ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 14 วัยหนุ่มสาวบีบให้คนต้องปลดปล่อยแสงสว่างออกมา
หลังจากที่จิตรกรทั้งสามของหอความลับสวรรค์ส่งเสียงตกตะลึงออกมา บนเรือใหญ่ก็มีคนจำนวนมากเดาได้ว่าสวีโหย่วหรงใช้เพลงกระบี่อะไร เพียงแต่เป็นเพราะว่าตกตะลึงเกินไป จึงไม่กล้าจะเชื่ออย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งในตอนนี้ได้ยินที่พวกเหมาชิวอวี่ทั้งสามคนพูดขึ้น สุดท้ายถึงยืนยันได้ว่าที่แท้ก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริงๆ
เงียบเป็นเป่าสาก ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ มีเพียงเสียงน้ำกระทบท้องเรืออันแผ่วเบา
ผู้คนมองไปที่สะพานหินที่ไกลออกไปซึ่งถูกหมอกฝนกับหมอกหิมะปกคลุมเอาไว้แห่งนั้น มองดูภาพที่ราวกับเป็นดินแดนของเทพเซียนตรงนั้น พลางคิดอย่างตกตะลึง หรือว่าเพลงกระบี่จรัสแสงจะหวนกลับคืนสู่โลกอีกครั้งแล้วจริงๆ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นิกายหลวงแบ่งแยกเหนือใต้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้รุ่นแรกได้บรรลุสัจธรรมจากการมองแผ่นป้ายในสุสานเทียนซู จากฤดูใบไม้ร่วงสู่ฤดูร้อน สุดท้ายแล้วก็คิดค้นวิชาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาสองวิชาที่ใต้ศาลาหน้าถนนเสิน วิชาแรกพูดกันว่าเป็นวิชาที่ลึกล้ำสูงส่งยากจะเข้าใจอย่าง ‘วสันต์ผ่านพ้น’ ส่วนอีกวิชาหนึ่งก็คือเพลงกระบี่จรัสแสงในตำนาน
เพลงกระบี่จรัสแสงมีความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำโลกมนุษย์ไปและมีอานุภาพน่าหวาดกลัวอย่างที่ยากจะจินตนาการ เพลงกระบี่จรัสแสงกับคัมภีร์ดวงตะวันของนิกายหลวง กระบวนท่าที่เจ็ดของเคล็ดวิชาผลาญสมุทรของจักรพรรดิขาว ‘ทลายสวรรค์’ ของเคล็ดวิชาดาบสองท่อน ‘สารทสังหาร’ ในเพลงทวนของราชสกุลเฉิน ได้ถูกเรียกว่าเป็นห้าสุดยอดวิชาของดินแดนต้าลู่
คัมภีร์ดวงตะวันนั้นเป็นการรับรู้ถึงวิถีแห่งฟ้า ลืมเลือนทะเลแห่งดวงดาว เคล็ดวิชาผลาญสมุทรนั้นทรงพลังเป็นเอก เคล็ดวิชาดาบสองท่อนนั้นสังหารสิ้นทุกสิ่ง หวนเกล็ดหิมาลัยเทวาทำให้ทุกสิ่งโรยรา แต่ละสิ่งล้วนมีเส้นทางของมัน ชนะกันที่ท่าทีกับเจตจำนง แต่เพลงกระบี่จรัสแสงกลับต่างออกไป มันเหมือนการบวงสรวงดวงดาว เป็นสิ่งที่ก้าวข้ามวิถีกระบี่อย่างหนึ่ง
เพลงกระบี่จรัสแสงเป็นเพลงกระบี่ที่ยากจะจินตนาการ ไม่มีกระบวนท่าของตัวมันเอง แต่เหมือนกับวิญญาณของหมื่นกระบี่มากกว่า เป็นร่องรอยของดวงดาวที่ซับซ้อนอย่างหาใดเปรียบ ห่างไกลออกไป ขอเพียงแค่อยู่ระหว่างฟ้าดิน จะสามารถหลบไปได้อย่างไร
นอกจาก ‘วสันต์ผ่านพ้น’ กับ ‘คัมภีร์กาลเวลา’ ในตำนาน ในนิกายหลวงก็ไม่สามารถจะหาวิชาที่ลึกล้ำยากจะเข้าใจเช่นนี้ได้อีก คิดจะเรียนให้สำเร็จ แน่นอนว่าจะต้องลำบากเป็นอย่างมาก ผู้ที่เรียนกระบี่จะต้องชัดเจนในเพลงกระบี่นับหมื่นของโลก อาศัยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกระบี่จำศีล นำความรู้เรื่องวิถีกระบี่เหล่านั้นกับวิชาเต๋าของนิกายหลวงสายหลักออกมาหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์
การจะเรียนเพลงกระบี่จรัสแสง จำเป็นจะต้องอาศัยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ในกระบี่จำศีลมาช่วยในการรับรู้ หลายปีก่อนที่โจวตู๋ฟูบุกเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แล้วนำเอากระบี่จำศีลไป เพลงกระบี่จรัสแสงก็สูญหายไปแล้ว
“ไม่ใช่ว่าเพลงกระบี่จรัสแสงได้หายสาบสูญไปหลายร้อยปีแล้วหรือ”
ผู้คนที่อยู่บนเรือใหญ่มองไปที่สะพานหน่ายเหอที่ราวกับเป็นดินแดนของเทพเซียนก็ไม่ปาน มองดูเงาร่างของสวีโหย่วหรงที่เห็นอยู่รางๆ ในหมอกหิมะ ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมาอย่างตกตะลึงเบาๆ
ราชันย์แห่งหลิงไห่พลันพูดขึ้น “กระบี่จำศีลได้ปรากฏคืนสู่โลกอีกครั้งแล้ว”
กระทั่งถึงตอนนี้ ผู้คนถึงได้รู้ว่าที่แท้กระบี่ที่อยู่ในมือของสวีโหย่วหรงในตอนนี้ก็คือกระบี่จำศีลของสถานศึกษาหนานซี ที่ตามมา ผู้คนก็นึกถึงข่าวลือที่เฉินฉางเซิงค้นพบสระกระบี่ในสวนโจว ในใจก็รู้ว่ากระบี่จำศีลนี้จะต้องเป็นทางพระราชวังหลีที่คืนให้กับสถานศึกษาหนานซีอย่างแน่นอน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะวุ่นวายอยู่บ้าง
ม่ออวี่มองไปที่สะพานหน่ายเหอ คิ้วงามเลิกขึ้นน้อยๆ
คิดจะรับรู้ถึงไอศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกระบี่จำศีล นอกจากระยะเวลาแล้วก็ไม่มีวิธีอื่น ในตอนที่กระบี่จำศีลยังอยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่นที่สามารถถือครองเพลงกระบี่จรัสแสงเอาไว้ได้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถถือครองเพลงกระบี่จรัสแสงได้เหล่านั้น ก็มักจะเป็นเรื่องหลังจากที่ระดับพลังได้ประสบความสำเร็จแล้ว และอาศัยเวลานับสิบปีถึงจะสามารถบรรลุได้ นางชัดเจนอย่างมาก เมื่อเดือนก่อนสวีโหย่วหรงเพิ่งจะมีอายุครบสิบหกปีเต็ม กระบี่จำศีลก็เพิ่งรับมาจากพระราชวังหลีแค่เจ็ดวัน เช่นนั้นนางสามารถทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
ก็เป็นตอนที่ผู้คนบนเรื่องตกตะลึงจนพูดไม่ออก ภาพเหตุการณ์บนสะพานก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง แสงสว่างสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแต่กลับไม่แสบตาพลันลอดผ่านหมอกหิมะออกมา ส่องสว่างไปยังกิ่งหลิวที่ทนหนาวอยู่สองข้างฝั่งของแม่น้ำลั่วที่ใต้สะพาน ดินแดนเทพเซียนได้กลายเป็นเมืองของทวยเทพในทันที สะพานหินก็เหมือนจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมไปยังเมืองของทวยเทพแห่งนั้น
มาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรให้คาดเดาอีกแล้ว ที่สวีโหย่วหรงใช้อยู่เป็นเพลงกระบี่จรัสแสงจริงๆ!
เส้นแสงลอดผ่านหิมะออกมา เงาแสงภายในหมอกหิมะหมุนเวียน เกิดเป็นร่องรอยที่คล้ายจะมีคล้ายจะไม่มีจำนวนนับไม่ถ้วน ร่องรอยทั้งหมดนั้นก็คือเจตจำนงกระบี่ รวมตัวกันโดยที่ไม่ขยับ ซุกซ่อนเอาไว้โดยที่ยังไม่ได้ปล่อยออกไป
ถ้าหากว่าเส้นแสงที่อยู่ในหมอกหิมะเหล่านั้นรวมตัวกับสิ่งต่างๆ เช่นนั้นเจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ก็จะตามเกล็ดหิมะไป เมื่อพบกับสายฝนก็จะเปียกไป ถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้ ผู้คนยังไม่เห็นว่าเจตจำนงกระบี่เหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าจริงๆ แต่ก็พอจะรับรู้ได้แล้วว่า มีกระบวนท่าจำนวนนับไม่ถ้วนซุกซ่อนอยู่
นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของเพลงกระบี่จรัสแสง ถ้าหากเฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นรับ เจตจำนงกระบี่เหล่านั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของมันเอง ใครจะสามารถทำลายแสงสว่างที่อยู่ระหว่างฟ้าดินได้กัน
ถ้าหากเป็นอย่างพวกเหมาชิวอวี่หรือราชันย์แห่งหลิงไห่ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงแค่ก้าวเดียว แน่นอนว่าก็สามารถอาศัยปราณแท้จำนวนมหาศาลกับระดับที่สูงส่งฝืนสะกดเอาไว้ได้ และทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงของสวีโหย่วหรง ขอเพียงแค่จ่ายค่าตอบแทนตามสมควรสักเล็กน้อย แต่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงมีระดับพลังในขั้นเดียวกัน ปริมาณปราณแท้กับความแข็งแกร่งของดวงจิตก็เทียบไม่ได้กับอีกฝ่าย จะสามารถทำลายเพลงกระบี่นี้ไปได้อย่างไร
แน่นอน ในเมื่อเพลงกระบี่จรัสแสงไม่ได้เป็นเพลงกระบี่ของโลกมนุษย์ คิดจะใช้กระบี่ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล ต่อให้เป็นสวีโหย่วหรงที่มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ ก็น่าจะใช้ได้มากที่สุดเพียงแค่ครั้งเดียว
ถ้าหากเฉินฉางเซิงไม่สามารถทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงชุดนี้ไปได้ ก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ถ้าหากเขาสามารถทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงชุดนี้ไปได้ สวีโหย่วหรงก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย นี่ก็เป็นเหตุผลที่จิตรกรซึ่งมาจากหอความลับสวรรค์ผู้นั้นพูดประโยคนั้นออกมาก่อนหน้านี้
การต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอในวันนี้ มีผู้คนนับหมื่นจับจ้อง เพื่อการประลองครั้งนี้ ชาวเมืองจิงตูได้รอคอยมาเป็นเวลาหลายเดือน กระทั่งสามารถพูดได้ว่ารอคอยมาเกือบจะสองปีแล้ว
…หรือว่าการประลองครั้งนี้จะจบลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
คนจำนวนมากล้วนตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นเหมาชิวอวี่ ราชันย์แห่งหลิงไห่ หรือจะเป็นนักพรตซือหยวน ไม่ว่าจะเป็นคนไหนในพวกเขา ล้วนไม่มีทางให้ตนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์คับขันถึงเพียงนี้
ใช่ นี่เป็นสถานการณ์คับขัน
ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือสวีโหย่วหรง ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
จะชนะหรือว่าจะพ่ายแพ้ ก็จะอยู่เพียงแค่กระบี่เดียว…เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงล้วนเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองอย่างมาก คนที่มีความมั่นใจในตัวเองล้วนไม่ให้ตัวเองถูกบีบไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
แต่พวกเขากลับทำเช่นนี้ ไม่ได้เหลือทางถอยใดๆ ไว้ให้กับตนเองเลย
เฉินฉางเซิงใช้วิถีดาบของหวังผ้อวาดเส้นตรงไว้บนสะพานหิมะ สวีโหย่วหรงมีเส้นทางของตน แต่ก็ยอมรับเส้นทางนี้อย่างสงบ เพราะว่าพวกเขากำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาว
คนหนุ่มสาวไม่จำเป็นต้องออมแรง
ไม่ซ่อนความโง่งมและยิ่งไม่ซ่อนคมเอาไว้
วัยหนุ่มสาวก็บีบคั้นคนเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้น ก็ได้เดินมาสู่จุดสุดท้ายแล้ว
เหล่าผู้แข็งแกร่งอาวุโสอย่างพวกราชันย์แห่งหลิงไห่นี้ไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มสาวแล้ว กระทั่งลืมเลือนวัยหนุ่มสาวของตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจ ถังซานสือลิ่วสามารถเข้าใจได้ ซูม่ออวี๋เข้าใจ เฉินหลิวอ๋องพอจะเข้าใจ เจ๋อซิ่วเข้าใจเป็นที่สุด เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่ม
“ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือสวีโหย่วหรง ก็ล้วนไม่ชอบแสดงให้คนดู” ถังซานสือลิ่วหันกลับไปมองฝูงคนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่ว แล้วพูดขึ้น “จะจบลงอย่างรวดเร็ว”
ก็เป็นในตอนนี้เอง ที่ด้านล่างของเรือใหญ่พลันมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น
หมอกหิมะบนสะพานหน่ายเหอพัดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หมอกฝนกระจายไป
แสงสว่างจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซุกซ่อนเจตจำนงกระบี่จำนวนมากเอาไว้ ได้พุ่งเข้าไปทางเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงถือกระบี่แทงไปยังจุดหนึ่งในสายฝนและเกล็ดหิมะ
กระบี่นี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และยิ่งไม่มีความหมายแฝงใด
แต่ สายฝนและเกล็ดหิมะที่อยู่บนสะพานกลับหยุดลงอย่างกะทันหันแล้ว