ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 136 เสียงกู่ร้องที่ใจกลางโลก
“ในตอนนั้น ทำไมเจ้าถึงวิ่งมา”
“เพราะว่าข้ากลัวว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บจากกระถางดอกไม้ที่ตกลงมา”
“แม้ว่าในตอนนั้นเจ้าจะอยู่ลึกเข้าไปในวังมืดและหากถูกพบตัวก็จะนำปัญหาใหญ่มาให้เจ้าก็ตามเช่นนั้นหรือ”
“ข้าไม่มีเวลามาคิด”
“แม้ว่าในตอนนั้นเจ้าจะรีบร้อนไปวังเว่ยหยางเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมไม้เลื้อย นำเอาสัญญาหมั้นหมายออกมา ทำลายการสู่ขอของตระกูลชิวซานก็ตามเช่นนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น”
“กระรอกสามตัว”
“อะไร”
ยอดเขาสุสานเทียนซูห่อหุ้มด้วยม่านฝน
ทว่าเสียงสนทนาของเฉินฉางเซิงกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับไม่ถูกสายฝนกลบ
เขาไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไรตอนกล่าวว่า ‘กระรอกสามตัว’
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองดูกระรอกค่อยๆ หายไปในสายฝน เงียบงันอยู่นาน
ครั้งแรกที่นางพบกับเฉินฉางเซิงก็มีกระรอกตัวหนึ่ง
ก่อนนี้ที่สำนักฝึกหลวงก็มีกระรอกตัวหนึ่ง
ในตอนนี้ก็มีกระรอกอีกตัว
ยามที่นางเห็นกระรอกตัวแรก เขาก็อยู่ในสภาพที่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่สนสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
ยามที่นางเห็นกระรอกตัวที่สอง เขาอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างมาก แต่เขาก็คิดเพียงแต่จะร้องขอให้นางปล่อยหลิวชิงกับพวกนักบวชจากพระราชวังหลี ทิ้งสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีและความดื้อรั้นทิ้งไปจนสิ้น
ยามที่นางเห็นกระรอกตัวที่สาม เขาก็อยู่ในสภาพที่สิ้นหวังที่สุด กำลังจะถูกนางสังหาร แต่เพราะคำพูดที่นางกล่าวออกไป เขากลับขอบคุณนางอย่างจริงใจ
นี่เป็นเด็กแบบไหนกัน
อารมณ์อันซับซ้อนอย่างที่สุดปรากฏบนดวงพักตร์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ มีความเยาะเย้ยอยู่บ้าง ดูหมิ่นอยู่บ้าง โกรธอยู่บ้าง รังเกียจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นความไม่แยแส
“ช่างใจอ่อนนัก เจ้าเหมือนบิดาเจ้าไม่มีผิด ข้ามีลูกไร้ประโยชน์เช่นเจ้าได้อย่างไร”
ว่าแล้วประกายน่าหวาดหวั่นก็ฉายขึ้นในใบหน้างดงาม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมเหลือล้นอย่างรวดเร็ว
ไม่มีคำพูด ไม่มีการถอนหายใจ ไม่แม้แต่จะมองเขา นางก็ยกมือขวาขึ้นตบลงบนขม่อมเขา
ในราตรีมืดมนอนธการ สายฟ้าเหมือนจะตามติดอยู่หลังมือขวาของนาง ฟาดลงมาดุจภูผา
เสียงร้องตกใจนับไม่ถ้วนดังขึ้นในจิงตูอันมืดมิด แต่ละเสียงแฝงด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความตะลึงที่คล้ายคลึงกัน
ไม่มีใครจินตนาการได้ว่านางจะลงมือเช่นนี้
ตูม!
เสียงสายฟ้าเหมือนจะดังออกมาจากยอดเขาสุสานเทียนซู
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบ ฟาดลงบนสุสานเทียนซู
ห่าฝนสาดกระหน่ำลงมา ความมืดมิดประดุจหมึกดำสนิท บางคราวก็มีสายฟ้าฟาดลงมา เผยให้เห็นภาพที่ไม่ชัดเจน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนหันหน้าหาพายุกรรโชก
มือขวาของนางตกลงบนศีรษะเฉินฉางเซิง
พลังอันแข็งแกร่งน่ากลัว ปราณอันศักดิ์สิทธิ์ช่ำชอง ได้ปรากฏขึ้นบนโลกนี้พร้อมกัน
ความแข็งแกร่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากร่างกายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
ปราณนี้มาจากสุสานเทียนซูใต้เท้าของนาง และจากทั่วทั้งโลก
นี่เป็นปราณที่แข็งแกร่งสูงส่งที่สุดในโลก บรรจุไว้ด้วยปรากฏการณ์มากมาย ฟ้าคำราม สายลมคลั่ง และฝนห่าใหญ่
ปราณและความแข็งแกร่งรวมกันในกายนางจากนั้นก็เข้าสู่ร่างเฉินฉางเซิงผ่านมือขวาของนาง
พายุก่อตัวขึ้น
ทันใดนั้น เส้นลมปราณทั้งเจ็ดสิบสองในกายเฉินฉางเซิงก็สลายกลายเป็นผุยผง จุดลมปราณสามร้อยหกสิบห้าจุดถูกทำลายลงสิ้น บาดแผลบนอวัยวะภายในลึกลงกว่าเดิม และเลือดก็ไหลออกมาในร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง
ละอองดาวที่ยังซ่อนอยู่ในซอกโพรงเส้นลมปราณและส่วนลึกของจุดลมปราณ ก็ไม่อาจหลบเร้นจากพายุนี้ได้ ถูกบีบออกมาจนหมด
ละอองดาวที่เหมือนกับฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากส่วนลึกของร่างกายสู่ผิวหนัง ซึมผ่านชุดนักพรตที่เปียกโชกแผ่แสงหม่นมัวน่าเศร้าออกมา
ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด ก็ไม่อาจชะล้างละอองดาวออกไปได้
ไม่ว่าสายลมจะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจกลบเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเขาได้
ชั่วขณะต่อมาจิตใจและเจตจำนงก็ถูกพายุบดขยี้ปี้ป่นเป็นจุณ เขาไม่อาจทนไหว ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด!
เสียงร้องทะลวงผ่านลมฝนคะนอง กระจายไปทั่วสุสานเทียนซู ครั้นแล้วก็ไปยังที่ห่างไกลออกไป
เสียงร้องนี้แหบแห้งและฉีกกระชาก บรรจุไว้ซึ่งความเจ็บปวดไร้สิ้นสุด ดุจสัตว์อสูรตัวน้อยร้องขอความช่วยเหลือ กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด
ผู้ใดได้ยินเสียงร้องของเขาย่อมรู้สึกได้ถึงอารมณ์และสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ มิตรหรือศัตรู ล้วนถูกกระตุ้นให้ร่ำไห้
……
……
อวี๋เหรินอยู่ในสุสานเทียนซูมาตลอดเวลา
เขากำลังดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
ในยามที่พวกคนสำคัญและยอดฝีมือพูดคุยกันอยู่ห่างไปหลายลี้ หรือแม้แต่หลายพันลี้ เหล่าคนธรรมดาจะไม่ได้ยิน เขาก็ย่อมไม่ได้ยินเช่นกัน
เมื่อปรอยฝนสายเริ่มร่วงพรำจากท้องฟ้าราตรี เขาก็ใช้ไม้เท้าพยุงกายเดินเข้าไปในกระท่อม อาศัยชายคาบังฝน และศึกษาลายเส้นบนแผ่นป้ายต่อไป
ฝนฟ้าค่อยๆ หนักขึ้น ความมืดก็ยิ่งมืดลง เขาจึงเข้าไปในกระท่อมลึกกว่าเดิม เมื่อไม่อาจมองเห็น เขาจึงใช้มือสัมผัสลายเส้นบนแผ่นหิน
ไม่ว่าพายุจะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจส่งผลต่อความคิดในการมองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ของเขาได้
ฟ้าแลบเป็นครั้งคราวส่องสว่างพื้นผิวแผ่นป้าย แต่ก็ไม่อาจปลุกเขาจากการจมจ่อมอยู่กับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้
จนกระทั่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วสุสานเทียนซู ดังเข้าไปในกระท่อม สู่โสตประสาทของเขา
อวี๋เหรินก็เหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดผิดปกติ
เพราะเขาจำได้ว่านี่เป็นเสียงร้องของศิษย์น้อง
เขาได้ยินเสียงร้องศิษย์น้อง สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด เปี่ยมล้นด้วยความสิ้นหวัง
เขาหันไปทางเสียงร้องนั้น
ตอนนี้เขาอยู่สูงมากแล้วบนสุสานเทียนซู ที่เดียวที่อยู่สูงกว่าก็น่าจะเป็นยอดเขาสุสานเทียนซู
เขาหยุดคิด กะโผลกกะเผลกออกไปตามทางนั้นอย่างสุดกำลัง
ไม้เท้าที่อยู่ข้างกายเขามายี่สิบปีนอนรอเขากลับไปอยู่ในกระท่อมอย่างเงียบงัน
สุสานเทียนซูยิ่งสูงก็ยิ่งชัน ยิ่งปีนป่ายยากขึ้น ซ้ำยังมีพุ่มไม้กระจายอยู่ทั่วไป ฝนก็ทำให้ก้อนหินลื่นอย่างมาก ภูเขาได้กลายเป็นดินโคลน เพิ่มความยากลำบากให้มากขึ้นไปอีก
นับประสาอะไรให้คนพิการคนหนึ่งที่มีขาที่ใช้แรงได้เต็มที่แค่ข้างเดียวปีนขึ้นไป
แต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เขาปักมือลงไปในรอยแยก ใช้เท้าเหยียบลงไปบนพื้นโคลนและรากไม้ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปีนขึ้นสู่ยอดเขา
เขามีแค่มือเดียวและเท้าอีกข้างก็ค่อนข้างผิดรูป
มือเขาบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว เล็บมือฉีกขาด
ขาทั้งสองก็ถลอกปอกเปิก
เมื่อเขาไต่ขึ้นไป ก็ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง แต่ก็ถูกสายฝนชะล้างไปอย่างรวดเร็ว
เขาควรได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกเลย
การกระทำของเขาอันตรายมาก แต่เขาไม่สนใจ
เสียงร้องของศิษย์น้องยังคงดังก้องไปทั่วสุสาน เขาจึงรู้ว่าศิษย์น้องกำลังเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งยวด
อวี๋เหรินก็หยุดชะงักไปพลัน
พายุรุนแรงพลันสงบลง ไม่มีสายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าอีก
เสียงร้องก็หายไป
ทั่วทั้งสุสานเทียนซู ทั่วทั้งโลก ไม่มีแม้แต่เสียงเดียว มีเพียงความเงียบงันดุจความตาย
ภูเขาสุสานนี้เหมือนจะกลายเป็นสุสานจริงๆ ไปแล้ว
เขาพลันรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ร่างกายเย็นเยียบ
เขาหันไปทางยอดเขาสุสานเทียนซู ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาสองครั้ง
เขาไม่อาจพูดได้และเสียงร้องของเขาก็ค่อนข้างประหลาด ดังอ้อแอ้เช่นเสียงทารก
เหมือนเด็กที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ
เมื่อเขาเช็ดน้ำโคลนหรือบางทีอาจเป็นน้ำตาออกไปจากใบหน้า จากนั้นก็ไต่ขึ้นสู่ยอดเขาต่อไป
……
……
เฉินฉางเซิงนอนอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน ร่างกายเปียกโชกไปหมด ดวงตาปิดสนิท ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอันใด
ละอองดาวที่ออกมาจากร่างมิได้ถูกสายฝนชำระล้างไป ทว่าตอนนี้กลับถูกสายลมพัดกระจายไป จนไม่เหลืออะไรเลย
สายฝนหยุดลง มวลเมฆก็กระจายไป แสงดาวพร่างพราวส่องลงมาสู่ยอดเขา
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าราตรีอย่างเงียบงัน สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง
นางยืนอยู่หน้าเขา บดบังแสงดาวและยังบดบังสิ่งที่อยู่ด้านหลังท้องฟ้าพร่างดาวอันกว้างใหญ่ นั่นคือชะตา
“ในอนาคต อย่าได้ทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้”
น้ำเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ค่อนข้าเหนื่อยล้า เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
นางกับเฉินฉางเซิงเป็นเพียงสองคนที่อยู่บนยอดเขา
เฉินฉางเซิงตายไปแล้ว
นางพูดกับใครกัน
เฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้น
ใบหน้าขาวซีดและอ่อนแอหาใดเปรียบ กระอักกระไอเอาน้ำฝนออกมาอย่างต่อเนื่อง
เขามองหลังนาง ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กล่าวว่า “ขอบคุณ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้หันมาตอนที่นางตอบกลับ “ไม่เป็นไร”
……