ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 145 ทั้งโลกกบฏต่อต้านเทียนไห่
ประมุขรองตระกูลถังเดินเข้าสู่วังหลวง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังวังหลวง แต่กระนั้นก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลพิฆาตสวรรค์หรือค่ายกลอื่นใด ล้วนไม่อาจทำให้เขาช้าลงได้แม้แต่น้อย
ในไม่ช้าชุดสีน้ำเงินของเขาก็หายไปในความมืด เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาถึงหน้าหอหลิงเยียนแล้ว
บันไดหินตรงหน้าทอดยาวไปสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งสามารถก้าวย่างสู่สวรรค์ได้
หลายคนเห็นว่าหอหลิงเยียนและบันไดยาวนี้เป็นสิ่งก่อสร้างอันงดงามโอฬารที่สุดในวังหลวง
แต่ประมุขรองตระกูลถังเห็นว่าบันไดหินและหอคอยสูงคือสิ่งก่อสร้างที่น่าขยะแขยงที่สุดในวังหลวง
ในสายตาเขา หอหลิงเยียนและบันไดยาวนี้ไม่เหมาะกับวังหลวง มันใหม่เกินไป สะดุดตาเกินไป
“เป็นรสนิยมแบบพวกเศรษฐีใหม่อย่างแท้จริง”
เขาเย้ยหยันเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นบันได
มาถึงหอหลิงเยียน เขาก็ไม่ได้แสดงอาการระมัดระวังอันใด ผลักประตูเข้าไป ดูช่างใจเย็นและสบายใจ
เหลียงหวังชุนนั่งอยู่ใจกลางหอหลิงเยียน มองไปยังหน้าต่างที่ปิดสนิทอย่างเงียบงัน ดังหนึ่งกำลังคิดเรื่องบางอย่าง
เลือดเขายังคงไหลออกมา เปลี่ยนเป็นแสงของบุปผาเพลิงพิสุทธิ์กระจายไปตามถนนในจิงตู
“จักรพรรดิไท่จงปรับผังลายจักรพรรดิไม่สำเร็จเสร็จสิ้น ยังมีปัญหาบางประการที่เขาไม่อาจแก้ไข หากเจ้าฝืนทำต่อไป เลือดของเจ้าจะหมดไปอย่างรวดเร็ว”
ประมุขรองตระกูลถังเดินเข้าหอหลิงเยียน ตามองไปรอบๆ ดูภาพวาดบนผนัง โบกพัดจีบในมือพลางส่ายหน้า
เหลียงหวังซุนเงยหน้าขึ้นถาม “เจ้าเป็นใคร”
ประมุขรองตระกูลถังตอบอย่างใจเย็น “ข้าแซ่ถัง มีอาวุโสอันดับสอง”
สีหน้าเหลียงหวังซุนจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ท่านก็คือประมุขรองตระกูลถัง”
ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะไร้เสียง ดูค่อนข้างมีความสุขที่คนมีชื่อเสียงอย่างเหลียงหวังซุนก็ยังรู้จักเขา
เมื่อรอยยิ้มจางลงเขาก็กล่าวอย่างเรียบเฉย “เมื่อท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร ท่านก็ควรรู้ดีว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
เหลียงหวังซุนมองกลับไปอย่างสุขุมและตอบ “คนอื่นไม่รู้ว่าประมุขรองตระกูลถังน่ากลัวเพียงใด แต่ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ วิญญาณข้าเป็นหนึ่งเดียวกับผังลายจักรพรรดิ แล้วท่านจะเขยื้อนข้าได้อย่างไร”
สายตาประมุขรองตระกูลถังจับจ้องที่ร่างเขา
ลำแสงปราณสีทองกะพริบอยู่รอบกายเหลียงหวังซุน
เขานั่งอยู่ในหอหลิงเยียน แต่เขาได้เป็นหนึ่งเดียวกับผังลายจักรพรรดิของจิงตูไปแล้ว
การโจมตีเขาก็คือการโจมตีผังลายจักรพรรดิ และต้องรับผลสะท้อนกลับอย่างเต็มกำลัง
แต่หากไม่โจมตีใส่เหลียงหวังซุนแล้วจะแยกเขาออกจากผังลายจักรพรรดิได้อย่างไร
ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียงอีกครั้ง สีหน้าควรจะน่าขัน ทว่าภายในแสงเจิดจ้าราวกลางวันในหอหลิงเยียนแห่งนี้ ใบหน้านั้นกลับดูน่ากลัวผิดธรรมดา
เขาเดินไปยังเสาตะวันออกของเสาทั้งสี่ในหอหลิงเยียนโดยไม่มองเหลียงหวังซุน นำของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและใส่เข้าไปในเสา
สีหน้าเหลียงหวังซุนเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเช่นนั้น เขาต้องการจะทำบางอย่างทว่าไม่อาจลุกขึ้นได้
ปราณเก่าแก่โบราณซึมออกมาจากฝ่ามือประมุขรองตระกูลถัง ปราณไหลผ่านวัตถุนั้นเข้าสู่เสาและไหลลึกเข้าไป ผ่านบันไดหินที่ดูเหมือนจะไร้สิ้นสุด เข้าไปในถ้ำใต้วังหลวง ผ่านช่องลับและลำคลองกระจายไปทั่วจิงตู
สายลมที่พัดอยู่ภายในหอหลิงเยียนส่งเสียงดังครืนๆ จากนั้นแสงก็ค่อยๆ หม่นมัวลง!
ของวิเศษเผ่ามาร บุปผาเพลิงพิสุทธิ์ถูกดับลง!
เลือดเหลียงหวังซุนที่ไหลออกจากมือเข้าสู่บุปผาเพลิงพิสุทธิ์ ไม่ถูกดูดซับอีกต่อไป หากแต่ไหลซึมลงสู่พื้น
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากปากเขา!
วิญญาณเขาถูกตัดขาดออกจากผังลายจักรพรรดิเช่นนี้เอง แม้เขาจะไม่ถึงกับทนรับแรงสะท้อนกลับจากค่ายกลทั้งหมด แต่การถูกตัดขาดก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส!
ครั้นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดหยุดลง เลือดก็ไหลออกมาจากมุมปาก
สีหน้าเหลียงหวังซุนขาวซีดผิดปกติ มือที่ถือบุปผาเพลิงพิสุทธิ์สั่นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
เขามองไปที่ประมุขรองตระกูลถังและถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้หัวใจของค่ายกลและวิธีแก้ได้อย่างไร!”
ประมุขรองตระกูลถังดึงมือกลับมาช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมืออย่างบรรจง
มีของวิเศษที่สร้างขึ้นจากสัมฤทธิ์อยู่บนเสา ส่วนใหญ่จมเข้าไปในเสา เหลือเพียงส่วนปลายที่โผล่ออกมาให้เห็น มองดูคล้ายกับดวงตา
เป็นดวงตาที่เก่าแก่อย่างยิ่ง
“เหมือนที่ข้าเคยบอกเด็กน้อยก่อนหน้านี้ คนต้องรู้จักมีความเคารพ และเข้าใจสิ่งที่ตระกูลถังให้ความเคารพมากที่สุดในประวัติศาสตร์” เขามองเหลียงหวังซุนและกล่าวต่อ “ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉินหรือตระกูลเหลียงของเจ้า ต่างก็เชื่อว่าค่ายกลใหญ่ของจิงตูเป็นของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าล้วนลืมไปแล้วว่าค่ายกลใหญ่นี้…เป็นตระกูลถังสร้างขึ้น”
……
……
ป่าฤดูใบไม้ร่วงในสวนจิงเหอ รูปปั้นมหาบุรุษที่สร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟจมกลับเข้าไปในพื้นดิน หญ้าเหลืองงอกกลับขึ้นมาบนพื้นดินโคลนอย่างรวดเร็ว
ที่ใจกลางถนนใต้หงจู รอยร้าวบนพื้นค่อยๆ ปิดลง ปราณร้อนที่ลอยขึ้นจากใต้ดินก็ค่อยๆ ขาดหายไป ลมค่อยๆ พัดแรงขึ้นราวกับกำลังร้องโหยหวนอย่างแข็งขืน
ที่ไป๋จือฟางเป่ยหลี่ อาคารที่พังทลายลงไม่อาจฟื้นคืน แต่น้ำใสในคลองไหลย้อนกลับเข้าไปในบ่อ
ที่เนินดินเจี้ยงกงเป่ยหลี่ ต้นสนเติบโตกลับคืนมาบนพื้นดินโคลน ซากศพและโครงกระดูกถูกฝังอีกครั้งหนึ่ง สายฟ้าฟาดลงมาและแสงสีทองที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ ไม่สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นเคย ทั้งหมดคืนสู่ความเงียบงัน จากต้นจนจบ หลุมศพใหญ่แห่งนี้ไม่มีใครได้พบเห็น!
แสงแผ่ออกมาจากหอหลิงเยียนหายไปในทันทีและกลับคืนสู่ความมืด เฉกเช่นที่เคยเป็นมานานนับพันปี
……
……
พลังค่ายกลที่น่ากลัวซึ่งปกคลุมจิงตูค่อยๆ สลายหายไป
ความวุ่นวายในความมืดที่ถูกสะกดเอาไว้เป็นเวลานานค่อยๆ เผยตัวออกมา
หลัวหยางอ๋องยังคงซ่อนอยู่ในคฤหาสน์นอกวังหลวงด้วยความกังวล เหล่าอ๋องสกุลเฉินคนอื่นได้มุ่งหน้าไปยังบ้านของตนหรือบ้านของเพื่อนเก่า ไม่ก็บ้านของลูกศิษย์ลูกหา
กรมกองมากมายของราชสำนักต้าโจวล้วนเงียบงันผิดปกติ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรตามมา
สำนักไม้เลื้อยก็อยู่ในความเงียบงันเช่นกัน ทหารม้าของทั้งราชสำนักและนิกายหลวงต่างก็ถอนตัว แล้วมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่สถานการณ์ตึงเครียดกว่า
ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสำนักเทียนเต้าจวงจือห้วนตอนนี้อยู่ที่บ้านของเจ้ากรมพิธีการ
เจ้ากรมพิธีการที่แสดงท่าทีแท้จริงระหว่างการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอมีชื่อเสียงอย่างมากในราชสำนัก ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีชีวิตอย่างยากลำบากช่วงปีที่ผ่านมา แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นเจ้ากรมคนอื่นที่ถูกขับไล่จากราชสำนักและมอบความตายให้
บางทีเพราะเหตุนี้ ท่าทีของเขาจึงไม่รุนแรงเช่นที่คนอื่นคาดเดาไว้
“หากคนไม่จำเป็นต้องตาย ก็ดีที่สุดแล้วที่จะไม่ตาย หากมีคนตายน้อยลงได้สักหน่อย ก็ให้มีคนตายน้อยลงสักนิดเถอะ”
เจ้ากรมพิธีการนำกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและวางไว้ตรงหน้าจวงจือห้วน “ข้าได้ยืนเฝ้าราชสำนักมานานกว่าสองร้อยปี เฝ้าไว้จนกว่าเมฆหมอกจะจางไปในที่สุด ที่ข้ารอนั้น มิใช่รอให้ราชวงศ์กลับมามีอำนาจ หรือรอให้เลือดไหลนอง ข้านับถือจักรพรรดินีอย่างล้ำลึก และข้าก็สงสารเหล่าขุนนางพวกนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างโจวทงหรือเฉิงจวิ้น ไม่ใช่ทุกคนจะเลวร้าย”
หลังจากจวงห้วนอวี่ฆ่าตัวตาย เจ้าสำนักจวงที่เสียบุตรชายคนเดียวไปก็เงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม คืนนี้ก็ไม่ต่างไป
เขาคว้ากระดาษปึกนั้นมา แล้วมองดูรายชื่อที่เขียนเอาไว้ จากนั้นก็ออกจากบ้านไป เขาไม่ได้รับปากเจ้ากรมพิธีการ
เจ้ากรมพิธีการมองดูแผ่นหลังเขาพลางถอนหายใจ เขารู้ว่าหลังจากคืนนี้ ไม่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะเป็นฝ่ายชนะหรืออีกฝ่ายที่ได้ชัย เหตุการณ์น่าอนาถอย่างยิ่งย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
……
……
สถานการณ์ในจิงตูคืนนี้ตึงเครียดผิดปกติ แต่ก็ประหลาดอย่างมากเช่นกัน
มีหลายฝ่ายที่สามารถสร้างผลกระทบต่อสถานการณ์ในคืนนี้ได้ บางฝ่ายก็ยังไม่ส่งเสียงให้ได้ยิน
ความเงียบของพระราชวังหลีแสดงว่าสังฆราชยังลังเล ดังเช่นใบไม้ครามที่ยังคงสั่นไหว
แต่ตระกูลเทียนไห่ก็ปกครองจิงตูมาหลายปี มีความแข็งแกร่งซ่อนไว้ทั้งในราชสำนักและกองทัพ… เหตุใดพวกเขาจึงยังนิ่งเงียบ
ในความมืดรอบตระกูลเทียนไห่ มีทหารม้าซ่อนอยู่อย่างน้อยหมื่นนาย ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเข้ามาเป็นระยะๆ
ทหารม้าและผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้คือกำลังในควบคุมของตระกูลเทียนไห่ ปัญหาอยู่ที่กำลังเหล่านี้ควรไปปรากฏตัวที่วังหลวง ปรากฏตัวในจวนของเหล่าขุนนาง ปรากฏตัวในราชสำนัก ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ แม้เวลาจะผ่านไปนาน ก็ไม่มีท่าทีว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหว
ความเงียบที่เห็นได้ชัดนี้แท้จริงเป็นเพียงเปลือกนอก ภายในจวนตระกูลเทียนไห่มีหลายสิ่งได้เกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้โหดเหี้ยมยิ่ง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันล้วนเป็นญาติพี่น้อง พ่อลูกร่วมสายเลือด…
เลือดบนพื้นดูแวววาวใต้แสงโคมไฟ
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยหรี่ตา ในท้องมวนด้วยความรู้สึกขยะแขยงและมึนงง
ในเวลานี้มีข้อความส่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า คนรุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งของตระกูลเทียนไห่ยืนกรานที่จะไม่ทำตามคำสั่ง ทหารที่ถูกส่งออกไปถูกผู้นำตระกูลสะกดไว้อย่างโหดเหี้ยม
ญาติหลายคนถูกสะกดเอาไว้แล้ว บางคนถึงกับถูกสังหาร
น้องของเขาคนหนึ่งก็เพิ่งถูกบิดาตัดแขนทิ้งไปข้างหนึ่งต่อหน้าต่อตาเขา
“ทำไม”
เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าบิดา น้ำเสียงสั่นเทา “ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้”
“ทำไมอะไร”
ห้องโถงกว้างใหญ่ เก้าอี้ตัวหนึ่งดูค่อนข้างโดดเดี่ยว เทียนไห่เฉิงอู่นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ดูโดดเดี่ยวอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใบหน้าเขาจะเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เขามองบุตรชายและถามอย่างเฉยชา “เจ้าอยากรู้อะไรกันแน่”
“ข้าอยากรู้เรื่องมากมาย!”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านวางแผนจะทำอะไรกันแน่!”
หลังจากประสบความปั่นป่วนในช่วงต้นของคืนนี้ ห้องโถงนี้ก็ไร้คนอื่น เหลือเพียงพ่อลูกสองคน อ้างว้างจนดูน่าหวาดหวั่น
……