ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 155 ข้ายังกินต่อไปได้หรือเปล่า
ดวงจิตจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อยู่ห่างไปหลายหมื่นลี้ วิชาเต๋าของนางอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ร่างกายอยู่ในเมฆฝน หนึ่งต่อสาม สามนักปราชญ์
ที่อยู่บนยอดภูเขาเทียนซูก็คือร่างต้นของนาง
ต่อให้นางเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ก็พอจะบอกได้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ที่นางต้องสู้กับสามนักปราชญ์ นางไม่อาจมีกำลังพอจะต่อสู้กับศัตรูอื่นอีก
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ร่างนางที่อยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซูนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ หากมีใครโจมตีใส่ร่างต้นของนาง ก็มีโอกาสที่จะทำร้ายนางได้
คืนนี้ ยอดฝีมือมากมายได้มายังสุสานเทียนซู
พวกเขายังไม่เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่อาจสร้างอันตรายแม้แต่น้อยให้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แต่ตอนนี้นั้นต่างไปแล้ว
แน่ทีเดียว พวกเขาต้องขึ้นถนนเสินไปยังยอดเขาสุสานเทียนซูให้ได้ก่อน
ทว่าฮั่นชิงนั่งอยู่หน้าถนนเสิน ดังเช่นหกร้อยปีที่ผ่านมา
ฮั่นชิงแก่มากแล้ว
เขาเป็นขุนพลเทพรุ่นเดียวกับฉินจงและอวี่กง ได้นั่งอยู่ในสุสานเทียนซูมานานหกร้อยปี ร่างกายปกคลุมไปด้วยฝุ่นและคราบสนิม แต่เขาจะสามารถต้านทานการร่วมกันโจมตีของเหล่ายอดฝีมือในยุคปัจจุบันได้หรือ
นี่เป็นคำถามที่คู่ควรครุ่นคิด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจ เพราะว่าเขากำลังกินข้าวอยู่
หมูแห้งผัดพริกไทยสดล้วนมาจากสวนหลังบ้านนั้น เขากินอยู่เงียบๆ กินอย่างจริงจัง บางทีอาจกำลังคิดถึงเรื่องที่สวินเหมยก้าวเข้าสู่ถนนเสินเมื่อสองปีก่อน
จากที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะสวินเหมยได้พยายามขึ้นถนนเสินเพื่อหาความจริงในคืนนั้น ทำให้เขาตัดสินใจวางทุกอย่างเพื่อเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นอาหารนี้ก็เพื่อการระลึกถึงอย่างนั้นหรือ
ไม่ การระลึกถึงนี้ย้อนไปไกลกว่านั้น เพราะใบหน้าชรานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลึกล้ำกว่ามากนัก
ยอดฝีมือในโลกนี้ได้มารวมตัวกัน แต่เขากลับกินข้าวอยู่เงียบๆ การไม่สนใจเช่นนี้เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างมากหรือว่าอะไรกันแน่
สองปีก่อนตอนที่สวินเหมยได้ก้าวขึ้นสู่ถนนเสินและพบกับความตาย เหมาชิวอวี่อยู่นอกสุสานเทียนซู เขาได้เห็นศิษย์น้องตนเองตายกับตา ทว่าตอนนี้ใบหน้าเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ
เด็กหญิงนามมู่จิ่วซือกลับมีสีหน้าโกรธเคืองอยู่บ้าง ส่วนยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่และพรรคต่างๆ ที่โผล่ออกมาจากความมืด ก็เริ่มโกรธขึ้นมาเช่นกัน
ปราณของยอดฝีมือที่รวมตัวกันอยู่หน้าถนนเสินเหล่านี้ บรรจุไว้ด้วยความโกรธ
ฮั่นชิงไม่มีปฏิกิริยาใด ยังคงใจเย็นกินข้าวอยู่เงียบๆ ประหนึ่งว่าอาหารเย็นชืดนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก
ในแม่น้ำนอกสุสานเทียนซู หินอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่บนพื้นดิน
อู๋ฉยงปี้ยืนท่ามกลางเศษหินอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านั้น ความเคียดแค้นบนใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความระแวดระวังและไม่สบายใจ สุดท้ายกลายเป็นความกลัว
คืนนี้ ในหมู่แปดมรสุมที่มายังสุสานเทียนซูคืนนี้ จูลั่วกับกวนซิงเค่อได้ตายไปแล้วในขณะที่เปี๋ยยั่งหงได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแต่นางที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่
ก่อนหน้านี้ ยามที่สามีนางได้รับบาดเจ็บสาหัส นางก็โกรธเกรี้ยวอย่างมาก อยากจะโจมตีกลับไป ต่อให้ฮั่นชิงมีความแข็งแกร่งเกินหยั่งถึง แต่เมื่อมียอดฝีมือในเงามืดคอยหนุนหลังมากมาย นางเชื่อว่านางสามารถเอาชนะเขาได้ แต่ทว่า…ไม่ว่านางจะส่งสายตาเกลียดชังและหยาบคายเพียงไร ฮั่นชิงก็ไม่แม้แต่จะมองนาง
ฮั่นชิงกินอย่างเงียบงัน
ทวนเล่มนั้นวางนิ่งอยู่ข้างกาย
นั่นทำให้นางเริ่มกลัว
“ช่วยข้าลุกขึ้น”
เปี๋ยยังหงนอนอยู่ท่ามกลางเศษหินอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ใบหน้าซีดขาวอย่างที่สุด ลมหายใจอ่อนเบา แต่น้ำเสียงยังคงสุขุมเช่นเคย บรรจุไว้ด้วยความแข็งแกร่งที่น่าชื่นชม
สายตาเขามองขึ้นไปบนยอดเขาสุสานเทียนซู จับจ้องไปที่ร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แววตาแฝงไว้ด้วยความสับสนและเจ็บปวด
บนเสื้อผ้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มีกลีบดอกไม้สีแดงกลีบหนึ่ง บนแขนเสื้อมีรูเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากดาวตกหลายสิบรู
ในการต่อสู้อันขมขื่นที่เกิดขึ้นเพียงชั่วลมหายใจเดียว เขาเป็นหนึ่งในผู้ลงมือ จึงรู้ดีว่าร่องรอยเหล่านั้นคือสิ่งที่แลกมาด้วยความตายของกวนซิงเค่อและการบาดเจ็บสาหัสของเขา
เขายังพบปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
อู๋ฉยงปี้ช่วยเขาลุกขึ้น แส้ปัดในมือนางสั่นไหวเล็กน้อย เช่นเดียวกับเสียงนาง “ไปเถอะ”
“คืนนี้ ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ไม่คิดจะจากไปอย่างมีชีวิต”
เปี๋ยยั่งหงกล่าวอย่างสุขุม นิ้วมือเริ่มสั่นเทา
ด้ายที่ห้อยลงมาจากนิ้วก้อย ส่ายไหวอยู่กลางอากาศ พันอยู่รอบนิ้วเขาหลายรอบ
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะกำมือ จึงได้มัดนิ้วเข้าไว้ด้วยกันให้เป็นกำปั้น
กำปั้นนี้ทุบใส่พื้นแม่น้ำที่แห้งเหือด
ตู้ม
กำปั้นที่ดูอ่อนแรงต่อยเป็นหลุมใหญ่ที่พื้นแม่น้ำ ลึกจนไม่เห็นก้นและน้ำก็พุ่งออกมาจากด้านล่าง
เมื่อผังลายจักรพรรดิเคลื่อนไหว แม่น้ำก็แห้งเหือดและก้อนหินปรากฏขึ้น ในตอนนี้ เมื่อผังลายจักรพรรดิถูกทำลายและพลังค่ายกลที่น่ากลัวหายไป ก็ไม่มีกำลังใดรักษาสภาพปัจจุบันเอาไว้ได้
เสียงน้ำไหลโครกๆ น้ำพุจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากพื้นดิน แม่น้ำกลับมามีน้ำอีกครั้งในทันที ทำให้รองเท้าของเขากับอู๋ฉยงปี้เปียกโชก
อู๋ฉยงปี้รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร ใบหน้านางยิ่งซีดขาวกว่าเดิม ทว่านางไม่อาจพูดอะไรเพื่อแย้งได้
น้ำพุพุ่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ ตามมาด้วยฟ้าร้องฟ้าผ่าจากท้องฟ้าเบื้องบน เป็นภาพที่วิปลาสผิดธรรมดาอย่างยิ่ง
เสียงครวญอย่างสิ้นหวังดังออกมาจากปากอู่ฉยงปี้
นางกับเปี๋ยยั่งหงยืนอยู่บนน้ำ ปราณสองสายแผ่ออกมาจากร่างกายของพวกเขา ปกคลุมไปทั่วแม่น้ำในทันที
ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างนางเป็นความดับสิ้นอันเงียบงัน เป็นคลื่นสีเขียวครามที่ไม่มีชีวิตแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างเปี๋ยยั่งหงกลับสดสะอาด บรรจุเอาไว้ซึ่งพลังชีวิตมากมายไร้สิ้นสุด
น้ำในแม่น้ำไหลผ่านเขื่อนหินในที่สุดและไหลเข้าสู่สุสานเทียนซู ไหลขึ้นสู่ถนนเสินช้าๆ อย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
เมื่อน้ำไหลผ่าน ใบไม้ก็งอกเงย ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ใบก็ปกคลุมอยู่ทั่วผิวน้ำ คือใบบัวที่ทอดยาวหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้นบัวเขียวก็มีดอกบัวที่บอบบางจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานขึ้น
ทะเลดอกบัวชูช่อท่ามกลางสายลม ดอกบัวบานเจิดจ้าท่ามกลางฟ้าร้องฟ้าผ่า
ใบปทุมทอดยอดสู่สวรรค์ เขียวตระการไม่วางวาย (อู๋ฉยงปี้)
หนึ่งดอกบานไถง แดงอำไพพิสดาร (เปี๋ยยั่งหง)[1]
สุสานเทียนซูปกคลุมไปด้วยน้ำ
เหมาชิวอวี่ยืนอยู่อีกฝั่งของน้ำ สีหน้าเคร่งขรึม แขนเสื้อทั้งสองกระพือไหว
แขนเสื้อทั้งสองเกิดสายลมพันตัดผ่านกัน
ใบบัวบินขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดอกบัวส่ายไหวเล็กน้อย สายฟ้าส่องสว่างไปทั่ว ความชุ่มชื้นควบแน่นเป็นหมอก ทั้งหมดรวมตัวเป็นภาพอันงดงามจนดูไม่เหมือนจริง ราวกับเป็นแดนเซียน
แดนในฝันได้มาถึงถนนเสิน
ฮั่นชิงยังกินข้าวอยู่ กินอย่างจริงจังยิ่ง
การทำอาหารเป็นเรื่องทางโลก และเขาก็ออกจากสุสานเทียนซูสู่โลกมนุษย์
เปี๋ยยั่งหงต้องการให้เขากลับสู่แดนเซียนไม่สนใจต่อเรื่องทางโลกอีก ให้เขาไม่มีใจไปป้องกันไม่ให้คนขึ้นสู่ถนนเสินอีก
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยใบบัวและดอกบัวที่โจมตีเส้นทางแห่งจิตของเขา
ฮั่นชิงจะเลือกเช่นไร
ในที่สุด เขาก็วางกล่องข้าวลง
ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีทางรับมือกับคำท้าของเปี๋ยยั่งหง แต่เพราะเขากินหมดแล้ว
เขายื่นมือออกคว้าทวน ตามองไปยังส่วนลึกของทะเลบัว
เปี๋ยยั่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลบัว ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดขาวแต่ก็สุขุมอย่างยิ่ง
เขาต้องการสังหารเทียนไห่ ผู้คนในโลกต้องการสังหารเทียนไห่ ดังนั้นพวกเขาต้องขึ้นไปบนถนนเสิน
ในตอนนี้ เขากำลังเผาผลาญปราณแท้และการบำเพ็ญเพียร ฉะนั้นต่อให้เขาเอาชนะฮั่นชิงได้ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เขาไม่สนใจ เพราะเขามาที่นี่ก็เตรียมใจตายเอาไว้แล้ว
การเดินเข้าหาความตายคือเต๋าของเขา เป็นเต๋าที่ตรงไปตรงมา
การเดินตามเต๋าของตนหมายความว่าไม่มีทางหลงอยู่ในทะเลบัวแห่งนี้ ไม่มีทางถอยด้วยความกลัว ร่างที่โชกเลือดของเขาชัดเจนในความมืด ดุจดอกไม้แดงท่ามกลางใบไม้สีเขียว
แต่เขาไม่ได้โจมตี เพราะเขารอให้โอกาสมาถึง
รอริมน้ำข้างวัดเก่าเมืองซีหนิง รออารามเก่าในเมืองลั่วหยาง รอเมฆดำเหนือแผ่นดินให้กระจายไป
เขาเงยหน้า มองเมฆดำอย่างใจเย็น
ทุกคนล้วนมองขึ้นไป
เสียงฟ้าร้องดังอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าแปลบปลาบ เมฆดำบิดตัว สายลมพลุ่งพล่าน
ที่แห่งนั้นปานไม่ใช่โลกอย่างแท้จริง
……
……
[1] ตัดมาจากบทกวีหยางว่านหลี่ ชื่อของอู๋ฉยงปี้และเปี๋ยยั่งหงมาจากบทกวีนี้