ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 149 แสงจันทร์ขาว
ในเมืองสวินหยางและสวนหมื่นหลิว จูลั่วถูกโจมตีสองครั้งติดต่อกัน จนไม่อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป ทว่าเมื่อชักกระบี่ออกมา เขาก็ยังเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อพายุลมฝน
คืนนี้ห่าฝนโหมกระหน่ำเป็นเวลานาน จนถึงตอนนี้น้ำฝนก็ยังไหลลงจากสุสานเทียนซู น้ำฝนรวมตัวกันที่ลำธารตื้น ทำให้น้ำในลำธารขุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นน้ำขุ่นในลำธารก็เปลี่ยนเป็นสีขาวราวหิมะ
ไม่ใช่เพราะขาวสะอาด แต่เป็นเพราะแสงสะท้อน
แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นที่ฐานสุสานเทียนซู
แสงนี้มาจากกระบี่ในมือจูลั่ว
ครั้นแล้วแสงสีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นกลางมวลเมฆและหมู่ดาว ทุกคนรู้ว่าเป็นภาพลวง แต่ก็มองดูเสมือนจริง
กระบี่ของจูลั่วฟันไปทางสุสานเทียนซู
แสงจันทร์ตามมา
แสงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าราตรีเช่นกัน
น้ำในลำธารส่องแสงเจิดจ้าหาใดเปรียบ ขาวจนบาดตา
ถนนเสินที่ปูด้วยหยกขาวก็ส่องแสงสีขาวราวหิมะ
เจตจำนงกระบี่สายหนึ่งกับแสงจันทร์อีกสองสาย เปิดการโจมตีตามกันมาราวกับกระแสน้ำ
นี่คือเพลงกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดที่จูลั่วคิดค้นขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน ในยามที่เขาเห็นดวงจันทร์ของเผ่ามารบนทุ่งหิมะแดนเหนือ
เขาอาศัยเพลงกระบี่นี้ตัดหัวขุนพลอันดับสองของเผ่ามารในตอนนั้น จนเขามีชื่อเสียงเลื่องลือ
คืนนี้คือคืนสุดท้ายของเขา และการโจมตีนี้ก็คงเป็นการโจมตีสุดท้ายของเขา ดังนั้นนี่ย่อมเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด
ทั่วสุสานเทียนซูอาบไปด้วยแสงจันทร์ การที่ยอดฝีมือแห่งเมืองเทียนเหลียงผู้นี้ สามารถทำให้เจตจำนงมาถึงระดับนี้ได้ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ ก็นับว่าน่าตระหนกอย่างแท้จริง
แต่กระนั้น…การโจมตีอันทรงพลังและเชี่ยวชาญนี้ก็ไม่อาจเข้าสู่ถนนเสินได้ นับประสาอะไรจะไปถึงยอดเขาสุสานเทียนซู
ในขณะที่แสงจันทร์สองสายลอยขึ้นตามเจตจำนงกระบี่ของเขา ลำแสงอีกสายหนึ่งก็พุ่งออกจากตีนเขาสุสานเทียนซู
ลำแสงนี้สว่างกว่า บริสุทธิ์กว่า เกรี้ยวกราดกว่าแสงจันทร์ของจูลั่ว
มันคือแสงกระบี่
แสงกระบี่นี้เป็นประดุจพายุหิมะที่ปกคลุมโลกบริเวณต้นถนนเสินในเวลาที่สั้นอย่างมาก
เจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดสองสายปะทะกัน
น้ำในลำธารเดือดพล่าน ส่งหยดน้ำกระจ่างใสขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรีที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในทันที
ที่ราบหินดำเกิดรอยกระบี่ที่ลึกหลายฉื่อจำนวนนับไม่ถ้วน
เสียงฟาดฟันอันน่าหวาดกลัวอย่างที่สุดดังก้องไปทั่ว
แสงจันทร์สองสายสามารถปัดเป่าพายุหิมะได้ หรือว่าพายุหิมะจะบดบังแสงจันทร์กันแน่
ทันใดนั้นเสียงปะทะกันของโลหะเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น!
ดวงจันทร์ในท้องฟ้าราตรีสลายกระจัดกระจายในสายลมหิมะ แสงจันทร์ตรงหน้าถนนเสินก็หายไปเช่นกัน!
ร่างจูลั่วก็อันตรธานไปอย่างฉับพลัน
ขณะต่อมา เขาก็กลับมาตรงหน้ารถเข็นของเขา
ใบหน้าขาวซีดอย่างที่สุด กระบี่ในมือหักลงแล้ว
ผมสีเทาพลิ้วไหวในสายลม มีบางเส้นหลุดออกมาเป็นครั้งคราว
เขาตัดสินใจที่จะตายในยามที่โจมตีเข้าสู่สุสานเทียนซู เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ดังนั้นเขาย่อมไม่เลือกที่จะหนี
เขาถูกบีบให้ถอยกลับเพราะเจตจำนงกระบี่ที่เหมือนพายุหิมะนั้น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยังไม่ได้ลงมือ แล้วเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งนั่นเป็นของใครกัน
ร่างจูลั่วเริ่มสั่นราวกับลมจะพัดให้เขาล้มลงกับพื้น
กวนซิงเค่อปรายตามองเขา
จูลั่วส่ายหน้าช้าๆ เสียบกระบี่กลับลงในฝักแล้วก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตรงไป
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เขาควรจะทำอย่างมั่นใจและง่ายดายกว่านี้แต่เขาก็ไม่ทำ ทุกอย่างที่ทำล้วนแช่มช้าและยากลำบาก เพราะเขารู้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เก็บกระบี่ใส่ฝัก
เจตจำนงกระบี่ที่เหมือนกับพายุหิมะค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นภาพที่ต้นถนนเสินและศาลาตรงนั้น
มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในศาลา
จูลั่วมองไปตรงนั้นแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะแข็งแกร่งเพียงนี้”
ปกเสื้อด้านหน้าขาดออกพร้อมเสียงเบาๆ เผยให้เห็นรอยแผลลึกอย่างชัดเจน มีเลือดค่อยๆ ซึมออกมา
“สองปีก่อนสวินเหมยพบความตายในตอนที่พยายามแสวงหาเต๋า ข้ารู้สึกประทับใจ ในคืนนั้นข้าจึงตัดสินใจทะลวงผ่าน นับแต่นั้นข้าก็แข็งแกร่งเพียงนี้”
เสียงเก่าแก่โบราณดังออกมาจากศาลา
เสียงนั้นดังมาจากชุดเกราะ ราวกับถูกย้อมด้วยกลิ่นอายของเวลาผ่านฝุ่นผงบนชุดเกราะ
ยามที่คำพูดเปล่งออกมา ฝุ่นก็ลอยขึ้น จากนั้นก็เป็นเสียงขูดของโลหะ
เมื่อศาลาถล่มลง ฝุ่นลอยคลุ้ง ท่ามกลางฝุ่นเหล่านี้ร่างใหญ่โตราวภูเขาเห็นได้อย่างเลือนราง
เขานั่งอยู่ในศาลานี้มานานหกร้อยปี คืนนี้เขาก็ยืนขึ้นในที่สุด
เขาคือผู้พิทักษ์สุสานเทียนซู
ขุนพลเทพอันดับหนึ่งในต้าลู่ ฮั่นชิง
.……
……
.……
……
ครั้นเห็นศาลาที่พลันทรุดลง เห็นร่างกลางฝุ่นควัน ทุกคนก็ตกใจ สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุด
ไม่มียอดฝีมือที่มายังสุสานเทียนซูคนใดจะลืมการมีอยู่ของบุคคลในตำนานผู้นี้ แต่พวกเขาได้คุ้นกับการมองเขาเป็นเหมือนกับรูปปั้นหรือสัญลักษณ์ไปแล้ว
ฮั่นชิงปกป้องสุสานเทียนซูมานานหกร้อยกว่าปี ขุนพลเทพอันดับหนึ่งในต้าลู่ที่ได้รับความเคารพจากทั่วโลก แม้แต่แปดมรสุมก็ไม่กล้าดูถูกเขา
ทุกคนรู้ว่าหากเขาไม่สาบานว่าจะปกป้องสุสาน เขาอาจก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์หลายปีแล้ว
แต่คืนนี้เองที่ผู้คนพบว่าเขาได้ทะลวงผ่านแล้ว!
เขายืนตรงหน้าถนนเสิน มือซ้ายกำฝักกระบี่มือขวาถือกระบี่ แม้เขาจะมีเพียงคนเดียวแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีทั้งกองทัพอยู่ที่นี่
“เมื่อจักรพรรดิไท่จงกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ท่านเคยสาบานว่าท่านจะไม่เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดชีวิต”
จูลั่วไม่ได้สนใจบาดแผลที่ค่อยๆ ลึกลงบนท้องของตน เขาจ้องไปที่ฮั่นชิงและถาม “ตอนนี้ท่านได้ฝืนคำสาบานไปแล้ว แล้วจะมีหน้าไปพบฝ่าบาทได้อย่างไร”
นอกจากจูลั่ว กวนซิงเค่อ เปี๋ยยั่งหงและยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิไท่จงที่ใกล้ตายถึงได้ให้ฮั่นชิงสาบานเช่นนั้น
แม้แต่ประมุขชิวซานก็ไม่รู้ความลับนี้ ใบหน้าดูครุ่นคิด
ฮั่นชิงเงียบงัน ไม่ตอบคำของจูลั่ว เงาบนหมวกเกราะบดบังใบหน้า ส่งให้สีหน้าเขาดูลึกลับ
“คนแก่ในอดีต คำสาบานล้าสมัย ไม่มีอะไรสำคัญ”
จูลั่วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยและกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ในเมืองสวินหยาง ข้าเองก็ผิดคำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาวที่โจมตีหวังผ้อ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปถามท่านได้”
กล่าวแล้วเขาก็นั่งลงช้าๆ บนรถเข็นและหลับตาลงช้าๆ
เลือดที่ไหลลงจากบาดแผลบนหน้าท้องก็พลันเปลี่ยนสี ส่องประกายและโปร่งใสราวกับมีผลึกแก้วมากมายปนอยู่
เลือดที่มีผลึกแก้วสลายไปในสายลม กลายเป็นประกายแสงวับวาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ร่างกายเขาก็เปลี่ยนเป็นประกายแสงจำนวนมาก ประดุจดวงจันทร์ที่ลอยเหนือทุ่งหิมะเมื่อหลายศตวรรษก่อน
แสงนั้นค่อยๆ กระจายไปในสายลม ลอยไปทุกทิศทางจนไม่เหลือสิ่งใดอีก
เหลือเพียงรถเข็นที่ว่างเปล่า
.……
……
.……
……
จูลั่วตายแล้ว
ไม่ว่าคนทั่วไปจะมองเขาเช่นไร โดยเฉพาะหลังจากคืนฝนพรำในเมืองสวินหยาง เขาก็ยังเป็นคนยิ่งใหญ่ในต้าลู่
แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ยับเยินด้วยฝีมือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้กับซูหลี เขาก็ยังเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์ใหญ่ของมนุษยชาติ
ในยามที่เขายังหนุ่ม ก็ได้ไปยังทุ่งหิมะแดนเหนือหลายครั้งและมีความชอบมากมาย สามารถร่ายบทกลอนยามดื่ม เป็นคนที่มีความมั่นใจ ง่ายต่อการคบหา เป็นตัวอย่างของคนมากมาย
เขาเคยเป็นประมุขพรรคไร้รัก ประมุขตระกูลที่ทรงเกียรติที่สุดในเมืองเทียนเหลียง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแปดมรสุม
ในสถานการณ์ทั่วไป การตายของคนสำคัญเช่นนี้ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งต้าลู่
คืนนี้ การตายของเขากลับดูธรรมดา
ไม่ใช่เพียงเพราะเขาตายอย่างสงบ แต่เพราะเมื่อคนมากมายเห็นความตายของเขา ปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นกลับไม่มากมายนัก
นี่เป็นสัญญาณว่าทุกคนได้เตรียมตัวเตรียมใจแล้ว ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องดำเนินต่อไป ภาพเช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก
เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์จะตาย
เพียงแค่ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นแปดมรสุมอีกคน หรือนักปราชญ์ที่อยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู
คืนนี้เป็นคืนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
……
……
ตุบ
ฝักกระบี่ในมือฮั่นชิงตกลงแทบเท้า น้ำสาดกระจาย
น้ำขุ่นในลำธารก็กระเซ็นขึ้นเช่นกัน จากนั้นก็กลับคืนสู่ความนิ่งเงียบ ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ดวงตาสองดวงจ้องออกมาจากความมืดมัวใต้หมวกเกราะ มองไปรอบๆ สุสานเทียนซู
เสียงหนึ่งดังออกมาจากความมืดมัวและกระจายไปทั่วสุสานเทียนซู
“ใครที่ก้าวเข้าสู่ถนนเสินต้องตาย”
นี่คือคำสั่งที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มอบให้เขาก่อนที่จะนำเฉินฉางเซิงขึ้นสู่ยอดเขาสุสานเทียนซู
ไม่มีใครกล้าตอบ ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน
กวนซิงเค่อมองไปยังรถเข็นว่างเปล่าอย่างเงียบเชียบ ถึงจุดหนึ่ง หมวกไผ่ของเขาก็ถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น
เปี๋ยยั่งหงมีสีหน้าเคร่งเครียด อู่ฉยงปี้ยืนอยู่ด้านข้าง แส้หางม้าที่พาดอยู่บนแขนห้อยลงถึงสะเอว มือนางกำแน่นจนขาวซีด
แม้ว่าจูลั่วจะบาดเจ็บหนัก เขาก็ยังเป็นหนึ่งในแปดมรสุม
และหากสิ่งที่ฮั่นชิงกล่าวเป็นจริงว่าเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงสองปี ตามเหตุผลแล้ว ความเข้าใจของเขาและการควบคุมกฎเกณฑ์ของโลกนี้ควรจะด้อยกว่าจูลั่ว
แต่เขากลับใช้แค่กระบวนท่าเดียวสังหารจูลั่ว
นี่คือสิ่งที่พวกเขายากจะยอมรับได้ ทำให้หัวใจของพวกเขาหล่นวูบ
ไม่ว่าจะยากเพียงใดก็ต้องยอมรับความจริง มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็ยังต้องทำ
สามมรสุมสัมผัสได้อยู่บ้างว่าดวงจิตจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ไปที่อื่นแล้ว มีแต่ร่างของนางที่อยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู ยิ่งไปกว่านั้นระดับการบำเพ็ญเพียรของนางก็เพิ่งจะลดเนื่องจากช่วยเฉินฉางเซิงท้าลิขิตพลิกโชคชะตา อีกทั้งยังได้รับผลกระทบทางจิตใจที่ได้รู้ว่าเฉินฉางเซิงมิใช่รัชทายาทเจาหมิง เรียกได้ว่านางอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดในช่วงสองร้อยกว่าปีนี้
นี่ยังหมายความว่า ตอนนี้คือโอกาสดีที่สุดที่จะโค่นล้มจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
พวกเขาไม่อาจพลาดโอกาสนี้
หากพวกเขาต้องการจะก้าวขึ้นถนนเสินและสู้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ก็ต้องล้มขุนพลเทพฮั่นชิงที่ต้นถนนก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาล่วงรู้ความลับยิ่งใหญ่ของฮั่นชิงที่คนอื่นไม่รู้ พวกเขาจึงต้องการให้ฮั่นชิงตายยิ่งขึ้น
สีหน้าอู๋ฉยงปี้ตึงเครียดกว่าเดิม ความกลัวฉายขึ้นในดวงตาเป็นระยะๆ และเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งในที่สุด
นางถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ประเมินว่าโง่เขลาและไร้สามารถ จนแทบจะเรียกว่าปัญญาอ่อน แต่ก็ยังเป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ดวงจิตของนางอาจได้รับผลกระทบบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายต่อจิตใจได้อย่างถาวร
“ฮั่นชิงต้องได้รับบาดเจ็บ นี่คือโอกาสของพวกเรา รีบขึ้นไปเร็ว!” นางกล่าวอย่างเคร่งเครียดกับเปี๋ยยั่งหง
ดอกไม้ที่ผูกกับนิ้วก้อยสั่นเล็กน้อย เหมือนจะลอยไปตามสายลมอย่างมีจังหวะ ดูงดงามมาก
เปี๋ยยังหงนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำภรรยา
ฝนหยุดตกนานแล้ว เมฆกระจายตัวออกไปและดวงดาวเปล่งประกาย ทันใดนั้นท้องฟ้าพร่างดาวดูสว่างกว่าเดิม
ให้ความรู้สึกว่าดวงดาวทั้งมวลบนท้องฟ้าได้เข้าใกล้พื้นดินมากขึ้น
ร่างกวนซิงเค่อหายไปจากข้างรถเข็นนานแล้ว เหลือแต่หมวกไผ่สานที่ตกอยู่ในน้ำฝน
ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าดูทั้งจริงแท้และลวงตา ได้เคลื่อนลงมายังสุสานเทียนซู กวาดไปยังที่ที่ฮั่นชิงยืนอยู่
ฮั่นชิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และใบหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในหมวกเกราะมานานหกร้อยปีก็พบกับแสงดาวในที่สุด
เป็นใบหน้าชราหาใดเปรียบ