจากพระราชวังหลี หากแต่เป็นกระรอกตัวนั้นที่เหลือแค่พวงหาง
ด้วยเหตุผลบางอย่างนางดูเหมือนจะพินิจคราบเลือดพวกนั้นอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน
เสียงฝีเท้าม้าเข้าใกล้กำแพงมากขึ้นเรื่อยๆ และสำนักฝึกหลวงก็เหมือนจะตกอยู่ในความโกลาหล เฉินฉางเซิงถึงกับได้ยินเสียงร้องของถังซานสือลิ่ว
เวลายังคงเดินต่อไปและเขาก็เป็นกังวลมากขึ้น
ทันใดนั้น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็คว้าคอเสื้อของเขา ลมพัดผ่านป่าฤดูใบไม้ร่วงโดยพลันแล้วพวกเขาก็หายไป
หลิวชิงลากตัวเองออกจากกองใบไม้ร่วงอย่างยากลำบาก กระอักเลือดออกมาและมองไปยังโต๊ะหินที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าสับสน
มีเสียงดังปัง ประตูก็ที่เปิดออก ช่องมากมายเกิดขึ้นบนกำแพงสำนักฝึกหลวง ทหารม้านิกายหลวงและคนในสำนักฝึกหลวงพุ่งผ่านช่องพวกนั้นเข้ามาในป่า
หลิวชิงหันกลับและหายไปในความมืด
……
……
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าร่างเขาเบาลง และเมื่อตระหนักว่าตนอยู่กลางอากาศ ป่าฤดูใบไม้ร่วงในสวนร้อยหญ้าบัดนี้ก็อยู่ห่างออกไปเบื้องล่าง แสงจากวังหลวงสะท้อนกับดวงดาวในแม่น้ำ แสงจากคบเพลิงในสำนักฝึกหลวงก็ไกลไปจนลับตา ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เห็นแม่น้ำซวีและป่าที่ห่างไกล ขณะพวกเขาพุ่งเข้าไปในเมฆ
เมื่อทะลวงผ่านเมฆปะทะกับสายลมเย็นที่โหยหวน มินานพื้นดินและคลองตื้นก็มาอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อเท้าทั้งสองสัมผัสพื้นดินในที่สุดและตามองไปรอบๆ เขาก็ตระหนักว่าเขาอยู่ในสุสานเทียนซู
จากนั้นเท้าทั้งสองก็ลอยจากพื้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเขากำลังบินแต่เพราะถูกหิ้วไป
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หิ้วเขาดุจนกน้อยรอเชือด ข้ามลำธารใสบนพื้นหิน พวกเขาก็เข้าสู่ส่วนล่างของถนนเสินในสุสานเทียนซู
มีศาลาอยู่ที่นั่น ใต้ศาลามีชายสวมชุดเกราะเต็มตัวนั่งอยู่ ดูราวกับรูปปั้น
คืนนี้มีเมฆมากมายเหนือจิงตู มีดาวให้เห็นไม่มากนัก
เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หิ้วเฉินฉางเซิงไปที่ศาลา รอยแตกเล็กๆ ก็เปิดออกในหมู่เมฆและแสงดาวก็ส่องลงมาบนชุดเกราะผ่านรอยแตกนั้น
คนในชุดเกราะตื่นขึ้น สายตาเก่าแก่ห่างไกลปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหมวกเกราะ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ออกคำสั่ง “ฆ่าทุกคนที่เดินขึ้นถนนเสิน”
คนในชุดเกราะไม่พูดอะไร เพียงยกมือขวาขึ้นช้าๆ จับกระบี่ที่สะเอว
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ฝุ่นผงมากมายก็ร่วงหล่นจากชุดเกราะของเขา อันเสมือนบรรจุไว้ด้วยเวลาหกศตวรรษ