ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18 จิตใจยังวุ่นวาย
หลังจากที่การต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเอ่ยปากพูด
และก็เป็นการพูดคุยครั้งแรกของ ‘เฉินฉางเซิง’ กับ ‘สวีโหย่วหรง’
สวีโหย่วหรงพูดว่าข้าแพ้แล้ว
เฉินฉางเซิงพูดว่าเจ้าพูดอีกรอบ
ถ้าหากคนที่พูดประโยคนี้ออกมาคือถังซานสือลิ่ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประโยคนี้เป็นการเยาะเย้ยที่มีอานุภาพอย่างมาก สวีโหย่วหรงจะต้องอาศัยเลือดของหงส์สวรรค์เผาสะพานแห่งนี้ไปอย่างแน่นอน แต่นางรู้ถึงนิสัยของเฉินฉางเซิง รู้ว่าเขาคาดเดาถึงอะไรบางอย่างได้ จึงมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้โกรธ เคือง และแย้มยิ้มโดยที่ไม่พูด
ผ้าขาวบางได้บดบังใบหน้า และก็มองไม่เห็นถึงรอยยิ้ม สามารถรู้สึกได้เพียงแค่บรรยากาศที่เปลี่ยนไป
และก็เป็นในตอนนี้เอง สายลมพลันพาดผ่าน ผ้าขาวบางที่ทิ้งชายลงมาจากหมวกของสวีโหย่วหรงถูกพัดขึ้นมา
เจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ โดยเฉพาะกระบี่จรัสแสงที่มีอานุภาพน่าหวาดกลัว ชุดกับหมวกของนางมีปราณแท้ป้องกันอยู่ ทว่าผ้าขาวบางกลับไม่อาจจะรอดพ้นไปได้
ผ้าขาวบางที่ถูกพัดขึ้นมา รอยขาดพลันแหวกออก และค่อยๆ ร่วงลงมาสู่พื้น
โชคไม่ดีเป็นของผ้าขาวบาง กลับเป็นโชคของเฉินฉางเซิง
เพราะว่าในที่สุดเขาก็มองเห็นใบหน้าของนาง
นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามเหนือสรรพสิ่ง คิ้วตาดั่งภาพวาด ผิวบางละเอียดจนเพียงแค่โดนดีดก็จะถูกทำลาย อีกทั้งยังขาวกว่าหิมะถึงสามส่วน
นางงดงามอย่างมากจริงๆ งามจนสามารถชิงลมหายใจของทหารสามกองทัพ และแสงสว่างของฟ้าดินไปได้
แต่ใบหน้านี้สำหรับเฉินฉางเซิงแล้วกลับเป็นคนแปลกหน้า
ทว่าในตอนที่เขากำลังรู้สึกเสียใจอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นดวงตาของนาง
นั่นเป็นดวงตาหงส์คู่หนึ่งที่งดงามอย่างถึงที่สุด ในดวงตามีประกายแสงของดวงดาวอยู่นับไม่ถ้วน ราวกับกำลังแผดเผา งามสว่างจนแสบตา
แต่เขาเบิกตาจนโตอย่างมาก แล้วจ้องไปที่ดวงตาของนาง จนกระทั่งมองไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด
ในนั้นไม่มีดวงดาว ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน้าที่ มีเพียงแค่ภูเขาที่ว่างเปล่าหลังฝนพรำ
ในตอนนี้ ในดวงตาที่แสนงามคู่นี้ก็ยังมีคำพูดมากมาย ยังมีรอยยิ้มอยู่อีกมาก
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงรู้จักดวงตาคู่นี้ เขาไม่อาจจะลืมเลือนดวงตาคู่นี้ไปได้ตลอดกาล เขาเคยคิดว่าตนจะไม่อาจได้สบตาคู่นี้อีก จนกระทั่งถึงเวลานี้นาทีนี้ จนกระทั่งความสงบหลังจากการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยสายฝนและเกล็ดหิมะบนสะพานหน่ายเหอ สายลมพาดพัดเอาผ้าขาวบางที่บดบังใบหน้าคู่ต่อสู้ของเขาลงมา…
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่นั่งอยู่ในสุสานโจว เขาได้รับรู้อย่างแท้จริงว่าอะไรที่เรียกว่าโศกเศร้าราวกับสายน้ำที่ไหลหลากเข้ามา
ในนาทีนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำบรรยายเกินจริงที่เขียนอยู่ในหนังสืออย่างคำว่าราวกับถูกสายฟ้าฟาด อีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่ราวกับว่าเป็นความจริงชนิดหนึ่ง
ในท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากหิมะตก ราวกับเกิดสายฟ้าที่ไร้รูปร่างสายหนึ่ง ฟาดผ่าตรงลงมาที่ร่างของเขา
ร่างของเขาแข็งค้างอย่างหาใดเปรียบ ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ย มือทั้งสองข้างที่จับด้ามกระบี่อยู่เหน็บหนาวไปหมด ในร่างกายกลับร้อนรุ่มอย่างถึงที่สุด
เขาถอนสายตาออกจากดวงตาของนางอย่างยากลำบาก หันตัวไปอย่างโง่งม แล้วมองไปทางท้องฟ้าและสายน้ำสีขาวที่ต้นทางของแม่น้ำลั่ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง มองไปที่นาง อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ทำได้เพียงมองไปที่ต้นทางของแม่น้ำลั่วซึ่งไร้ผู้คนอีกครั้ง เพราะว่าเขากังวลใจที่จะมองนางต่อ ขาทั้งสองข้างที่สั่นเทาอยู่จะพับอ่อนลงไปเลยไหม
มองดูท่าทางโง่ทึ่มของเขา รอยยิ้มในดวงตาของสวีโหย่วหรงก็ยิ่งชัดเจนขึ้น นางยกปากแย้มยิ้ม ในดวงตาปรากฏเป็นดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง
นางเดินไปที่ข้างสะพาน ยืนอยู่ที่ข้างกายของเขา มองไปทางต้นแม่น้ำลั่ว แล้วถามขึ้นอย่างสงบ “มีอะไรน่าดูหรือ”
“เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งพูดกับข้า ในตอนนี้ข้าค่อนข้างสับสน”
ใบหน้าของเฉินฉางเซิงแดงขึ้นมา ไม่ใช่เพราะผลจากดัชนีระลึกจิต แล้วก็ไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่เป็นเพราะความตื่นเต้น
เขามองไปที่แม่น้ำลั่ว สูดดมกลิ่นหอมจางๆ ที่พัดมาจากข้างกาย ก็รู้สึกว่าจิตใจสับสนขึ้นมา และไม่กล้าจะมองไปที่ด้านข้างแม้แต่แวบเดียว
ก่อนเริ่มสู้ เขาเป็นกังวลอย่างมาก ดังนั้นจึงมองหิมะตกลงไปในน้ำจากข้างสะพาน จากจิตใจที่หวั่นไหวก็ได้รับความสงบภายในใจ
แต่ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะมองหิมะตกลงไปในแม่น้ำลั่วอย่างไร ก็ล้วนไม่อาจจะสงบใจลงมา
สวีโหย่วหรงทัดปอยผมตรงขมับไปที่หลังหูอย่างแผ่วเบา มองดูด้านข้างใบหน้าของเขา ไม่อยากให้เขาลำบากใจเกินไป จึงเก็บรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “กระบี่สุดท้ายในตอนก่อนหน้านี้นั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ได้ขยับไปตามตำแหน่งที่เตรียมเอาไว้ในตอนแรกสุด แต่ย้อนกระบี่กลับมาที่หว่างคิ้วอย่างกะทันหัน”
เมื่อพูดถึงกระบี่ขึ้นมา เฉินฉางเซิงก็สงบใจลงไปได้บ้างจริงๆ แล้วก็พูดพึมพำขึ้นมา “ข้าเดาเอา”
ตอนที่ซูหลีสอนเพลงกระบี่รอบรู้ให้เขาก็ได้พูดไว้อย่างชัดเจน ในหลายครั้งก็ต้องใช้การเดา คำพูดนี้ฟังไปแล้วค่อนข้างจะไม่มีเหตุผล แต่ด้วยพรสวรรค์ของสวีโหย่วหรง แน่นอนว่าสามารถจะเข้าใจได้ เดิมทีนางก็ไม่อยากจะหัวเราะเยาะเขา แต่เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงเดาไม่ออกว่าข้าเป็นใคร”
นางพูดอย่างสงบ แต่เมื่อฟังอย่างละเอียดก็ยังมีความคลุมเครืออยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงในตอนนี้ได้ทำอะไรไม่ถูกแล้ว เขาก้มหน้าลงและพูดอะไรไม่ออก
สวีโหย่วหรงก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก นางยืนอย่างสงบอยู่ข้างกายเขา มองดูหิมะที่ตกลงไปในแม่น้ำลั่ว
……
……
ตั้งแต่เริ่มสู้มาจนถึงตอนนี้ ที่สองฝั่งแม่น้ำลั่วได้มีเสียงให้กำลังใจกับเสียงถกเถียงกันดังระงมขึ้นมาโดยตลอด ในตอนที่หมอกหิมะกับหมอกฝนเข้าปะทะกัน หลังจากที่กระบี่จำศีลกับกระบี่ไร้ราคีได้ปลดปล่อยแสงสว่างที่ส่องประกายที่สุด เสียงให้กำลังใจกับเสียงถกเถียงก็ขึ้นไปถึงขีดสุด เหล่าชาวเมืองคนธรรมดาไม่เข้าใจการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ภาพเหตุการณ์ที่สะดุดตาบนสะพานหน่ายเหอ ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาหวั่นไหวแล้ว
การต่อสู้ที่ถูกสายตานับหมื่นจับจ้องได้จบลงแล้ว เสียงชื่นชมกับเสียงถกเถียงกันยังคงดำเนินต่อไป เพราะว่าเหล่าชาวเมืองมองไม่ออกว่า สรุปแล้วเป็นใครกันที่ได้รับชัยชนะในตอนท้ายที่สุด
“ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้าสำนักเฉิน สุดท้ายแล้วไม่ใช่ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่ถอยไปก่อนหรอกหรือ”
“ทั้งสองคนล้วนได้รับบาดเจ็บ เจ้าสำนักเฉินยังได้รับบาดเจ็บหนักกว่าอยู่บ้าง เอาอะไรมาพูดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แพ้แล้ว”
“แต่เจ้าไม่เห็นหรือว่าสุดท้ายแล้วกระบี่ทั้งสองเล่มก็ตกไปอยู่ในมือของเจ้าสำนักเฉิน”
“นั่นจะอธิบายอะไรได้ กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ได้ถูกใช้ออกมา เจ้าได้เห็นเลือดหงส์สวรรค์ในตำนานแล้วหรือ”
“หรือเจ้าสามารถยืนยันได้ว่าเจ้าสำนักเฉินใช้พลังทั้งหมดแล้ว”
ที่ด้านหน้าของเขื่อนไม่นานก็มีข่าวออกมา พูดว่าสวีโหย่วหรงยอมรับว่าพ่ายแพ้ให้กับเฉินฉางเซิง
สองฝั่งแม่น้ำลั่วก็เข้าสู่ช่วงเงียบสงบ ถึงจะค่อยๆ ยอมรับความจริงข้อนี้ได้
“นี่…พวกเจ้ารีบดูบนสะพานเร็ว!”
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนได้มองไปทางสะพานหน่ายเหอที่ไกลออกไป และได้เห็นเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงยืนเคียงข้างกันที่ตรงนั้น ดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยอะไรกันเสียงเบาอยู่ นาทีถัดมาพวกเขาก็ไม่พูดกันอีกแล้ว และยืนอยู่อย่างสงบที่ตรงนั้น ปล่อยให้หิมะโปรยปรายลงมา เพราะว่าระยะห่างค่อนข้างไกล จึงราวกับว่าร่างของพวกเขาล้วนอยู่ติดกันแล้ว
เสียงพูดคุยที่สองฝั่งแม่น้ำลั่วค่อยๆ สงบลง เปลี่ยนเป็นความเงียบอย่างน่าประหลาด ผู้คนมองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอนี้ ก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ยังถือกระบี่ต่อสู้กัน ในตอนนี้กลับยืนเคียงข้างกันมองวิวทิวทัศน์ นี่มันเรื่องอะไรกัน
“นี่…เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออมมือหรือเปล่า”
ในบรรดาชาวเมืองที่ชมการต่อสู้อยู่ที่สองฝั่งแม่น้ำมีเพียงแค่ส่วนน้อยที่สนับสนุนเฉินฉางเซิง ถึงจะเป็นคนเหล่านี้ก็ยังนิ่งเงียบไปแล้ว เพราะมองออกว่า การต่อสู้ครั้งนี้ยอดเยี่ยมเป็นเอก แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เหล่าชาวเมืองไม่เข้าใจถึงความลึกล้ำของเพลงกระบี่ในสายฝนและหิมะพวกนั้น ในตอนนี้ได้เห็นภาพเหตุการณ์บนสะพาน แต่กลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน
ภาพเหตุการณ์บนสะพานหน่ายเหองดงามเป็นอย่างมาก พวกเขาที่ยืนอยู่ด้วยกันภาพนี้ช่างเข้ากัน และสงบเป็นอย่างมาก ผู้คนพยายามที่จะไม่ส่งเสียงไปรบกวน จนกระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ในฝูงคนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วถึงได้ค่อยๆ มีความปลงอนิจจังที่เหมือนกันขึ้นมา
“คู่รักที่ราวกับเทพเซียนเช่นนี้ ทำไมถึงต้องจับกระบี่เข้ามาปะทะกันด้วย”