ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 139 ค่ายกลใหญ่น่าหวาดหวั่น
ทหารม้าต้าโจวหลายหมื่นนายยังคงเดินทางจากเมืองต่างๆ สู่จิงตู ยังอยู่ห่างจากสุสานเทียนซูอีกมาก ทว่าสีหน้าอู๋ฉยงปี้ก็ยังเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ในฐานะยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และสมาชิกแปดมรสุม ความแข็งแกร่งของนางมาถึงจุดสูงส่งอย่างที่สุด ดังนั้นนางจึงมองเห็นกองทัพน่ากลัวบนที่ราบห่างไกลได้อย่างง่ายดาย และรวมถึงอินทรีแดงและห่านแดงที่บินผ่านเมฆฝนไปราวกับสายฟ้า
“ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนส่วนหนึ่งของเทียนไห่ เราต้องไปแล้ว” นางหันมาหาสามีด้วยสีหน้าขาวซีด
แส้หางม้าเปียกชุ่มด้วยสายฝน แนบอยู่กับข้อศอกนางอย่างไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างไปจากอารมณ์ของนางในตอนนี้
คืนนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เริ่มต้นการต่อสู้อย่างเป็นทางการ จึงยังไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ได้ แต่ท่าทีและความมั่นใจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ทำลายความมั่นใจของอู๋ฉยงปี้ไปหมดสิ้น
นางยังคงฝังจำตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการโจมตีนางจากบนแท่นกานลู่ที่อยู่ไกลออกไป ลึกลงไปในใจนางไร้ซึ่งความกล้าที่จะปะทะกับศัตรูซึ่งหน้า
ความกล้าเป็นสิ่งที่อาจต้องใช้เวลานับสิบปีหรือมากกว่านั้นเพื่อสั่งสมขึ้นมา แต่มักจะถูกทำลายลงได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
พวกอ๋องจากเมืองต่างๆ มองไปยังร่างน่าเกรงขามบนยอดเขาสุสานเทียนซู หน้าก็เริ่มเปลี่ยนสี บ้างก็เช่นเดียวกับอู๋ฉยงปี้ รู้สึกอยากหนีสุดใจ
สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนอย่างแท้จริง ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ชัดเจน คืนนี้เป็นกับดักที่นักพรตจี้วางแผนไว้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกับดักของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แทน
เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่รู้ทุกอย่างแล้ว ใครจะเอาชนะนางได้
แต่กระนั้น ณ จุดนี้ ต่อให้พวกเขาต้องการจะไป มันก็สายเกินไปแล้ว
เมื่อเสียงอินทรีกู่ร้องดังก้องไปในจิงตู สถานที่หลายแห่งในจิงตูก็ตอบสนองอย่างฉับพลัน
ตูม! ในป่าฤดูใบไม้ร่วงของสวนจิงเหอเมืองจิงตู ดินชุ่มชื้นถล่มลง ปรากฏเป็นถ้ำขนาดใหญ่ หินทรายร่วงกราวและน้ำก็พุ่งออกมา
เมื่อน้ำพุ่งออกมา รูปปั้นมหาบุรุษที่สลักขึ้นจากหินภูเขาไฟสีดำก็ปรากฏขึ้น
รูปปั้นปกคลุมไปด้วยโคลน ครั้นน้ำพุชะล้างทีละน้อย ก็เผยรูปร่างที่แท้จริงและเริ่มแผ่ความแข็งแกร่งเกรียงไกรออกมา
ที่ใจกลางถนนใต้หงจูมีรอยแตกยาวสามฉื่อปรากฏขึ้น รอยแตกนี้ลึกสุดหยั่ง อากาศที่ลอยขึ้นมาจากรอยแตกไม่ได้เย็นหากแต่ร้อนลวก ประหนึ่งมีเตาที่เผาไหม้ตลอดปีอยู่ใต้รอยแตกนี้ น้ำฝนบนถนนไหลลงไปในรอยแตกและกลายเป็นไอน้ำในทันที
ในเวลาไม่กี่วินาที ถนนชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องความสงบเงียบแห่งนี้ ก็กลายเป็นแดนฝันอันปกคลุมด้วยหมอกหนาตา งดงามปานมิใช่ส่วนหนึ่งของโลก ทว่าปราณร้อนแรงภายในหมอกนั้นเห็นได้ชัดว่ามีอันตรายอยู่ภายใน
ในลานที่สามของไป๋จือฟางเป่ยหลี่ก็มีรอยแยก และจากนั้นคานของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดในบริเวณนั้นก็ดูเหมือนจะเกิดการกัดกร่อนนานนับพันปี ปลวกแมลงกัดแทะ ลมฝนกัดเซาะ ผุพังลงจนลายเป็นผง เหลือไว้เพียงแค่ฐานราก นี่คือทางน้ำโบราณตื้นๆ ที่ปูไว้ด้วยก้อนอิฐ
บ่อน้ำบ่อเดียวในลานก็พังลง น้ำในบ่อพุ่งออกมาผ่านผนังบ่อที่พัง ไหลไปตามทางน้ำตื้นๆ ที่เป็นพื้นฐานของสิ่งก่อสร้าง กลายเป็นสายธาร
ปราณอันเย็นเยียบลอยออกมาจากลำธารสู่ท้องฟ้าราตรี
เจี้ยงกงเป่ยหลี่มีเนินดินที่เหมือนกับภูเขาลูกเล็กๆ มีต้นไม้ใบหญ้ามากมาย ได้รับการดูแลมายาวนานหลายศตวรรษ เป็นภาพอันงดงาม และในวันปกติ ประชาชนชาวจิงตูจะเลือกมาเดินเล่นในที่แห่งนี้ พวกเขาลืมไปแล้วว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่แห่งนี้เคยเป็นสุสานใหญ่
สายฟ้าฟาดลงมาจากสวรรค์ ปักลงบนเนินดินด้วยเสียงดังกระหึ่ม
ต้นสนใหญ่ที่สุดถูกสายฟ้าฟาดใส่ ส่งควันลอยโขมงขึ้นก่อนโค่นลง
ต้นสนบนเนินดินล้มลง บดขยี้หญ้าด้านล่าง ดินโคลนสาดกระจาย
ไม่นานหลังจากนั้น เนินดินก็แยกออก เผยให้เห็นภาพด้านใน
ไม่มีโลงศพ ไม่มีของเกี่ยวกับงานศพ มีแต่กระดูกนับไม่ถ้วน
กระดูกพวกนี้เป็นของนางกำนัลที่เต็มใจติดตามการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิไท่จง แต่ปราณเกลียดชังเย็นเยียบในสุสานใหญ่แห่งนี้ก็ทำให้คำว่า ‘เต็มใจ’ ฟังไม่ขึ้น
ปราณเกลียดชังเย็นเยียบไม่ส่งผลต่อคนที่อาศัยอยู่รอบเจี้ยงกงเป่ยหลี่
เพราะปราณที่แผ่ออกมาจากแม่น้ำใต้ดินที่ก้นเนินดินนั้น สามารถชำระความเกลียดชังและทำความสะอาดกระดูกพวกนั้นได้ประดุจสายลมเย็น
ปราณนี้พุ่งขึ้นตรงสู่ท้องฟ้าราตรี แผ่ประกายแวววาวสีทอง ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม!
……
……
ที่หลายแห่งในจิงตู ปรากฏการณ์คล้ายคลึงกันนี้ปรากฏขึ้น รูปสลักหินเป็นพื้นฐาน รอยแตกบนพื้นดึงดูดเปลวเพลิง น้ำพุไหลย้อนกลับกลายเป็นน้ำแกง หรือการปรากฏขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ของปราณจักรพรรดิ
ปราณทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บ้างก็ทะลวงผ่านชั้นเมฆขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรีในขณะที่ส่วนอื่นส่องประกายเจิดจ้าจนบดบังแสงดาว ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่น่าเกรงขาม
ค่ายกลนี้ไม่อาจมองเห็นได้ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสามารถสัมผัสได้ พวกเขาสัมผัสได้ในทันทีว่าตนเป็นเสมือนฝุ่นผงไร้ค่าและเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
น้ำพุที่ไหลย้อนได้ไหลไปบนรากฐานในไป๋จือฟางเป่ยหลี่ได้เปลี่ยนเป็นน้ำแกงทองคำอันเลื่องชื่อของนิกายหลวงแต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ที่ไม่น่าสนใจของค่ายกลใหญ่แห่งนี้
ปราณจักรพรรดิลอยขึ้นจากเจี้ยงกงเป่ยหลี่ ทะลวงออกจากหลุมศพ ทำความสะอาดกระดูกและทะยานขึ้นสู้สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทันใดนั้นก็ตกลงสู่วังหลวง
หอหลิงเยียนที่ถูกปิดผนึกแน่นมานานหลายร้อยปี มืดมิดดั่งราตรีกาล ได้แผ่ลำแสงสีขาวนวลออกมาสายแล้วสายเล่า
ในเวลาเดียวกัน ปราณที่กดขี่ มีภูมิฐานและเที่ยงธรรม ก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคน
นี่คือศาสตราอันดับหนึ่งในอันดับร้อยศาสตราซึ่งไม่ได้ปรากฏตัวมานานหลายปีแล้ว ทวนหิมาลัยเทวา!
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงปราณของทวนหิมาลัยเทวาและความเปลี่ยนแปลงภายในหอหลิงเยียน เปี๋ยยั่งหงก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นในที่สุด ดอกไม้สีแดงที่ผูกยู่กับนิ้วก้อยพลันหยุดส่ายไหวตามสายลม
แม่น้ำไหลรอบสุสานเทียนซู ทันใดนั้นน้ำในแม่น้ำก็พลันหายไปจนหมด ไม่ได้แห้งเหือดแต่เหมือนกับแผ่นดินดูดกลืนลงไป
วัตถุเจ็ดสิบกว่าชิ้นที่ดูเหมือนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ปรากฏขึ้นบนพื้นดินใต้แม่น้ำ กลายเป็นป่าหิน พื้นผิวแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านี้แผ่ปราณอันเคร่งขรึมออกมา
เมฆฝนที่ตอนแรกกระจายออกไปแล้ว เหมือนจะถูกค่ายกลใหญ่ภายในจิงตูเรียกกลับมาและค่อยๆ รวมตัวกัน แม้จะไม่ได้บดบังแสงดาวไปจนหมดสิ้น แต่ก็ทำให้ดวงดาวมากมายหม่นแสงลง
ปราณน่าเกรงขามของค่ายกลใหญ่ เป็นเสมือนกระบี่คมจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถกรีดทำลายกฎเกณฑ์ของโลก ความแข็งแกร่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นมากพอที่จะสังหารยอดฝีมือระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้!
ใบหน้าอู๋ฉยงปี้ขาวซีดอย่างมาก ความกดขี่บนใบหน้าได้เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
กวนซิงเค่อยังคงนิ่งเงียบ หมวกไม้ไผ่ปิดบังใบหน้าธรรมดาไม่โดดเด่นของเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ได้
“นี่คือผังลายจักรพรรดิเช่นนั้นหรือ”
สีหน้าจูลั่วเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขาหันไปที่ยอดเขาสุสานเทียนซูและถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ แล้วทำได้อย่างไร”
……