ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 148 สายตามองไกลไปยังอีกฟากหนึ่ง
ลำธารข้างวัดเก่าเมืองซีหนิงอันห่างไกลยังคงเงียบงัน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่นักบวชฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแล้วกล่าว “เจ้าควรรู้ดีว่าใครคือคนที่เราเป็นกังวลเสมอมา”
สร้อยประคำในมือนักบวชหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาเขายังปิดอยู่ในยามที่ตอบกลับอย่างเรียบเฉย “พวกเขาไม่เคยไปยังอีกฟากหนึ่ง ย่อมไม่อาจใคร่ครวญได้เช่นท่าน”
นางตอบ “เราเองก็ไม่เคยไป”
ตอนนี้นางก็ยังคงอยู่ที่ยอดเขาสุสานเทียนซู ทว่าสายตานางอยู่ที่นี่ ห่างไปนับหมื่นลี้
ไม่ว่าจะไกลเพียงใด ตราบใดที่ยังมีการเชื่อมโยงระหว่างโลกนี้กับปราณของนาง ดวงจิตนางก็สามารถเดินทางไปได้
นางจึงยืนอยู่ริมลำธารนี้เช่นกัน
นักบวชครุ่นคิดถึงคำตอบของนางและตอบ “ก็มีเหตุผล”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถาม “นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เจ้าอยากเห็นมากที่สุดหรอกหรือ”
นักบวชตอบ “ข้าไม่เคยจินตนาการถึงสิ่งใดยามที่วางแผนนี้ขึ้น”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาอย่างใจเย็นและถาม “เจ้าเป็นลูกหรือหลานของรัชทายาทเจียนเฉิง”
สีหน้านักบวชเผยให้เห็นการหวนรำลึก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบอย่างแผ่วเบา “รัชทายาทเจียงเฉิงคือพ่อข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เลิกคิ้วถาม “เราไม่เข้าใจ เหตุใดพวกราชวงศ์ที่ถูกเนรเทศอย่างเจ้าถึงได้ร่วมมือกับเขา สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นสุนัขของจักรพรรดิไท่จง”
นักบวชกล่าวช้าๆ “สุดท้ายแล้ว ต่อให้ความแค้นยิ่งใหญ่เพียงไรก็ไม่อาจเอาชนะกาลเวลาหรือความปรารถนาจะกลับคืนถิ่นฐาน พวกเราหวังจะได้กลับมา”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถาม “แต่เจ้าไม่คิดหรือว่าจะถูกใช้ให้เป็นกองหน้าของผู้อื่น”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นักบวชก็ส่ายหน้าตอบ “เราลูกหลานราชวงศ์ไม่ใช่ผู้อื่น นี่คือบ้านเกิดเรา ไม่มีใครมีสิทธิ์ห้ามเราไม่ให้กลับมา”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้อื่นในดินแดนนั้นไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น”
นักบวชเงียบไปไม่เอ่ยปาก
น้ำใสในลำธารถูกแช่แข็งด้วยดวงจิตอันแข็งแกร่งทั้งสองดวงไปนานแล้ว
ดอกบัวที่ก่อตัวขึ้นจากโลหิตลอยไปทางตะวันตกแล้วก็ตะวันออกของลำธาร ต้นไม้ริมลำธารส่ายไหวตามสายลม
……
……
ฝนฤดูใบไม้ร่วงนำมาซึ่งความเย็นเยียบ หญ้าที่เมื่อวานยังเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วในตอนนี้
นักพรตจี้ยืนอยู่ในทุ่งหญ้าสูงไม่ถึงเข่า สัมผัสได้ถึงระยะห่างระหว่างเขากับหยกสมประสงค์ เขาหันไปทางสุสานเทียนซูอีกครั้งและกล่าว “แค่สละบัลลังก์ ไปจากโลกนี้เหมือนเช่นซูหลี”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ละสายตาจากลำธารในเมืองซีหนิงที่ไกลออกไปและตอบ “บรรดาลูกข้าล้วนหมายจะเป็นจักรพรรดิ เฉินกวนซงอยากทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ อิ๋นก็ถูกคำว่า ‘ผลประโยชน์มนุษยชาติ’ เหนี่ยวรั้ง จักรพรรดิขาวต้องการรบกับเผ่ามาร แต่เจ้าล่ะ จากต้นจนจบ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าต้องการสิ่งใดถึงได้ทำเรื่องมากมายเช่นนี้”
นักพรตจี้ตอบอย่างเฉยชา “นี่คือความปรารถนาก่อนตายของจักรพรรดิไท่จง และท่านก็เคยให้สัญญากับข้าและศิษย์น้องว่าท่านจะคืนบัลลังก์ให้สกุลเฉิน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว และเขาก็ทนทุกข์จากความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์ วงตะวันของเขาถูกทำลายตั้งแต่อยู่ในครรภ์”
เมื่อกล่าวเช่นนี้นางมองไปทางเฉินฉางเซิง จากนั้นก็มองไปอีกที่หนึ่งในสุสานเทียนซู
“ไม่ว่าใครเป็นลูกข้า เป็นคนบริสุทธิ์มีเมตตา คนหัวอ่อน โง่เขลา หรือพิการ หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ แล้วใครกันจะปกครองโลกนี้”
ดวงเนตรจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปทางทุ่งหญ้าฤดูใบไม้ร่วงและเย้ย “ถึงตอนนั้นใครกันแน่ที่เป็นจักรพรรดิตัวจริง เจ้าคนใช้ไม่ได้นั่น หรือว่าเป็นเจ้าเอง”
นักพรตจี้เงียบไป ไม่ตอบคำถามนี้
ลมพัดมา หญ้าเหลืองส่ายไหว ดูเฉกต้นข้าวทว่าไม่มีกลิ่นหอม มีแต่กลิ่นเหม็นเขียวหลังจากแช่น้ำฝนจนเน่า
“ทั้งที่กล่าวเรื่องไม่น่าสนใจมากมาย เห็นคนและเรื่องราวไม่น่าสนใจมาหลากหลาย สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็ยังต้องฆ่าเรา”
เมื่อกล่าวจบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็เคลื่อนไหวในที่สุด
นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือที่ประสานกันอยู่ด้านหลังเสมอพลันคลายออกจากกันช้าๆ
ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียวตกลงมาจากท้องฟ้าราตรี แต่เมื่อนางแบมือออก หยดน้ำฝนที่ลอยมาตามสายลมจากที่ใดไม่ทราบก็ตกลงสู่ฝ่ามือนาง
นางก้มหน้ามองดูหยดน้ำใสกระจ่างราวผลึกแก้วบนฝ่ามือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองโลกที่ทำให้นางหงุดหงิดอย่างที่สุดอีกครั้ง
“แล้วใครกล้าเข้ามาฆ่าเรา”
……
……
สถานการณ์ในคืนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน
เมื่อผังลายจักรพรรดิเงียบไป เสียงฆ่าฟันก็ดังขึ้นทุกส่วนของจิงตู ตามมาด้วยประกายไฟและเปลวเพลิง บนทุ่งหญ้าอันห่างไกล กองทัพบางกองก็ยืนนิ่งเป็นทหารดินปั้นเฝ้าสุสาน ในขณะที่บางกองก็อยู่ท่ามกลางความปั่นป่วน โลกนี้ได้หลุดพ้นการควบคุมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เหล่าขุนนางที่ภักดีต่อนางมากที่สุดและตระกูลของนางเองก็เลือกที่จะละทิ้งนาง
สถานการณ์ของนางในตอนนี้นั้นเลวร้ายอย่างที่สุด
แต่นางก็ไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย มองดูเหล่ายอดฝีมือรอบสุสานเทียนซู ศัตรูทั้งหลายในโลก นางร้องถามออกไป
ใครกล้าฆ่าเรา
สี่คำนี้เผด็จการอย่างที่สุด หยิ่งผยองอย่างที่สุด ดังกึกก้องไปทั่วสุสานเทียนซูอันเงียบงันรวมถึงถนนทั้งหลายในจิงตู สะท้อนไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่นับจากต้นจนจบก็หามีใครกล้าตอบไม่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในที่สุด
เป็นเสียงหินปูพื้นถูกพลิกขึ้น ฟังดูเหมือนกับเสียงกัดฟัน และยังเหมือนกับเสียงกระดูกถูกกดทับด้วยน้ำหนักมหาศาล
กรอด กรอด กรอด
จูลั่วลุกขึ้นยืนจากรถเข็น สายตามองขึ้นไปตามถนนเสินสีขาวจนถึงจุดสูงสุดของสุสานเทียนซู
“ให้ข้าลอง”
เมื่อเขากล่าวสามคำนี้ ไม่มีความรู้สึกใด มีแต่ความเรียบเฉยราวกับสายน้ำ
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ดีว่าตนเองจะจบลงเช่นไร หรือบางทีอาจเพราะหลังจากเขาเปิดจดหมายของซูหลีในสวนหมื่นหลิว เขาก็รอให้จุดจบมาถึงอยู่เสมอ
จูลั่วหนึ่งในแปดมรสุม ประมุขพรรคไร้รัก คนสำคัญของเมืองเทียนเหลียง ดังที่ซูหลีเคยกล่าวไว้ที่เมืองสวินหยาง เขาตายได้แต่แพ้ไม่ได้
ตอนนี้เขาพ่ายแพ้แล้วทั้งยังพิการ เช่นนี้แล้วยังต้องกลัวตายอีกหรือ
เขามาจิงตูคืนนี้ก็เพื่อที่จะตาย เขาอยากตายโดยเป็นประโยชน์ต่อตระกูลและพรรคให้มากที่สุด
“เจ้าต้องการอะไร”
เสียงนักพรตจี้ดังขึ้นจากที่ห่างไกล เขาไม่ได้อยู่ที่ทุ่งหญ้าตอนเหนือของจิงตูอีกต่อไป แต่เหมือนจะอยู่ไกลกว่านั้น
จูลั่วใช้มือซ้ายจับกระบี่ที่เอวและตอบอย่างเฉยชา “ข้าต้องการให้ตระกูลหวังไม่อาจลุกขึ้นได้อีก”
เขาไม่ได้บอกว่าตระกูลหวังไหน แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาพูดถึงตระกูลหวังไหน
ตระกูลหวังของเมืองเทียนเหลียงที่ตกต่ำมานานแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่คนเดียว
ความต้องการของจูลั่วที่ไม่อยากให้ตระกูลหวังลุกขึ้นได้อีกก็ย่อมมีเป้าหมายไปที่คนผู้นั้น ที่ดาบเล่มนั้น
นักพรตจี้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมาในที่สุด
เห็นได้ชัดว่าความต้องการที่จูลั่วขอก่อนตายนั้นสร้างปัญหาให้แม้แต่คนอย่างนักพรตจี้
“ก็ได้ ข้าให้สัญญา”
ตอนนี้เองที่ใบหน้าจูลั่วเผยอารมณ์ออกมาในที่สุดและร่างของเขาก็ยืดตรงขึ้นกว่าเดิม
เขาเดินตรงไป ยามที่เขาก้าวช้าๆ ไปตามสายน้ำตื้นบนที่ราบหิน ก็เกิดเสียงเป็นจังหวะชัดเจน
เขามาถึงจุดเริ่มต้นของถนนเสินและชักกระบี่ออกช้าๆ
ปราณทรงพลังพุ่งขึ้นจากกระบี่ที่ชักออกมา แพร่กระจายออกไปอย่างท่วมท้น