ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 144 พิษร้ายที่สุดในโลก
เหลียงหวังซุนที่อยู่ข้างในหอหลิงเยียนสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของเซียวจาง
ในฐานะยอดฝีมืออันดับต้นบนประกาศเซียวเหยา พวกเขาย่อมรู้จักกันดีทีเดียว
เขารู้ว่าเซียวจางนั้นบ้าระห่ำและน่ากลัวเพียงไร และเขาก็ได้สัมผัสในคืนนี้ ทวนของเซียวจางนั้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาโจมตีใส่ซูหลีในเมืองสวินหยางเสียอีก
แต่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพราะเขาเหนื่อยล้า และเพราะรู้ว่าเซียวจางไม่อาจลงสู่หอหลิงเยียนได้
ความมืดตรงหน้าหอหลิงเยียนพลันมีเปลวไฟลุกโชน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็เปลี่ยนเป็นเมฆเพลิงเจิดจ้า
รอยฉีกปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเมฆเพลิงสีแดง
ทวนโผล่ออกมาจากรอยฉีกนี้
ภายนอกของทวนนี้ดูธรรมดาอย่างมาก มีสีดำสนิท ไม่มีการแกะสลักอันใด ทว่าแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวที่สุดออกมา
ราวกับมือของผีร้ายที่ยื่นออกมาจากนรก
กระดาษขาวที่ปิดใบหน้าของเซียวจางนั้นปกคลุมไปด้วยชั้นโลหะ ดวงตาทั้งสองก็ดูเจิดจ้าขึ้นมา ถึงกับดูบ้าบิ่นอยู่บ้าง
ความมืดถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เมฆเพลิงสลายไปเป็นเศษจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อทวนเหล็กของเขาแทงไปยังทวนอีกเล่มหนึ่ง
ตูม!
เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากเซียวจาง รอยขาดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนกระดาษขาวที่ปิดหน้าเขา ร่างกายลอยไปในความมืดนอกหอหลิงเยียน ถอยไปด้วยความเร็วสูงราวกับลำแสงจนกระทั่งกระแทกเข้ากับกำแพงของวัง
รอยร้าวมากมายปรากฏขึ้นบนกำแพงวัง เฉกเช่นกระดาษขาวบนใบหน้าเขา และเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร่วงลงมาจากรอยแตกร้าวบนกำแพง
ความร้อนแรงในความมืดค่อยๆ สงบลง ไม่มีเปลวเพลิง มีแต่แสงสีแดงของกิเลนเมฆแดง
เซวียสิ่งชวนนั่งอยู่บนกิเลนเมฆแดง มองลงมาที่เซียวจางที่กองอยู่บนพื้นกำแพงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เศษหินที่ร่วงลงมาจากรอยแตกร้าวบนกำแพงหล่นลงบนร่างเซียวจาง
เขาใช้ทวนช่วยยันกายขึ้น เศษหินบนไหล่ร่วงลงอีกครั้งพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากปาก
เขาใช้มือซ้ายอันสั่นเทาเช็ดเลือดบนใบหน้า สายตาจับจ้องไปที่หอหลิงเยียนที่ห่างไปหลายร้อยจั้งด้วยสีหน้าซับซ้อน มีทั้งเคารพ มีทั้งหวาดเกรง และตื่นเต้นอย่างมาก
ไม่แปลกเลยที่เขาได้เป็นขุนพลเทพอันดับสองของต้าลู่ ความแข็งแกร่งของเซวียสิ่งชวนน่าเกรงขามเกินไป น่าเกรงขามจนเกินกว่าที่เขาจะทนได้
ทว่าอารมณ์ในดวงตาเขานั่นมิได้เซวียสิ่งชวน หากแต่ส่วนใหญ่มาจากการได้เห็นทวนที่ดูธรรมดาในมือเซวียสิ่งชวน
“ทวนหิมาลัยเทวา!”
เซียวจางจ้องมองไปที่ทวนในมือของเซวียสิ่งชวนและร้องออกมา
สายตาของเขาร้อนแรง น้ำเสียงสั่นเทาราวกับน้ำเดือด
ทวนหิมาลัยเทวา!
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิไท่จง!
อันดับหนึ่งบนอันดับร้อยศาสตรา!
……
……
ความแข็งแกร่งของเซวียสิ่งชวนนั้นมากเกินไป มากเกินกว่าข่าวลือด้วยซ้ำไป มากจนเรียกได้ว่าไร้เหตุผล
หัวใจผังลายจักรพรรดิตั้งอยู่ในวังหลวง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ให้เซวียสิ่งชวนป้องกันวังหลวงก็เพราะเขามีความมั่นใจอย่างที่สุด
คืนนี้ ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ดึงไปที่สุสานเทียนซู
แม้ว่าจะมียอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ความมืดลอบเข้ามา แต่พวกเขาก็ไม่อาจเลี่ยงค่ายกลพิฆาตสวรรค์ของวังหลวงได้
ส่วนยอดฝีมือที่ต่ำกว่าระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครสู้กับเซวียสิ่งชวนได้
การพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของเซียวจางในกระบวนท่าเดียวเป็นข้อพิสูจน์อย่างดี
ยิ่งตอนนี้เขามีทวนเกล็ดหิมาลัยเทวาอยู่ในมือ สามารถต่อสู้ได้แม้กระทั่งยอดฝีมือในระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้หวังผ้อมาเองพร้อมกับถือดาบสองท่อนของโจวตู๋ฟู ก็ยังมีความหวังจะชนะได้เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
แต่ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีโอกาสที่หวังผ้อจะปรากฏกายขึ้นในคืนนี้ แม้เขาจะไม่ชอบการปกครองอย่างโหดเหี้ยมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แต่เขามีความแค้นกับราชสกุลเฉินที่ไม่อาจแก้ไขได้ต่อให้ผ่านไปเป็นพันปีก็ตาม
ไม่มีใครเอาชนะเซวียสิ่งชวนที่ถือทวนหิมาลัยเทวาในมือได้ และไม่มีใครสามารถทำลายผังลายจักรพรรดิได้ ดังนั้นสถานการณ์ในจิงตูนับตั้งแต่เริ่มต้นจนจบล้วนอยู่ในการควบคุมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
จากหลายแง่มุม สถานการณ์นี้ไม่อาจแก้ไขได้
เซวียสิ่งชวนลงจากหลังกิเลนเมฆแดงแล้วตบหลังบอกให้จากไป
ประกายไฟส่องสว่างในความมืดครั้นกิเลนเมฆแดงไปจากสนามรบ เข้าสู่ส่วนลึกของวัง รอให้เรียกออกมาใหม่
เซวียสิ่งชวนยืนอยู่ที่บันไดขั้นแรกของหอหลิงเยียน มองไปที่เซียวจางกับเสี่ยวเต๋อ สองยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาอย่างใจเย็น แล้วยกทวนหิมาลัยเทวาขึ้นช้าๆ
ทหารหลายพันคนในวังยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมที่จะสร้างห่าฝนลูกศรอันโหดเหี้ยม
ทันใดนั้นหน้าผากเซวียสิ่งชวนก็ยู่ย่น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
“โทษที” เสียงเซียวจางดังผ่านกระดาษที่เปื้อนเลือดบนใบหน้า ฟังแล้วเย็นชาและน่ากลัวทีเดียว “ข้าไม่ใช่คู่มือท่าน แต่คืนนี้ไม่ใช่การประลองยุทธ์!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเซวียสิ่งชวนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ดวงตาก็เย็นเยียบราวภูเขาน้ำแข็ง
เสี่ยวเต๋อคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นและตบพื้นอย่างฉับพลัน หินบนพื้นแหลกในทันทีก่อนลอยขึ้นสู่อากาศ
ในเวลาเดียวกันเขาก็ใช้ของวิเศษชิ้นสุดท้าย ปราณปั่นป่วนพุ่งไปตามก้อนหินที่บินไปทุกทิศทาง ฝุ่นผงลอยขึ้นและบดบังทัศนวิสัยในทันที
เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นจากฝุ่นผง
เป็นเสียงของเซียวจาง
ความมืดและฝุ่นรวมตัวกันปกคลุมวังหลวง ครั้นแล้วเสียงฝีเท้าราวกับกลองศึกก็ดังขึ้น
เซียวจางเริ่มพุ่งออกไป แหวกผ่านฝุ่นและเศษหินในความมืดมิด ในชั่วพริบตาเขาก็มาถึงหน้าหอหลิงเยียน
เสียงระเบิดกึกก้องดังออกมาจากปลายทวนตอนที่แทงเข้าใส่เซวียสิ่งชวน
เซวียสิ่งชวนพ่นลม และปราณแท้ก็พลุ่งพล่าน เขาสะบัดข้อมือส่งทวนหิมาลัยเทวาพุ่งออกมาปะทะ
มีเสียงดังราวกับเสียงตีระฆังพันปี
ทวนหิมาลัยเทวาส่องแสงท่ามกลางฝุ่นและความมืด ดวงตะวันอ่อนจางสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วง แผ่รัศมีแห่งความเยือกเย็นและโศกเศร้าออกมา
ในเวลาเดียวกัน ทวนก็เหมือนจะบรรจุไว้ด้วยรัศมีพลังอันยิ่งใหญ่และความแข็งแกร่งที่ยากจะจินตนาการ
แม้แต่เซียวจางก็ไม่อาจหลบทวนนี้และล้มลงกับพื้นในทันที
เสียงกรีดร้องบาดหูดังขึ้นจากบันไดยาวของหอหลิงเยียน
มือสองข้างของเซียวจางวางอยู่บนปลายทวนทั้งสอง ยกขึ้นในแนวขวางสู่ท้องฟ้า ส่วนกลางของทวนงอลง!
แขนทั้งสองข้างงอลง!
เข่าก็งอลงเช่นกัน!
เขาคุกเข่าลงกับพื้น!
หินปูพื้นแหลก!
หัวเข่าแหลก!
กระดูกเอวแหลก!
เลือดพุ่งออกมาจากทุกส่วนในร่างกายของเซียวจาง ทะลักออกทางปาก ก่อให้เกิดก้อนเลือดขึ้นมาท่ามกลางความมืดอยู่ครู่หนึ่ง
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คือ ขณะที่เซียวจางทานรับพลังของทวนหิมาลัยเทวา เขายังไม่ได้ล้มอย่างสิ้นเชิง
เหตุใดเขาจึงยังทนอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซวียสิ่งชวน แล้วเหตุใดเขาจึงยังพุ่งออกไป
ตอนนั้นเองที่สีหน้าเสวี่ยสิ่งชวนเปลี่ยนไปอีกครั้ง
นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปหนักกว่าสองครั้งก่อนหน้านี้ คิ้วทั้งสองเลิกขึ้นราวกับว่าเขากำลังโกรธ สีหน้าก็ดูน่าเกลียดอย่างมากราวกับสับสนงงงวย ดวงตาดูผิดหวังไม่อยากเชื่อ จากนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากปากเขาเป็นสาย!
เลือดนี้เป็นสีเขียว
เช่นเดียวกับดวงตาเขาที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน
คิ้วกับเส้นผมที่สั่นไหวตามสายลมก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเช่นกัน
เซวียสิ่งชวนถูกพิษ พิษอันร้ายแรง
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีมีดเล็กๆ จำนวนนับหมื่นกรีดแทงเส้นลมปราณของเขา
ปราณแท้ไหลออกจากร่างด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ
เป็นพิษแบบใดกัน สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เช่นนี้
ในเวลาสั้นๆ เขาสรุปได้ว่าพิษในร่างกายนั้นต้องเป็นพิษในตำนานอย่างแน่นอน หางนกยูงที่ไร้สี ไร้รส ไร้รูป ไร้มวล
แต่นี่ไม่ใช่พิษขององค์หญิงเผ่ามารหรอกหรือ หรือว่าพวกคนที่ต่อต้านจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะสมรู้ร่วมคิดกับเผ่ามาร
ว่าแต่เขาได้รับพิษตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อเจ้าสำนักซางคือนักพรตจี้ หมอเทวดาผู้นี้ย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษด้วย ในแง่นี้เขาได้กระทำอย่างระมัดระวังอย่างมาก
ช่วงครึ่งปีนี้ไม่ว่าจะเป็นการกินหรือบำเพ็ญเพียร แม้แต่ตอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็ไม่ปล่อยให้มีใครเข้ามายุ่ง กระทำด้วยความระมัดระวังอย่างมากเสมอมา
ทันใดนั้น เขาก็จำบางอย่างได้ และเข้าใจว่าเขาได้รับพิษมาได้อย่างไร เขาหันไปยังโถงตำหนักในความมืด สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นเจ็บปวด เศร้า และอ้างว้าง
ที่แท้ยาจากหมอหลวงนั่นก็เป็นพิษร้ายแรง
ใจคนเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุด
……
……
ในโถงตำหนักอันเงียบและมืดมิด โจวทงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ นอนอยู่บนเตียงราวกับศพ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเพดาน
ดวงตาเขาเสมือนกับตาปลาตาย ไม่มีความแวววาวแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน เช่นเดียวกับกลิ่นเหม็นที่ลอยขึ้นจากปากตอนที่เขาพึมพำกับตัวเอง
“พิษร้ายสุดคือใจมนุษย์ ใจมนุษย์ก็คือธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือเอาชีวิตรอด มีอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”
โจวทงจ้องมองเพดาน ใบหน้าซีดเทา ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพำของเขา “พวกเราไม่มีใครสู้เขาได้ แม้แต่จักรพรรดินีก็ไม่ได้ บ้านเราเหลือแค่สองคน เราไม่อาจตายกันหมด ฉะนั้น…ท่านพี่…จะดีกว่าหากท่านเป็นคนตาย”
……
……
เลือดอาบย้อมชุดเกราะของเซวียสิ่งชวนเป็นสีเขียว ส่องประกายแวววาวจางๆ
วังหลวงที่มืดมิดพลันเงียบงันอย่างผิดปกติ สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่บันไดยาวของหอหลิงเยียน
เซียวจางรู้ว่าภารกิจหลักได้สำเร็จลงแล้ว เขาไม่อาจทนต่อไปและดึงมือที่หักกลับมา ขาขวาเป็นเพียงส่วนเดียวที่ไม่บาดเจ็บ เขาเดินหนีจากเซวียสิ่งชวนไปตามพื้นที่แตกร้าว
เซวียสิ่งชวนกระอักกระไออย่างต่อเนื่อง ไอแต่ละทีก็มีเลือดสีเขียวหยกพุ่งออกมา
สายลมพัดผ่านความมืด ละไล้ไปตามคิ้วและเส้นผม
เขาไม่มีแรงจะถือทวนหิมาลัยเทวาอีกต่อไป ได้แต่วางลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ทวนหิมาลัยเทวาตกลงบนพื้นดังตุบ พื้นสะเทือนเล็กน้อย
เซวียสิ่งชวนไม่ได้ล้มลง เขากำมือแน่นและก้มหน้าลงช้าๆ จากนั้นก็หลับตาลง
……
……
อากาศเหนือวังหลวงเต็มไปด้วยเสียงร้องจำนวนนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยความเศร้าและตกใจ
ทันใดนั้นก็มีเพลิงสองกลุ่มพุ่งออกมาจากป้อมทางตะวันตกเฉียงใต้สองป้อม ในขณะที่หออินทรีทางตะวันออกพลันถล่มลง ลูกศรหน้าไม้จำนวนมากพลันพุ่งออกมาจากความมืด ปักเข้าใส่ร่างเหล่าเพื่อนทหาร เสียงร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั่วบริเวณกลายเป็นสับสนอลหม่าน กองทัพอวี่หลินเกิดความปั่นป่วน ไม่สนใจเซียวจางกับเสี่ยวเต๋อที่บาดเจ็บสาหัสอีกต่อไป
เมื่อฝุ่นสงบลง เซียวจางกับเสี่ยวเต๋อก็หายไปแล้ว แต่ความปั่นป่วนยังคงอยู่ เสียงร้องตะโกนและต่อสู้ดังขึ้นในความมืด
ร่างผอมสูงปรากฏขึ้นทางตะวันตกของวังหลวง นอกประตูชูหยิน
แสงของประตูส่องต้องใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา เขาคือประมุขรองตระกูลถัง
นายกองของกองทัพอวี่หลินเดินออกมาจากประตูแล้วกระซิบกับเขา “ท่านน้า”