ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 143 ยืมเลือดราชวงศ์ ร่อนลงสู่ตำหนักราตรี
“นี่คือเจตจำนงแห่งสวรรค์”
แสงดาวสาดส่องลงมาบนถนนที่ฝนพรำ เปลี่ยนหยาดฝนให้กลายเป็นใบไม้สีเงินเหลือคณานับ
นักพรตจี้ยืนอยู่กลางใบไม้สีเงินมากมายและกล่าว “ทั้งหมดนี้ก็คือเจตจำนงแห่งสวรรค์”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “เราช่วยเขาเพราะเราอยากช่วยเขา ไม่เกี่ยวว่าเขาเป็นลูกเราหรือไม่ และก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจตจำนงสวรรค์”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหนียงเหนียง ท่านยังไม่ยอมรับอีกหรือ สุดท้ายแล้วท่านก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือลูกที่แท้จริงของท่าน แต่ท่านยังกล้าคิดจะต่อสู้กับวิถีสวรรค์อีกหรือ เพื่อที่จะช่วยผู้เยาว์คนหนึ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดกับท่าน ท่านกลับตกลงสู่วงจรของวิถีสวรรค์ ไร้กำลังจะหนีพ้น ท่านไม่รู้สึกเศร้าหรอกหรือ”
นักพรตจี้กล่าวต่อ “วิถีสวรรค์ไม่จำเป็นต้องเป็นการลงโทษ แต่ให้ท่านทำตามเจตจำนงตนเองเพื่อวิถีสวรรค์จะใด้บรรลุเป้าหมาย วิถีสวรรค์นั้นมิอาจพรรณนาได้ ท่านเชื่อว่าท่านต่อสู้กับวิถีสวรรค์แต่กลับไม่ตระหนักว่าทุกอย่างที่ท่านต่อสู้มาในอดีตก็คือแผนการของวิถีสวรรค์ ท่านไม่คิดว่ามันน่าขันละหรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตอบอย่างเฉยชา “หากนี่เป็นแผนของวิถีสวรรค์จริง เช่นนั้นก็ควรจะมาสังหารข้าแล้ว”
นักพรตจี้ตอบ “วิถีสวรรค์ไม่อาจสังหารคน มีแต่คนที่สังหารคน ท่านเชื่อว่าท่านควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านไม่อาจควบคุมสวรรค์เบื้องบนและไม่อาจควบคุมโลกมนุษย์เช่นกัน”
ครั้นคำพูดนี้ดังขึ้น ลมก็พัดขึ้นจากจิงตู
เป็นสายลมอันแท้จริง ส่งเสียงหวีดหวิวราวปรารถนาจะทำลายแก้วหูผู้ได้ยิน
ลมนั้นพัดขึ้นจากวังหลวง
……
……
ถึงแม้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะยอมจ่ายอย่างมหาศาลเพื่อช่วยเฉินฉางเซิงเปลี่ยนโชคชะตา จนกระทั่งไม่ได้ไร้คู่เปรียบเฉกเช่นตอนที่นางอยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป ทว่าสถานการณ์ในจิงตูก็ยังอยู่ในการควบคุมของนาง อย่างน้อยก็เปลือกนอก เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือผังลายจักรพรรดิที่ได้ถูกเปิดใช้งาน
เจตจำนงกระบี่น่าเกรงขามจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นจากทั่วทั้งจิงตู แบ่งแยกและห้อมล้อมเหล่าผู้กล้าที่เข้ามาในจิงตู
แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสุดยอดที่สุสานเทียนซูก็ยังไม่อาจจากไปได้
ในเวลาอีกไม่นาน อันตรายที่แท้จริงของผังลายจักรพรรดิก็จะเผยออกมาอย่างเต็มที่ นอกจากยอดฝีมือเช่นนักพรตจี้ที่อาจหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยอดฝีมือที่เหลือย่อมถูกสังหารไปจนหมด
หากพวกเขาปรารถนาชัยชนะในตอนท้าย ก็ต้องทำลายผังลายจักรพรรดิก่อนที่กองทัพต้าโจวจะกลับมาถึงจิงตู
หัวใจของผังลายจักรพรรดิอยู่ภายในวังหลวง ภายในหอหลิงเยียนที่มีค่ายกลพิฆาตสวรรค์คุ้มกันอยู่
หากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะบุกเข้าวังหลวง ก็ต้องทนรับการโจมตีจากค่ายกลพิฆาตสวรรค์แล้ววิญญาณก็จะดับสูญ
ส่วนยอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่อาจบุกเข้าวังหลวงได้อย่างแน่นอน
เพราะคนที่ป้องกันวังหลวงอยู่คือเซวียสิ่งชวน
นี่คือค่ายกลภายในค่ายกล เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำลายได้
นอกจากเซวียสิ่งชวนที่อยู่ด้านนอก ก็ยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งอยู่ภายในหอหลิงเยียน เหลียงหวังซุน
เลือดเหลียงหวังซุนก็เป็นสายเลือดราชวงศ์ นอกจากราชสกุลเฉินแล้ว ก็มีแต่วิญญาณในสายเลือดของเขาที่สามารถขับเคลื่อนผังลายจักรพรรดิได้
ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าจูลั่วเดาได้ว่าเขาอยู่ในวังหลวงจึงได้ตะโกนออกมาอย่างฉุนเฉียว
ด้านในหอหลิงเยียนสว่างราวกลางวัน เหลียงหวังซุนนั่งอยู่ที่ใจกลาง ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าขาวซีด เลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่ฝ่ามือเข้าสู่บุปผาเพลิงพิสุทธิ์
เขาได้ยินคำถามของจูลั่ว
เรื่องไร้ยางอาย?
ก็ใช่
จิตูแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียงมาก่อน
ผังลายจักรพรรดิเป็นค่ายกลใหญ่ที่ตกทอดมาของราชวงศ์เหลียง
แต่หลังจากนั้น จิงตูกับค่ายกลนี้ก็ถูกสกุลเฉินแย่งชิงไป
ในตอนนี้เขาได้มอบเลือดสกุลเหลียงให้กับผังลายจักรพรรดิของสกุลเฉิน ช่างเป็นเรื่องน่าขันอย่างยิ่ง จะเรียกว่าไร้ยางอายก็ไม่เกินไป
แต่เหลียงหวังซุนไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขารู้ดีว่าศัตรูของเขาคือสกุลเฉิน สิ่งที่เขาเกลียดก็คือสกุลเฉิน หาใช่หญิงแซ่เทียนไห่
สิ่งใดที่สร้างความลำบากให้กับสกุลเฉิน เขาก็ยินดีทำ อย่าว่าแต่เหตุคืนนี้ที่อาจทำลายความหวังทั้งมวลของสกุลเฉินไป!
ตราบใดที่เขาทำได้ จะต้องไปสนใจว่าความคิดของเหล่าผู้อาวุโสจะเป็นอย่างไรไปทำไมกัน
……
……
“ข้าก็แซ่เฉิน ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังเป็นทายาทสกุลเฉิน”
หลัวหยางอ๋องนำผู้ติดตามหลายสิบคนลอบเร้นจากสวนส้มจี๊ดไปตามทางในจิงตู ซ่อนตัวอย่างลำบากจากการค้นหาของกองทัพอวี่หลิน พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงสองจุดที่ไอปราณผังลายจักรพรรดิได้พลันระเบิดออกมา สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงประตูหนานหวา มองผ่านความมืดไปยังวังหลวงที่ยิ่งใหญ่งดงาม เขาเลือกเวลาที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งมาคิดถึงเรื่องวัยเด็ก ใบหน้าแสดงถึงการหวนคะนึง
“ท่านอ๋อง นี่ไม่ใช่เวลามาละเมอเพ้อพกนะ เราจะไปไหนต่อ”
หลัวหยางอ๋องถูกผู้ใต้บังคับบัญชาทักท้วงขึ้นอย่างหยาบคาย จึงลูบหน้าอกอย่างอับอายก่อนจะกล่าว “ไปซ่อนตัวในสวน เราไม่ไปไหนอีกแล้ว ไม่มีที่ไหนปลอดภัยกว่าที่นี่แล้ว”
ในหมู่อ๋องสกุลเฉิน หลัวหยางอ๋องอ่อนแอที่สุดในแง่ของความแข็งแกร่งและลักษณะนิสัย เบื้องหลังก็อ่อนแอที่สุดอีกด้วย เขาย่อมไม่อาจดึงดูดยอดฝีมือที่แท้จริงได้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดตามเขามายังจิงตูจึงไม่ใช่พวกที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรม ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง มุ่งหมายจะฉกฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย ครั้นได้ยินคำพูดท่านอ๋องและนึกได้ว่าเขาไร้สามารถเพียงใดตลอดทางที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก็หงุดหงิดและบ่นออกมา “มีเพียงโลกที่วุ่นวายเท่านั้นจึงจะสร้างวีรบุรุษขึ้นมาได้ หากท่านอ๋องไม่ต้องการปรากฏกาย แล้วจะเดินทางมาถึงที่นี่ทำไม”
หลัวหยางอ๋องกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นกว่าเก่า “ขืนเราไม่มา มีหวังเซียงอ๋องเอาเราตายแน่”
คนรับใช้จวนอ๋องเข้าใจนิสัยเขาดี แต่พวกผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งเข้ามาใหม่นั้น เพิ่งจะเข้าใจตอนนี้เองว่า ความหวังทั้งหมดของพวกเขาจบสิ้นแล้ว
เสียงต่อสู้และเสียงร้องน่าอนาถดังมาจากถนนอยู่เป็นระยะๆ หลัวหยางอ๋องก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น ใบหน้าซีดขาวกว่าเดิม เขาพึมพำกับตัวเอง “พวกเขาต่อสู้เพื่ออะไรกัน…. เสด็จแม่เองก็เช่นกัน หากพวกเขาต้องการเป็นจักรพรรดิ ก็ปล่อยให้พวกเขาเป็นไปสิ บรรดาลูกๆ เหล่านั้นของท่านโหดเหี้ยมจะตาย”
ตอนนั้นเอง ชายชุดคลุมสีน้ำเงินสวมหน้ากากเสือกระดำกระด่างก็เดินมาหาเขาและถาม “ท่านอ๋อง จากประตูหนานหวาถึงหอหลิงเยียนไม่ไกลนักใช่หรือไม่”
“หอหลิงเยียนสูงมากแต่เดินไปยังฐานก็ไม่ไกลนัก… เอ่อ เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร อย่าได้ทำวุ่นวาย ขุนพลเทพเซวียแข็งแกร่งมากนะ ไม่รู้หรือไง”
หลัวหยางอ๋องมองชายคนนั้นพลางกล่าวอย่างไม่สบายใจ
ชายคนนั้นกำลังเช็ดดาบในมือ ไม่สนใจคำพูดหลัวหยางอ๋อง แต่ตอนที่หลัวหยางอ๋องกล่าวว่า ‘ไม่รู้หรือไง’ มือเขาก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋อง ข้าอยากยืมบางอย่างจากท่าน”
“ยืมอะไร”
“เลือดเล็กน้อย”
ว่าแล้วชายสวมหน้ากากเสือก็ยกดาบขึ้นฟันแขนขวาหลัวหยางอ๋อง เลือดไหลออกมาจากแผลในทันที ใบหน้าหลัวหยางอ๋องก็พลันซีดเผือด เขากำลังจะร้องอย่างเจ็บปวด แต่ก็พลันตระหนักว่าไม่อาจส่งเสียงให้คนอื่นได้ยิน จึงรีบเอามือซ้ายปิดปากไว้
ชายชุดน้ำเงินกำลังจะทุบอ๋องให้สลบเพราะเกรงว่าเขาจะส่งเสียงออกมา แต่เขาไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องจะกลัวตายจนถึงขนาดนี้ จึงชะงักไปชั่วขณะ
กว่าคนรับใช้ท่านอ๋องและคนอื่นจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วรีบมา ชายคนนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไปแล้ว
คนรับใช้สายตายาวคนหนึ่งมองข้ามกำแพง ร่างก็พลันแข็งไป
ชายในชุดสีน้ำเงินกำลังพุ่งไปทางวังหลวง
……
……
ความเร็วของชายชุดน้ำเงินน่าทึ่งมาก ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่มนุษย์
ควันลอยขึ้นในความมืดเบื้องหน้าจิงตู แสงดาวพร่างพราวส่องลงมา แทบมองไม่เห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนตรงหน้าควันนี้
ครั้นเห็นเช่นนี้ นายกองบางคนของกองทัพอวี่หลินที่อยู่มายาวนานก็พลันนึกไปถึงขุนพลเผ่าปีศาจที่เร็วที่สุดในสงครามใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
ชายชุดสีน้ำเงินย่อมไม่ใช่จินอวี้ลวี่ แต่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ
คืนนี้ ประตูวังหลวงไม่ได้ปิด ชายชุดน้ำเงินพุ่งตรงผ่านประตูหนานหวาไปด้วยความเร็วราวสายฟ้า
ไม่มีใครอยู่ที่ประตูหนานหวา มีเพียงลานว่างเปล่า แต่ก็ดูเหมือนกับว่ามีอันตรายถึงตายซ่อนอยู่
ชายชุดน้ำเงินไม่ประหลาดใจสักนิด เขาส่งเสียงคำรามใช้ดาบฟันตรงไปยังหอหลิงเยียนที่ไกลออกไป
ดาบในมือเขามีเลือดของหลัวหยางอ๋อง เมื่อดาบนั้นฟันลง ปราณภายในวังหลวงย่อมตอบสนองและเริ่มเปลี่ยนแปลง ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า!
นี่คือค่ายกลพิฆาตสวรรค์อย่างนั้นหรือ
ชายในชุดน้ำเงินยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเขาก็ยังสามารถใช้เลือดราชวงศ์บนดาบบังคับให้ค่ายกลพิฆาตสวรรค์ปรากฏขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวอย่างมาก!
ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นเส้นแสงที่ก่อตัวเป็นชั้นผนึกรอบหอหลิงเยียน เส้นแสงหลายเส้นดูเหมือนจะลอยข้ามพื้นของหอหลิงเยียนประดุจใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าออกแบบไว้
ชายชุดน้ำเงินระเบิดปราณแท้ออกมา ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง เขาพุ่งไปด้านข้าง แต่ไม่อาจเลี่ยงแสงสีทองสองสายได้
ปราณเกิดปั่นป่วนขึ้นท่ามกลางเสียงระเบิดหลายครั้ง ชายชุดน้ำเงินได้ยอมสละของวิเศษหลายชิ้นและทั้งหมดก็พังทลายไป แต่เขาไม่อาจหลบเลี่ยงพลังที่เหลือของค่ายกลพิฆาตสวรรค์ได้ รอยแผลและคราบเลือดปรากฏขึ้นบนเสื้อผ้าของเขา ใบหน้าถูกตัดขาดปลิวไปตามสายลม
ใบหน้านี้มีส่วนผสมระหว่างวีรบุรุษและทรราช ผิวหน้าปกคลุมไปด้วยขนหยาบหนา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นเผ่าปีศาจที่อยู่ในระหว่างการกลายสภาพ
มียอดฝีมือเผ่าปีศาจไม่มากนักในโลกนี้ที่มีความเร็วเป็นเลิศ
บางแห่งในจิงตูมีเสียงขุนพลบางคนร้องออกมา
“เสี่ยวเต๋อ!”
ใช่แล้ว ชายชุดน้ำเงินคนที่พุ่งตรงไปยังวังหลวงเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของเผ่าปีศาจที่อยู่อันดับห้าบนประกาศเซียวเหยานามว่าเสี่ยวเต๋อ!
เผ่าปีศาจผู้นี้มีชื่อเสียงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะที่นี่คือวังหลวงต้าโจว
กองทหารจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในจิงตูอย่างหนาทึบท่ามกลางเสียงทุ้มอึงคะนึง
ศรบนหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเจิดจ้าในความมืด
กลางวังหลวงยังว่างเปล่ามีแต่เพียงเสี่ยวเต๋อ
แม้แต่ยอดฝีมืออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา การบุกเข้าสู่วังหลวงของต้าโจวก็ยังเป็นการหาที่ตาย!
ครั้นเสี่ยวเต๋อเห็นหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ในความมืดและสัมผัสถึงปราณน่าหวาดกลัวของค่ายกลพิฆาตสวรรค์ เขาก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล…
วางดาบ
คุกเข่า
ยกมือ
ตะโกน
“ข้ายอม(降)!”
……
……
‘降’ คำนี้มีหลายความหมาย
อาจหมายถึง ‘ยอมแพ้’ หรือหมายถึง ‘ร่วงลง’ ก็ได้ด้วย
เสี่ยวเต๋อที่เป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจตะโกนว่า ‘ยอม’ อย่างไม่ลังเลเมื่ออยู่ท่ามกลางหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนของต้าโจว
จากนั้น คนที่อยู่บนท้องฟ้าราตรีก็ร่วงลงมา
ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเดินตามสายลมล้วนอยู่ในสุสานเทียนซูทั้งหมด
หากวิหคอมตะหรืออสูรประหลาดของสำนักต่างๆ กล้ามาปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือจิงตูคืนนี้ ก็ย่อมถูกยิงจนตาย หรือไม่ก็ถูกอินทรีแดงไล่จิกจนตาย
แล้วใครกันที่ลงมาจากท้องฟ้าราตรี
มันเป็นว่าวสีแดงขนาดมหึมา
ว่าวแดงที่กระพือไปตามลม
มีสายป่านอยู่ใต้ว่าว ที่ปลายอีกด้านหนึ่งมีคนอยู่หนึ่งคน
ใบหน้าคนผู้นั้นมีกระดาษขาวปิดเอาไว้ กระดาษก็กระพือไปตามสายลมเช่นกัน
บนกระดาษขาวเจาะรูไว้สามรู ดูน่าหวาดกลัวทีเดียว
อันดับสองบนประกาศเซียวเหยา ฮว่าเจี่ยเซียวจาง!
เขากระโดดลงมาจากท้องฟ้า!
หลบเลี่ยงลำแสงสีทองที่เสี่ยวเต๋อกระตุ้นออกมา แล้วร่วงลงมาราวกับก้อนหิน กระแทกเข้าใส่หอหลิงเยียน!