ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 137 ดาวลอยเด่นเหนือที่ราบกว้าง
เมื่อยามทั้งโลกเชื่อว่าเฉินฉางเซิงมีชีวิตที่ดีพร้อม มีแต่เขาที่รู้ว่าตนมีชีวิตเหลืออีกไม่มากแล้ว
เมื่อยามทั้งโลกรวมถึงตัวเขาเองเชื่อว่าเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เขากลับมีชีวิตรอด
เขากลับไม่ตาย
เขานอนอยู่ในน้ำฝนบนยอดเขาสุสานเทียนซู ดวงหน้าขาวซีด ร่างกายอ่อนแออย่างที่สุด ทว่าเขายังไม่ตาย
ทั้งโลกนิ่งงัน
ยามที่สายฝนกลายเป็นกระแสน้ำกวาดไปทั่วในความมืด ประกายสายฟ้าก็ส่องแสงน่าหวาดหวั่นอยู่เหนือสุสานเทียนซู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ฟาดฝ่ามือใส่ศีรษะเฉินฉางเซิง ไม่ใช่เพื่อฆ่าเขาแต่เพื่อช่วยเขา
บัดนี้ สายฝนได้เบาบางลงมากแล้ว สรรพสิ่งล้วนเปียกชื้นในความเงียบ
ผู้คนในจิงตูต่างก็ยังหลับใหลในนิทรารมณ์
นักพรตจี้ยืนอยู่บนถนนกลางฝนพรำ จ้องมองขึ้นไปบนภูเขาเทียนซู คิดกับตัวเองในใจ คนที่ตื่นขึ้นมาผู้นี้เป็นใครกัน
เขาไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในลักษณะนี้
เริ่มจากเมื่อหกร้อยปีก่อน สองร้อยปีก่อน ยี่สิบปีก่อน เขาเตรียมตัวมาเพื่อคืนนี้ ระวังเพื่อคืนนี้ วางแผนเพื่อคนนี้
สำหรับคืนนี้ เขาได้จัดวางแผนสำรองเอาไว้นับไม่ถ้วน เตรียมตัวมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะเลือกสังหารเฉินฉางเซิงหรือกินเฉินฉางเซิง ล้วนแล้วแต่อยู่ในแผนของเขา
ไม้ตายของแผนนี้ยังอยู่ในป่าทึบของสุสานเทียนซู ยังไม่เผยตัวออกมา
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่นั้นเป็นผู้ปกครองราชวงศ์ต้าโจวในปัจจุบัน ดังนั้นการที่นางใช้สุสานเทียนซูเป็นเวทีจึงมิใช่ปัญหาอะไร
ทว่าเขาเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของนิกายหลวง ดังนั้นสุสานเทียนซูก็เป็นเวทีของเขาเช่นกัน
เขาได้ทำการเตรียมพร้อมไว้มากมาย หลังจากนางสังหารเฉินฉางเซิง เขาจะเผยความจริงเรื่องนี้ ทำให้จิตใจและวิญญาณของนางต้องสั่นสะท้าน จากนั้นก็ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ิอันไร้จำกัดที่ปลดปล่อยออกมาจากการตายของเฉินฉางเซิง ปลุกปั่นการตอบสนองของวิถีสวรรค์ ทำการบูชายัญต่อท้องฟ้าพร่างดาวเพื่อเชิญการลงทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ลงมาและสังหารนางลงตรงนั้น
ทว่า…เทียนไห่ไม่ได้ฆ่าเฉินฉางเซิง หรือกินเฉินฉางเซิง
ดังนั้นต่อให้เขาเผยความจริงออกมาในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจทำร้ายดวงจิตของนางได้
เฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาย่อมไม่อาจใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ในตัวเด็กหนุ่ม ชักนำการลงทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ลงมาได้
มีหลายอย่างที่นักพรตจี้ไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงช่วยชีวิตเฉินฉางเซิง
หรือว่าสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นหลักการที่ว่าเสือร้ายก็ยังไม่กินลูก ไม่มีใครเชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะสนเรื่องพรรค์นี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เชื่อ
หรือนางไม่กลัวการตีกลับของวิถีสวรรค์จริงๆ
เขามองไกลออกไปเงียบๆ อย่างสุขุม พลันเข้าใจบางอย่าง เมื่อตัดสินใจเลือกไปแล้ว ผลก็ย่อมต้องเริ่มปรากฏขึ้น
……
……
เฉินฉางเซิงนั้นรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเองดีที่สุด รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อพายุรุนแรงกวาดล้างร่างกายของเขา สายฟ้าเปล่งแสงสาดส่องโลกอันมืดมิด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยกมือขวาขึ้นโดยไม่หันมามองเขา นำพาสายฟ้านับไม่ถ้วนและความแข็งแกร่งปานเทือกเขาลงมาที่ศีรษะเขา จากนั้นพลังอันแข็งแกร่งของโลกและปราณที่เปี่ยมพลังชีวิตไร้สิ้นสุดก็ได้ไหลเข้ามาในกายเขา
ในชั่วพริบตา เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น พริบตาที่แสนสั้นจนไม่มีเวลาให้คิด ร่างกายเขาก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในที่มีบาดแผลนับไม่ถ้วน เส้นลมปราณที่ขาดวิ่นหรือจุดลมปราณ ทั้งหมดล้วนแหลกสลาย ผสมเข้ากับเลือดและกระดูก
ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันแสนสั้น แต่ในการรับรู้ของเฉินฉางเซิง เป็นประหนึ่งว่าเวลาผ่านไปนานนับร้อยปี ในชั่วพริบตาที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดนี้ เขาได้ประสบกับความเจ็บปวดมากเหลือเกิน ความเจ็บปวดสารพัดรูปแบบนับไม่ถ้วน ได้ผสมผสานกันกลายเป็นมีดขนาดเล็กจำนวนมหาศาล ตัดเข้าสู่ส่วนลึกของวิญญาณเขาด้วยแง่มุมและวิธีอันมากมายเกินคณนา
แต่มันยังไม่จบ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ในชั่วพริบตา เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น พริบตาที่แสนสั้นจนไม่มีเวลาให้สิ้นหวัง ร่างกายเขาก็เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในที่กลายเป็นเกล็ดดุจกลีบดอกไม้ เส้นลมปราณที่สลายกลายเป็นเม็ดทราย หรือจุดลมปราณที่แหลกเหลวไร้รูปที่น่าอนาถเกินทนดู ภายใต้การบรรจบกันของพลังอันยิ่งใหญ่และปราณอันเปี่ยมด้วยชีวิต ก็เริ่มรวมตัวกันก่อรูปร่างขึ้น
ในชั่วพริบตาระหว่างเหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งสองในร่างกายเขา มีแต่เปลือกนอกเท่านั้นที่ยังคงสภาพเป็นแผ่นผืน ภายในนั้นได้กลายเป็นทะเลเลือดไปแล้ว
ปทุมาขาวเริ่มเบิ่งบานขึ้นจากทะเลเลือด คือกระดูก ครั้นแล้วมีภุมรัตน์งอกเงยขึ้น คือเนื้อ กิ่งก้านแตกรยางค์ คือเส้นลมปราณ บรรณระบัดใบ คือจุดลมปราณ
องคาพยพภายใน เส้นลมปราณและจุดลมปราณที่แหลกเหลวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กลับคืนสู่ร่างกายของเขาอีกครั้งหนึ่ง
หากมีคนได้เห็นภาพนี้ ย่อมพูดอะไรไม่ออกด้วยความตกใจกับปาฏิหาริย์นี้
เฉินฉางเซิงผู้ทนกับกระบวนทั้งหมดนี้ ช่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
เมื่อบรรยายถึงความเจ็บปวด ย่อมนึกถึงวลีที่ว่า ‘ปวดไปถึงไขกระดูก’ แต่ไขกระดูกของเขาแหลกสลายจากนั้นก็รวมตัวกันใหม่เป็นลำธารเล็กๆ
แล้วก็ยังมีวลีที่ว่า ‘เจ็บลึกถึงหัวใจ’ แต่หัวใจเขาถูกบดขยี้จนแหลกลาญ แล้วค่อยๆ ลอยกลับมาจากทะเลเลือด
นี่เป็นการทำลายล้าง และเป็นการกำเนิดใหม่ หรือกลับชาติมาเกิด เป็นการเปลี่ยนแปลงสวรรค์พลิกผันปฐพี สร้างภาพใหม่ให้สุริยันจันทรา ทว่ากระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในกายเขา
อย่าว่าแต่เขา ต่อให้เป็นเจ๋อซิ่วก็ยังไม่อาจทนกับความเจ็บปวดนี้ได้
เสียงร้องของเขาดังก้องไปในจิงตูกลางพายุ นั่นเพราะเขากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวด
ในตอนนั้น จิตใจเขาได้ชาด้านด้วยความเจ็บปวดไปนานแล้ว จนแทบจะถึงจุดที่เรียกได้ว่าหลุดลอย หากมันเกิดขึ้น ต่อให้เขาฟื้นขึ้นมา เขาก็คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อน
มีความเป็นไปได้มากว่าห้วงแห่งจิตของเขาจะแหลกลาญ และเขาจะตายไปอย่างเงียบงันในขั้นตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่สนว่าเขาจะทนทั้งหมดนี้ได้หรือไม่ นี่เป็นบางสิ่งที่นางจงใจทำ
นางมองดูสายฝนราตรีด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือขวายังวางอยู่บนศีรษะของเขา ส่งมอบของขวัญอันเมตตาที่สุด การทรมานที่โหดเหี้ยมที่สุดให้แก่เขาอย่างต่อเนื่อง
โชคดีแท้ๆ ไม่แน่อาจเป็นเพราะการขัดเกลาจากทะเลเจตจำนงกระบี่ หรือเพราะมีเจ๋อซิ่วเป็นตัวอย่าง หรือเพราะเมื่อหลายคืนก่อนตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่แต้มคิ้วเขาด้วยหยดน้ำชาในป่าฤดูใบไม้ร่วงของสวนร้อยหญ้า หรือเพราะประกายความไม่ยินยอมที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณเฉินฉางเซิงมาตลอด เขาจึงสามารถทนได้
หลังจากผ่านไปหลายคืนจนนับไม่ถ้วน เขาก็ตื่นขึ้น
ในพลังอันน่าทึ่งและเจตจำนงอันเปี่ยมล้นทั้งหมดนั้น มีบางส่วนยังแผ่ซ่านอยู่ในร่างกายเขา กระบวนการได้สิ้นสุดแล้วแต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่ ความเย็นเยียบที่บาดลึกราวกับใบมีดยังคงกรีดแทงร่างของเขาอย่างไร้ปรานี ขูดเนื้อถูกระดูก ขัดสีจิตใจและเจตจำนง
เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง ปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย
เขารู้สึกประหนึ่งว่าทุกส่วนในร่างกายนับจากผมบนศีรษะไปจนถึงเล็บเท้า ถูกมดจำนวนนับไม่ถ้วนกัดแทะ
เขาไม่มีความแข็งแกร่งเหลือแม้แต่น้อย แม้แต่จะลืมตาก็ไม่ได้ เขาได้แต่ถอดจิตวิปัสสนา
เขากระตุ้นดวงจิตเล็กน้อย เริ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา
เป็นภาพที่คุ้นตาอยู่บ้าง ทว่าได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ทะเลสาบที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายังคงกระจ่างใส ภูเขาจิตวิญญาณก็ยังโดดเดี่ยวและเงียบงัน ประตูแดนลี้ลับก็ยังคงเปิดกว้าง ใบไม้เหลืองมากมายร่วงกองบนบันไดตรงหน้าประตู ราวกับว่าไม่มีใครมาเยือนเป็นเวลานานแล้ว
ม่านหิมะบางเบาปกคลุมแดนร้าง บางมากจนลมเพียงแผ่วเบาก็สามารถกวาดออกได้แล้ว นี่ก็คือละอองดาวที่เพิ่งจะสะสมขึ้นมาใหม่
จุดที่เคยเป็นทุ่งหิมะแต่เดิม บัดนี้เป็นน้ำเย็นเยียบสะสมรวมกันจากหิมะที่ละลาย ไหลเอื่อยๆ ไปตามที่ราบ น้ำเย็นเยียบไหลรวมเป็นลำธารและจากนั้นก็เป็นแม่น้ำ ไหลตรงไปเบื้องหน้า
เบื้องหน้า…ไม่มีหน้าผาตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีแม่น้ำที่แห้งขอด ไม่มีเหวลึกไร้ก้น มีเพียง…ที่ราบ!