ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 19 การคุยฟุ้งอย่างไร้เหตุผล
เมื่อเทียบกับชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่ว ผู้คนบนเรือก็ไม่เข้าใจยิ่งกว่า
การต่อสู้จบลงไปพักหนึ่งแล้ว เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงกลับยังไม่เดินลงจากสะพานหน่ายเหอ อีกทั้งยังยืนอย่างสงบอยู่ทางด้านนั้นของสะพาน ไม่รู้ว่ากำลังมองดูอะไรอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเหมาชิวอวี่หรือราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เป็นบุคคลสำคัญเหล่านี้ กระทั่งสวีซื่อจีเองก็ยังคิดว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่รู้จักกัน อีกทั้งพวกเขายังชัดเจนดีถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจะเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างต่อกันจากการประลองกระบี่ในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดการต่อสู้เพิ่งจะจบลง ทำไมพวกเขาถึงยังสามารถยืนอยู่เคียงข้างกันอย่างสงบเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ในตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่
“นี่กำลังทำอะไรกัน” ถังซานสือลิ่วมองเงาหลังของทั้งสองคนที่อยู่บนสะพานหิมะนั่นแล้วพูดขึ้น
ม่ออวี่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ยิ่งนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องคืนนั้นที่สวีโหย่วหรงไปที่สำนักฝึกหลวง ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีปัญหาบางอย่างอยู่ จึงขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ไม่ว่าจะแสร้งทำเป็นโดดเดี่ยวหรือสิ้นหวัง แต่ช่วยสนใจความรู้สึกของผู้ชมอย่างพวกข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
ซูม่ออวี๋ที่อยู่ด้านข้างถามขึ้น “ความรู้สึกอะไร”
ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอ แล้วพูดขึ้น “เมื่อครู่สู้กันอย่างดุเดือดถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าล้วนได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้ก็ยังถูกคนจำนวนมากจับจ้อง ถึงกับมีกะใจจะมาชมหิมะตรงนี้อีก เจ้าไม่รู้สึกว่านี่ช่าง…เช่นนั้นหรือ”
เช่นนั้นคือคำหยาบประโยคหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วกับที่อยู่บนเรือล้วนมีความรู้สึกต่างกันไป แต่ไม่มีใครที่อยากจะด่าด้วยคำหยาบเหมือนกับเขา
เพราะว่าภาพเหตุการณ์บนสะพานหน่ายเหอในตอนนี้ช่างแสนงดงามอย่างมากจริงๆ
……
……
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงยืนอยู่ที่ด้านนั้นของสะพาน ด้านหลังเผชิญกับเรือใหญ่ที่อยู่บนแม่น้ำลั่วลำนั้นกับชาวเมืองที่อยู่บนสองฝั่งจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งดูเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่นางแล้วพูดขึ้น “เจ้า…”
สวีโหย่วหรงไม่ได้มองไปที่เขา แต่กำลังมองไปที่ต้นทางของแม่น้ำลั่ว แล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “อย่าพูด”
เฉินฉางเซิงลังเลอยู่บ้าง แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นข้า…”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วหรือว่าอย่าพูด”
เฉินฉางเซิงก้มหน้าลง แล้วพูดขึ้น “อืม”
สวีโหย่วหรงมองที่หิมะเกล็ดหนึ่งที่โปรยปรายลงมาตรงหน้า แล้วพูดขึ้น “อย่าพูดเรื่องของพวกเรากับผู้อื่น”
ไม่ใช่พูดว่าอย่าพูดไม่ใช่หรือ เฉินฉางเซิงกล้าคิดอยู่แค่ในใจ แล้วก็คิดถึงคำขอของนาง พลันไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“เอ๋”
สวีโหย่วหรงถามขึ้นอย่างกะทันหัน “ดีใจไหม”
เฉินฉางเซิงให้คำตอบออกมาตามตรง “อืม”
สวีโหย่วหรงหันหน้าไปมองเขา แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “โง่จริง”
เฉินฉางเซิงเกาหัว แล้วพูดขึ้น “หา”
“ข้าไปก่อนนะ” สวีโหย่วหรงพูดขึ้น
เฉินฉางเซิงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง จึงพูดขึ้นอย่างร้อนรน “หา?”
สวีโหย่วหรงยื่นมือไปรับกระบี่จำศีล และเดินลงไปทางด้านนั้นของสะพานหิมะ
เฉินฉางเซิงมองไปยังเงาร่างของนางที่ค่อยๆ หายไปในสายลมและเกล็ดหิมะ โดยที่ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบสนองเช่นไร
เขารู้สึกถึงความรู้สึกเหมือนตอนที่รู้สึกที่สุสานโจวเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ความรู้สึกมากมายราวกับสายน้ำที่ถาโถมเข้ามา
ในสายน้ำที่ไหลหลากมาครั้งนี้ไม่ได้มีความเศร้าอีก แต่ก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
เขายืนเซ่อซ่าอยู่บนสะพานหน่ายเหอ มองดูนกกระเรียนขาวบินออกไป ทันใดนั้นก็ได้เห็นลูกมหาวิหคที่เหมือนกับไก่ฟ้าก็ไม่ปานตัวนั้น
ในสายลมและเกล็ดหิมะ ลูกมหาวิหคตัวนั้นหันหัวกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด
เขาหันหน้ากลับมามองแม่น้ำลั่วใหม่อีกครั้ง พิงอยู่ที่รั้ว แล้วก้มหน้าลง
เขาไม่ได้เอามือกุมหน้า และก็รู้ว่าหน้าของตนในตอนนี้ร้อนเป็นอย่างมาก
ที่ไม่ได้เอามือกุมหน้า ยังเป็นเพราะว่าตอนนี้ในมือของเขามีกระดาษแผ่นเล็กอยู่
กระดาษแผ่นเล็กแผ่นนี้เป็นสิ่งที่สวีโหย่วหรงแอบยัดใส่มือของเขา ตอนที่นางรับกระบี่จำศีลไปก่อนหน้านี้
ในหกสำนักไม้เลื้อย ในสำนักของเมืองต่างๆ ในยามที่นอกหน้าต่างงดงามด้วยแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างโต๊ะเรียนก็มักจะมีกระดาษแผ่นเล็กส่งต่อกันไม่หยุด
กระดาษแผ่นเล็กเหล่านั้นก็เหมือนกับแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ในวันนี้ที่สายลมและเกล็ดหิมะสอดประสาน ต่อหน้าชาวเมืองจิงตูนับหมื่น เขาก็ได้รับกระดาษแผ่นเล็กมาแผ่นหนึ่ง
บนกระดาษเขียนสถานที่กับเวลาเอาไว้
เต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลาที่ถนนฝูสุย
วันนี้หลังยามสายัณห์ตะวันรอน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงได้รับกระดาษแผ่นเล็กเช่นนี้
เขานึกย้อนไปถึงนิยายความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเหล่านั้นที่ตนเคยอ่านกับคำสอนตามปกติของถังซานสือลิ่ว ก็คิดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ นี่ก็หมายความถึงการนัดหมายหรือ
สายลมและเกล็ดหิมะยังเหมือนก่อนหน้านี้ สะพานหน่ายเหอพลันค่อยๆ คึกคักขึ้นมา
สวีโหย่วหรงยอมแพ้ หลังจากนั้นก็จากไป ในท้ายที่สุดการต่อสู้ที่มีคนนับหมื่นจับตามองก็จบลงเช่นนี้
ไม่ต้องพูดว่าการต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอในครั้งนี้จะนำพาการเปลี่ยนแปลงแบบใดมาให้การขัดแย้งระหว่างพระราชวังหลีกับราชสำนัก แต่การต่อสู้ในครั้งนี้จะต้องถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ กลายเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของว่าที่ใต้เท้าสังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นก็จะถูกคนพูดถึงจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้ก็มีคนจำนวนมากที่อยากจะรู้รายละเอียดในการต่อสู้ครั้งนี้
โดยเฉพาะถังซานสือลิ่ว
เขาไม่ได้สนใจสายตาของกองทัพนิกายหลวงกับกองทัพอวี่หลินเลย แล้วก็วิ่งขึ้นไปที่สะพานหน่ายเหอราวกับควันสายหนึ่ง เขามองเฉินฉางเซิงอย่างไม่พอใจแล้วถามขึ้น “สรุปใครชนะ”
สภาพจิตใจของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ยังมึนงงอยู่บ้าง เมื่อได้ยินคำถามของเขา จิตใต้สำนึกจึงตอบออกไป “นางไม่ได้แพ้”
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้ออมมือเพราะเห็นว่านางเกิดมางดงาม! ผลคือตอนนี้เจ้าไม่ได้ออมมือ แต่ปากกลับพูดเช่นนี้ นางไม่ได้แพ้หรือว่าเจ้าเป็นฝ่ายแพ้” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างโมโห “สวีโหย่วหรงยอมรับว่าตนเองแพ้แล้ว เจ้ายังคิดจะหลอกข้าอีก!”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้โมโหถึงเพียงนี้ ในใจคิดว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นเพื่อนของข้าหรือว่าไม่ควรจะดีใจหรอกหรือ
“ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะนางได้ ก่อนเริ่มประลองทำไมให้ข้าไปลงเดิมพันว่าเจ้าแพ้ สรุปแล้วเจ้ามีความหมายอย่างไร”
เมื่อถังซานสือลิ่วคิดถึงเรื่องนี้ก็โมโหขึ้นมาอีก จึงพูดขึ้น “เจ้าเป็นหมูหรือ!”
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แล้วก็นึกไปถึงเรื่องมากมาย จึงพูดขึ้นอย่างละอายใจ “ใช่ ข้าเป็นหมู”
ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้งไป ตอนนี้ถึงได้พบว่าเขามีปัญหาอยู่บ้าง มองดูแล้วก็ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
……
……
ภายใต้การจับจ้องของชาวเมืองจิงตูจำนวนนับไม่ถ้วนกับเสียงให้กำลังใจจากสองฝั่งถนนที่อยู่ข้างทาง พวกของเฉินฉางเซิงก็กลับมาถึงสำนักฝึกหลวงแล้ว
ที่หอสุรานอกกำแพงสำนักแขวนโคมหลากสีเอาไว้ เสียงพิณบรรเลงขึ้นมา เพราะพวกอาจารย์กับนักเรียนกำลังฉลองชัยชนะของเจ้าสำนักอย่างภูมิใจและมีความสุข
หลังจากเฉินฉางเซิงกลับเข้าห้องไป ก็ไม่ได้ออกมาอีกเป็นเวลานาน
ถังซานสือลิ่ว ซูม่ออวี๋ และเซวียนหยวนผ้อยืนกันอยู่ที่ด้านล่าง มองไปยังหน้าต่างชั้นสาม ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย
ท้ายที่สุดเฉินฉางเซิงได้ชัยชนะในการต่อสู้ที่ทั่วทั้งโลกจับตามอง อีกทั้งยังชนะอย่างงดงาม ไม่มีจุดใดที่จะประณามได้เลย แต่ทำไมบนใบหน้าของเขาถึงมองไม่เห็นสีหน้าที่ผู้ชนะควรจะมีเลย ต่อให้เขากับสวีโหย่วหรงจะเคยมีสัญญาหมั้นกันมาก่อน บางทีความรู้สึกก็อาจจะซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ไหนเลยจะถึงขั้นนี้
บนสะพานหน่ายเหอเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เฉินฉางเซิงพบเจอกับปัญหาอะไร
“ให้คนผู้หนึ่งที่มีโรครักความสะอาดยอมรับว่าตนเป็นหมู…”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่หน้าต่าง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ดูท่าว่าเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาเลย”