ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 158 ความเมตตาของอาหารมื้อหนึ่ง
เมฆบนท้องฟ้าราตรีเคลื่อนกระจายไปจนสุดขอบฟ้า ดวงดาวสว่างหาใดเปรียบ น้ำในแม่น้ำสูงขึ้นจากแผ่นดินและเปลี่ยนเป็นหมอกยาวหลายสิบลี้ล้อมสุสานเทียนซูเอาไว้ราวกับเข็มขัด ก้านบัวสีเขียวดอกบัวสีชมพูเบ่งบานเป็นภาพอันงดงาม
เมื่อเทียบกับความงามลึกลับประหนึ่งมิใช่ส่วนหนึ่งของโลกนี้แล้ว โลกมนุษย์ที่แท้จริงนั้นช่างน่าอนาถยิ่งนัก สิ่งก่อสร้างทางตอนใต้ของจิงตูหากไม่ถล่มลงก็ถูกสายน้ำซัดคว่ำ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้ตายไป เสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงสะอื้นไห้ดังระคนกันระงม แม้จะไม่ชัดเจนเพราะอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังทำให้ตัวสั่นด้วยความกลัว
เหล่ายอดฝีมือที่อาศัยความมืดมิดล้อมสุสานเทียนซูได้รับผลกระทบจากคลื่นกระแทก ซึ่งเกิดจากการปะทะกันของใบไม้ครามกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากยิ่งกว่า นักบวชบางคนที่ระดับการบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อยถูกกระแทกจนตาย ผู้อาวุโสรวมถึงผู้พิทักษ์ของตระกูลใหญ่และพรรคต่างๆ ล้วนได้รับบาดเจ็บต่างกันไป ใบหน้าเด็กสาวนามมู่จิ่วซือขาวราวหิมะ เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก สีหน้าในตอนนี้หม่นหมองอย่างมาก ไม่เหลือความสว่างสดใสก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย มีเพียงเหมาชิวอวี่ อู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะพวกเขาล้วนยืนอยู่กลางทุ่งบัวและสามารถใช้ความสงบอ่อนโยนของสายน้ำปกป้องตนเองเอาไว้ได้
ใบไม้ครามลอยช้าๆ กลับจากยอดเขาสุสานเทียนซูสู่ท้องฟ้าราตรี สายลมขนาดใหญ่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า
ฝูงชนมองจากใบไม้ครามไปยังยอดเขา จับจ้องร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ด้วยความหวาดกลัวปนนับถือ ไร้แรงจะพูด
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มีขนาดใหญ่มาก เที่ยงธรรมอย่างยิ่ง ว่าตามเหตุผลไม่มีทางที่จะใช้มือเดียวยกขึ้นได้
แต่นางกลับคว้าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาได้อย่างง่ายดาย ยกขึ้นด้วยมือเดียว
ใบไม้ครามของสังฆราชเป็นโลกใบหนึ่งมีน้ำหนักไร้จำกัด สามารถบดขยี้ได้ทุกอย่าง แม้แต่ทวนหิมาลัยเทวาหรือดาบสองท่อนก็ไม่อาจต้านทานได้ แต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้ร่วงลงมาสู่โลกใบนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา สายลมกระหน่ำหรือสายฝนซัดสาด แผ่นดินเคลื่อนเวลาคล้อย ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันได้ จากจุดนี้ก็บอกได้ว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นนิรันดร์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรยายได้ ดังเช่นบทหนึ่งคัมภีร์เต๋า ‘กุยหยวน’ ที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโล่ที่ไม่มีอะไรทำลายได้ ถูกทวนที่ทำลายได้ทุกอย่างแทงใส่
นิทานก็คือนิทาน ไม่อาจให้คำตอบที่แท้จริงได้ การปะทะกันครั้งแรกของใบไม้ครามกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ก็ไม่มีผลสรุปเช่นกัน จากการสังเกตการณ์ แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นอาวุธที่เหมาะสมที่สุด ทรงพลังที่สุดในการต้านทานโลกใบไม้คราม แต่นอกเหนือจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ใครจะมีความแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่นถึงขั้นใช้มือเดียวยกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาใช้เป็นอาวุธได้ และใครจะมีความกล้าพอที่จะใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาเป็นอาวุธ
การต่อสู้สะท้านโลกนี้ยังไม่จบ แท้จริงเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น แสงดาวถูกบิดเบือนอีกครั้ง มิติบิดเบี้ยวอีกครา ใบไม้ครามลอยขึ้นสู่ยอดเขาสุสานเทียนซูอีกหน
แม่น้ำ ภูเขา ตัวเมืองล้วนอยู่ภายในนั้น มีเสียงอื้ออึง เสียงแผ่นดินแยก เทือกเขาเคลื่อน แม่น้ำสะบั้น โลกใบหนึ่งตกลงมาอีกครั้ง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยกหินแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ขึ้นมาฟาดใส่ใบไม้ครามอีกครั้ง
ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ไม่มีเสียงเกิดขึ้น อย่าว่าแต่เสียงฟ้าร้องทั้งหมดนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลาเลย เสียงร้องของแมลงก่อนตายในสายฝนฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่มี มีเพียงความนิ่งงัน
นี่เป็นเพราะน้ำหนัก พลังงานและปราณทั้งหมดถูกถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์ระหว่างใบไม้ครามกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ไม่มีแม้แต่ส่วนเสี้ยวที่หลุดออกมาสู่โลกภายนอก
ยอดเขาสุสานเทียนซูทรุดตัวลงครึ่งฉื่อในทันที
ใบหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ซีดขาว เลือดไหลเป็นสายออกมาจากมือของนาง ย้อมมุมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จนเป็นสีแดง
ใบหน้าสังฆราชซีดขาวกว่าเดิม และมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ก็ดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา รอยย่นบนใบหน้าลึกจนดูเหมือนกับที่ราบสูงซึ่งไม่ได้เห็นฝนมานานนับพันปี
วงน้ำยาวหลายสิบลี้รอบสุสานเทียนซูกลายเป็นห่าฝนตกลงสู่พื้น
ใบไม้ครามเป็นเหมือนกระดาษเปียกชุ่ม ติดอยู่บนพื้นผิวแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และสั่นอย่างต่อเนื่อง พื้นผิวของใบไม้ค่อยๆ ฉีกออก
เห็นได้ชัดว่าในการปะทะกันของพลังอันสูงสุดนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เป็นฝ่ายมีเปรียบ!
ผู้เชี่ยวชาญเต๋าอันยิ่งใหญ่สองคนในรอบพันปีของนิกายหลวงและนักบวชลึกลับจากดินแดนอื่นล้วนเป็นยอดฝีมือในระดับนักปราชญ์
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในมือ สู้สามสนามด้วยร่างกาย ดวงจิตและเต๋า ไม่เพียงแค่นางไม่เพลี่ยงพล้ำ แต่นางถึงขนาดมีเปรียบในการต่อสู้ทั้งสาม!
เป็นการแสดงอันทรงอำนาจและแข็งแกร่งยิ่งนัก! ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับว่านางเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดใต้ท้องฟ้าพร่างดาว!
……
……
บนจุดสูงสุดของยอดเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ไม่อาจแข็งแกร่งได้อีก หงส์ร่ายรำท่ามกลางสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องร่วงหล่น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต่อสู้กับสามนักปราชญ์จนถึงจุดวิกฤติที่สุด นางได้แสดงความแข็งแกร่งที่ยากจะจินตนาการได้ และความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ออกมาแล้ว
ซึ่งหมายความว่านางไม่อาจแสดงวิธีที่นึกไม่ถึงออกมาได้อีก
เปี๋ยยั่งหงเข้าใจเรื่องนี้ดี เขารู้ว่าเวลาที่เขารอคอยได้มาถึงแล้ว
เขามองไปที่อู๋ฉยงปี้ จากนั้นด้ายที่มัดนิ้วก้อยก็เริ่มขาดออกทีละนิด
อู๋ฉยงปี้สีหน้าซีดขาวโบกแส้ปัดในมือไปมา เก็บรวบรวมเศษด้ายที่ขาดออกมาหลายสิบชิ้นเอาไว้
ปราณแห่งการสิ้นสูญอันเสมือนคลื่นเย็นเยียบของทะเลแห่งความตายพลันผสานรวมกับปราณแห่งชีวิตอันสดใส ปราณที่แตกต่างอย่างมากทั้งสองไม่ได้โจมตีกันและกัน แต่กลับผสานรวมกันในเวลาอันสั้นทำให้เกิดรัศมีอันเก่าแก่ยากบรรยายขึ้น
ชีวิตและการดับสูญอันที่จริงก็เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน ซึ่งโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกนี้จะเผยออกมาได้นั้น ก็ต่อเมื่อสองสิ่งนี้สัมพันธ์ซึ่งกันและกันเท่านั้น
ใบบัวสั่นไหวอยู่ตลอด ดอกบัวอยู่ในความวุ่นวาย ไอปราณสายหนึ่งพุ่งขึ้นถนนเสินอย่างบ้าคลั่ง เปี่ยมไปด้วยพลังหาใดเปรียบ พื้นที่ตรงหน้าสุสานเทียนซูถูกปราณโบราณรุกล้ำ
ในแปดมรสุมมีคู่สามีภรรยาเพียงคู่เดียวเท่านั้น กล่าวได้ว่าทั่วทั้งโลก ไม่มีคู่ไหนนอกจากคู่ของจักรพรรดิขาวที่แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาอีก
พวกเขาร่วมมือกันใช้การโจมที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา แม้แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ยังต้องรับมือด้วยความระวัง
ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งทั้งหมดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อยู่ที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ วิชาเต๋าในเมืองลั่วหยาง และดวงจิตที่อยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ แล้วนางจะรับมืออย่างไร
ลึกเข้าไปในทะเลบัวเป็นซากปรักหักพัง ที่นั่นเคยมีศาลาหลังหนึ่งอยู่ต้นถนนเสิน ทุกอย่างที่หวังจะขึ้นสู่ถนนเสิน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือปราณก็ต้องผ่านที่แห่งนี้
เมื่อปราณโบราณของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้กวาดผ่านที่แห่งนี้ เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น
เสียงถอนหายใจนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายอันโบราณเช่นเดียวกัน เหมือนจะผิดหวังและหงุดหงิดอย่างมาก
มือหนึ่งคว้าทวนสีดำสนิท
สายลมรุนแรงปั่นป่วนในสุสานเทียนซูและทะเลบัวเริ่มเกิดระลอกคลื่น ใบบัวส่ายไหวทำให้เกิดหยดน้ำดุจไข่มุกลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทวนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก มันคือทวนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา
ฮั่นชิงคว้าทวนและชี้ไปที่ส่วนลึกของความมืด
ลมฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็นพัดผ่านมา
ทุกสิ่งในโลกต้องแห้งเหี่ยว
ในส่วนลึกของทะเลบัว เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ส่งเสียงครวญคราง
ฮั่นชิงมองไปทางพวกเขาอย่างเฉยชา เขาไม่พูดอะไร ไม่มองไปที่เท้าของตนเช่นกัน
มีกล่องข้าวอยู่ที่เท้าเขา
ข้าว พริกไทย สดเนื้อหมูแห้งที่กินหมดไปนานแล้ว ในตอนนี้มีแค่เพียงน้ำกระเพื่อมไปมาเท่านั้น
ไม่ว่าทวนชี้ไปที่ใด ใบบัวสีเขียวก็จะแห้งเหี่ยวราวกับมีผีหิวโหยดูดกลืนชีวิตจนกลายเป็นสีเหลืองแห้ง
เขามองไปที่ทะเลบัวที่แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว พลางนึกย้อนถึงเมื่อหลายปีก่อน เขาเดินมาจากทางเหนือ พบกับซากศพมากมายตลอดทาง
คนในเผ่าของเขากับมนุษย์นั้นต่างกันมาก แต่เมื่อถึงคราวอดอยากเจียนตาย ก็กลับคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาต่างก็ล้วนแห้งเหี่ยวและใกล้ตาย
เขาไม่ได้อดตาย แต่ก็เกือบกลายเป็นผี ดวงตาสีเขียวยิ่งกว่าหมาป่าภูเขา ผอมแห้งจนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก
ในยามที่เขาเชื่อว่าเขาไม่อาจเดินออกจากทุ่งหิมะได้แล้ว เขาก็พบกับฝ่าบาท
ฝ่าบาทมีสีหน้าอบอุ่นอย่างยิ่ง แต่มีใบหน้าทะเยอทะยาน คำพูดกระชับเปี่ยมพลัง
ฝ่าบาทตรัสถาม “ฮั่นชิงหิวหรือไม่”
ฮั่นชิงพยักหน้า
ฝ่าบาทกล่าวกับฮั่นชิง “เช่นนั้นก็ติดตามข้านับจากนี้ไป แล้วเจ้าจะได้กินเนื้อและสุราจนเต็มอิ่ม”
ฮั่นชิงครุ่นคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าในที่สุด
……
……
หลังจากผ่านไปพันปี
มองไปที่ทะเลบัว พิศดูใบบัวที่เหี่ยวแห้งและดอกบัวที่ห้อยลงราวกับผีถูกแขวนคอ ผีหิวโหย ผีจมน้ำ ฮั่นชิงพยักหน้าอีกครั้ง
จากนั้นก็รวมพลังทั้งหมดในร่างและแทงทวนออกไป!
ทวนส่งเสียงโหยหวนในอากาศ ฟ้าดินสะเทือน ผีและเทพได้ยินก็ร่ำไห้
ต่อหน้าทวนนี้ ดอกบัวก็กระจายไป ทั่วโลกแห้งเหี่ยว ชีวิตและความตายกลายเป็นหนึ่ง
ทวนนี้เสมือนเรือวิ่งผ่านน้ำ ต้นหญ้าแหวกผ่านเงา ลูกศรพุ่งผ่านเมฆ ตรงเข้าสู่ใจกลางของท้องฟ้า
มันไปยังที่ใด
ส่วนลึกของทะเลบัวเช่นนั้นหรือ
หรือว่าไปในใบไม้คราม
อารามเก่าในเมืองหลวงโบราณ หรือวัดเก่าที่อยู่ไกลไปหมื่นลี้
……