ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 17 ตัดไม่ขาด
บนเรือใหญ่เหนือแม่น้ำลั่วที่อยู่ไกลออกไป พลันมีเสียงตกตะลึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนจ้องมองเฉินฉางเซิงยื่นมือซ้ายออกไป ใช้วิธีการที่พวกเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็มองเห็นสวีโหย่วหรงทำราวกับว่าเดาการเคลื่อนไหวของเขาได้ล่วงหน้า อาศัยวิธีการทำลายเพลงกระบี่ของเขาย้อนกลับมาทำลายอานุภาพกระบี่ของเขา เห็นได้ชัดว่าเฉินฉางเซิงควบคุมกระบี่จำศีลได้แล้ว กระบี่จำศีลก็ยังคงแทงเข้าไปในร่างของเขา ในที่สุดผู้คนก็ได้เห็นสวีโหย่วหรงยื่นนิ้วที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ที่จริงกับทรงพลังอย่างมากไปทางเฉินฉางเซิง
“ดัชนีระลึกจิต!” นักพรตซือหยวนพูดขึ้นอย่างหวั่นไหว
เฉินฉางเซิงจะแพ้แล้วหรือ เขาจะตายภายใต้นิ้วนี้หรือ สีหน้าของเหมาชิวอวี่เปลี่ยนไป แขนเสื้อทั้งสองข้างเกิดระลอกคลื่นขึ้นนับไม่ถ้วน เขาเตรียมที่จะพุ่งขึ้นไปยังบนสะพาน
สีหน้าของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ พวกม่ออวี่กับเฉินหลิวอ๋องก็เป็นเช่นนี้ ชี้ผลแพ้ชนะ จะถึงกับชี้เป็นชี้ตายเชียวหรือ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป
ไม่มีใครคิดว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจะเปลี่ยนแปลงจังหวะจากวุ่นวายอย่างมากไปเป็นสงบอย่างมาก และเปลี่ยนเป็นวุ่นวายอย่างมากอีกครั้งในเวลาอันสั้น นี่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาล้วนเข้าสู่จังหวะของตัวเองแล้ว โดยเฉพาะที่น่ากลัวคือจังหวะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก นี่ก็หมายความว่ายากจะมีคนที่สามารถทำลายจังหวะของพวกเขาได้ ต่อให้เป็นเหล่าบุคคลสำคัญที่มีระดับความแข็งแกร่งห่างไกลจากพวกเขาไปมากก็ยังทำไม่ได้
เกิดความเงียบขึ้น
แสงสว่างบนสะพานหน่ายเหอค่อยๆ ลอยผ่านไป ราวกับกาลเวลา
เกล็ดหิมะยังคงกระจัดกระจาย จึงบดบังเงาร่างได้ไม่มิด และก็ไม่สามารถที่จะเติมเต็มเส้นที่อยู่ตรงกลางสะพานเส้นนั้น
ทางด้านนั้นของแนวเส้นยังเป็นหิมะ ทางด้านนี้ยังคงเป็นสายฝน สวีโหย่วหรงได้ก้าวข้ามแนวเส้นนั้นมาแล้ว และยืนอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง
นิ้วชี้ข้างซ้ายของนางจรดไปที่หว่างคิ้วของเขา แต่ก็ไม่ได้จรดไปอย่างสมบูรณ์
ระหว่างท้องนิ้วของนางกับหว่างคิ้วของเขา ยังมีระยะความหนาของกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง
เพราะว่าเขาเอากระบี่สั้นขวางเอาไว้ตรงกลาง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉินฉางเซิงยกกระบี่ไร้ราคีขึ้นมา แล้วสกัดนิ้วมือของสวีโหย่วหรงเอาไว้
ร่างไร้ปีกหงส์สวรรค์หลากสี ในใจกลับตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นหากร่างเป็นหงส์สวรรค์
ดัชนีระลึกจิตของสวีโหย่วหรงรวดเร็วปานสายฟ้า แต่กลับไม่เร็วเท่ากระบี่ของเขา ที่แสดงให้เห็นได้เพียงว่า เขาคำนวณได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสุดท้ายนางจะใช้ดัชนีระลึกจิต
กระบี่จำศีลทิ้งรอยแผลที่ชัดเจนไว้บนบ่าซ้ายของเขาแผลหนึ่ง ที่ขอบของปากแผลก็ยังมีของที่เหมือนกับเศษสะเก็ดดาว แต่ด้ามกระบี่ถูกเขากุมไว้ในมือแล้ว
สวีโหย่วหรงค่อยๆ เก็บนิ้วมือกลับมา
เลือดสีแดงประกายทองหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลออกมาจากนิ้วมือของนาง หลังจากนั้นก็หยดลงบนพื้นสะพาน หยาดฝนและเกล็ดหิมะพลันระเหยขึ้นมาอย่างกะทันหัน เกิดเป็นไอหมอกขึ้นจางๆ
กระบี่ไร้ราคีได้สกัดดัชนีระลึกจิตเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถหักลบพลังจากนิ้วที่ผอมบางนิ้วนี้ไปได้ทั้งหมด ที่หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงเองก็มีเลือดไหลออกมาหยดหนึ่ง ราวกับว่ามีไฝสีแดงเพิ่มขึ้นมาเม็ดหนึ่ง
บนสะพานหินพลันเงียบเป็นเป่าสาก
ผู้คนบนเรือที่อยู่ไกลออกไปบนแม่น้ำลั่วพบว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดไว้ ก็เลยสงบกันลงมาเป็นการชั่วคราว
ท่ามกลางไอหมอกจางๆ ที่ขวางอยู่ เฉินฉางเซิงสบตากับสวีโหย่วหรง และไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาเป็นเวลานาน
ล้วนบาดเจ็บกันแล้ว และดูท่าว่าเฉินฉางเซิงจะเจ็บหนักกว่าอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนอยู่ในมือของเขา เช่นนั้นแล้วใครเป็นฝ่ายชนะกันแน่
เห็นได้ชัดเจนอย่างมาก เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่ได้ใส่ใจกับผลแพ้ชนะในตอนสุดท้ายแล้ว พวกเขาต่างมองอีกฝ่าย ในใจได้เกิดคำถามขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน
‘ทำไมที่ข้าแย่งการควบคุมกระบี่จำศีลกลางอากาศ ให้มันเคลื่อนไปทางขวาเจ็ดนิ้วในตอนสุดท้าย แต่สุดท้ายกระบี่จำศีลก็ยังแทงเข้ามาที่ไหล่ซ้ายของข้าอีก’
‘ทำไมกระบี่ไร้ราคีกระบวนท่าสุดท้ายของเจ้าที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นเอก มันมีโอกาสอย่างมากที่จะร่วงหล่นไปพร้อมกับดัชนีระลึกจิตของข้า ถึงจะไม่มีประโยชน์แต่ก็สามารถตายไปพร้อมกันได้ แต่ในนาทีนั้นกลับเกิดการชะงักขึ้น สุดท้ายก็มาปรากฏขึ้นที่หน้าหว่างคิ้วของเจ้าอย่างน่าประหลาด สกัดเอานิ้วมือของข้าไว้ได้’
เวลาเจ็ดวัน แผนภูมิดวงดาวสิบเจ็ดภาพ กระดาษสามร้อยแผ่น การคำนวณอนุมานนับครั้งไม่ถ้วน ประสบการณ์และสติปัญญาทั้งหมดในชีวิตการบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนล้วนใส่ลงไปในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาได้นำรายละเอียดทั้งหมดมาคำนวณอย่างถึงที่สุด แต่ในตอนสุดท้ายกลับพบว่า ที่รอตนเองอยู่ก็ยังเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาสามารถคำนวณเส้นทางกระบี่ สามารถคำนวณสภาพอากาศและภูมิประเทศ แต่กลับไม่สามารถคำนวณจิตใจคน คำนวณไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงคำนวณมาเจ็ดวันเจ็ดคืน กลับไม่สามารถคำนวณได้ว่า…สวีโหย่วหรงถึงกับสามารถคำนวณมาถึงล่วงหน้าได้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะใช้เจตจำนงกระบี่ควบคุมกระบี่จำศีล และใช้สิ่งนี้ทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงของนาง แต่นางกลับอาศัยแรงตรงนี้พุ่งเข้ามา จุดที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ เขาคิดไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบสวีโหย่วหรงจะออมมือ ไม่มีจิตสังหารกับเขาแม้แต่น้อย กระทั่งจิตใจที่คิดจะทำร้ายเขาก็ยังไม่เข้มแข็ง ดังนั้นระยะที่เขาควบคุมกระบี่จำศีลถึงได้พลาดไป…กระบี่จำศีลแทงเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของเขา ที่จริงก็เป็นเขาที่ทำร้ายตัวเอง
การต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอในครั้งนี้ เฉินฉางเซิงต้องการเพียงเสมอ แต่กลับไม่รู้ว่านางเพียงแค่ไม่ยากแพ้ เช่นเดียวกัน สวีโหย่วหรงก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดเช่นนี้ เพราะว่านางรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาไม่รู้ว่านางคือนาง เช่นนั้นเขาก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่จะปกป้องนาง
นางคิดว่าเขาอยากจะชนะ เช่นนั้นแล้วสุดท้ายก็จะต้องควบคุมกระบี่จำศีล มาทำลายกระบี่จรัสแสงของนาง…ที่หน้าสุสานโจว นางเคยเห็นภาพที่เหมือนกัน และรู้ว่าเขามีความสามารถนี้…นางจึงเตรียมการเอาไว้แล้ว ในตอนที่เขาคิดจะแย่งกระบี่จำศีล นางก็จะอาศัยจังหวะนี้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด สุดท้ายก็จะประกาศต่อหน้าคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วว่าการประลองครั้งนี้เสมอกัน แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้คิดจะชิงกระบี่จำศีลแล้วโจมตีกลับ เพียงแค่ทำการป้องกันไว้ รวมถึงการเคลื่อนไหวของกระบี่ไร้ราคีในตอนสุดท้ายก็เป็นเช่นนี้
สรุปแล้วพวกเขาคิดเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้คิดในเรื่องเดียวกัน
หลังจากนำการคำนวณและอนุมานของแต่ละฝ่ายมารวมกัน ก็กลายเป็นคิดไม่ถึงแล้ว
ที่สวีโหย่วหรงคิดไม่ถึงก็มีมากยิ่งกว่า เพราะนางมั่นใจว่าเขาไม่รู้ว่าตนคือแม่นางชูเจี้ยนผู้นั้น ดังนั้นความผิดพลาดของนางจึงมากยิ่งกว่า
ผิดก็ผิดตรงที่ นางยังไม่ได้รู้จักเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงทั้งหมด
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนดียิ่งกว่าคนผู้นั้นที่นางเจอในสวนโจว และดีกว่าคนผู้นั้นที่อยู่ในความคิดของนาง
นี่เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
นางแพ้อย่างหมดหัวใจ
“ข้าแพ้แล้ว”
ถ้าหากจะต้องชี้เป็นชี้ตาย แน่นอนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ บาดแผลของนางเบากว่าเฉินฉางเซิง ยังมีอีกหลายกระบวนท่าที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย นี่เป็นการประลองกระบี่ ในตอนนี้กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนอยู่ในมือของเฉินฉางเซิง ดังนั้นนางจึงคิดว่าตนแพ้แล้ว
ไม่มีการยอมให้แต่อย่างใด นางยอมรับความจริงข้อนี้อย่างสงบ
เฉินฉางเซิงไม่อาจจะสงบลงได้ เพราะว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ
และหลังจากที่เขาได้ยินเสียงของสวีโหย่วหรง ก็ยิ่งไม่อาจจะสงบต่อไปได้
เสียงนี้แสนจะเสนาะหู เป็นเหมือนน้ำในเมืองชิงเจี้ยน น้ำค้างบนต้นชิวเฟิง
เสียงนี้ค่อนข้างจะคุ้นหูอยู่บ้าง ราวกับว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนก็ไม่ปาน
เขามองไปทางสวีโหย่วหรง สายตากลับยังถูกผ้าขาวบ้างผืนนั้นขวางกั้นเอาไว้
แต่เขายังคงจ้องมองไปที่ผ้าขาวบาง ยิ่งมองก็ยิ่งจริงจัง และยิ่งเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
ถึงสายลมและเกล็ดหิมะจะพัดขึ้นอีก เจตจำนงกระบี่ที่เหลืออยู่จะร่ำร้องขึ้นมา ก็ล้วนตัดสายตาของเขาไม่ขาด
ร่างกายของเขาแข็งค้างขึ้นมาบ้าง เสียงเองก็มีความกังวลออกมา “เจ้า…เจ้า…พูดอีกรอบสิ”