ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 2 คำสั่งสอนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่ม่ออวี่จัดวางอาหารเสร็จ ก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของสวีโหย่วหรง
ทั้งสองคนสบตากัน แล้วแย้มยิ้มขึ้นน้อยๆ
สถานการณ์ที่ประหลาดเช่นนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน แต่พวกนางเคยชินตั้งแต่แรกแล้ว
ก็เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เหนียงเหนียงทานอาหาร นางมีความเข้มงวดอย่างมาก จึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดพูดขึ้นมา สามารถทำได้เพียงแค่พูดคุยกันผ่านการส่งสายตา
สวีโหย่วหรงกับม่ออวี่ไม่รู้ว่าใช้การส่งสายตาสื่อสารกันมากี่ครั้งแล้ว จึงรู้ใจกันตั้งแต่แรก พวกนางสามารถมองออกอย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
เพียงแต่ในตอนนั้น เนื้อหาที่สื่อสารกันก็มักจะเป็นอาหารจานไหนอร่อย อาหารจานไหนไม่อร่อย ดูเหมือนว่าเหนียงเหนียงในวันนี้จะอารมณ์ดี ลิ้นนางแอ่นก็ถูกคีบไปถึงสามครั้งแล้ว เมื่อคืนวานเหนียงเหนียงพูดว่าจะปลดตำแหน่งของประธานองคมนตรี ดูเหมือนว่าจะเอาจริง ไม่เช่นนั้นทำไมวันนี้ถึงได้อารมณ์ขุ่นมัวถึงขนาดน้ำแกงเส้นมรกตที่นางเคยชอบที่สุดก็ยังดื่มไม่ลง แต่ในวันนี้พวกนางกำลังสื่อสารเรื่องอื่นกัน
ม่ออวี่มองนางแล้วกะพริบตา นี่ก็เป็นการถามนางว่าสรุปแล้วนางคิดอย่างไรกับสัญญาหมั้นที่มีกับเฉินฉางเซิงฉบับนั้น
ดวงตาของสวีโหย่วหรงเหลือบลง ไม่ได้สนใจ เพียงแต่ตำแหน่งนิ้วมือที่จับตะเกียบอยู่ได้เลื่อนมาด้านหน้าอยู่หลายส่วน
ม่ออวี่สังเกตเห็นรายละเอียดนี้ แล้วเริ่มเห็นใจเฉินฉางเซิง
นางจำได้อย่างชัดเจน ในตอนเด็กตอนที่สวีโหย่วหรงไม่พอใจ ตอนที่จับตะเกียบจิตใต้สำนึกจะเผลอออกแรง ดังนั้นก็จะยิ่งร่นขึ้นมาที่ด้านหน้า มีอยู่ปีหนึ่งที่นางเห็นสวีโหย่วหรงตัวน้อยจับตะเกียบเช่นนี้ ช่วงบ่ายของวันนั้น ในตำหนักที่ผิงกั๋วพักอยู่ ก็มีงูที่ไร้พิษโผล่ขึ้นมาหลายสิบตัว หลังจากนั้นในตอนกลางคืนใบหน้าของผิงกั๋วก็ถูกวาดเป็นตัวตลกในคณะละคร…
……
……
เหล่าขันทีนางกำนัลล้วนยืนเฝ้าไกลออกไปจากนอกตำหนัก และไม่ได้แปลกใจต่อสถานการณ์ภายในตำหนัก สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
คนที่มีคุณสมบัติจะทานอาหารร่วมกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่ไม่มาก สวีโหย่วหรงก็เป็นคนหนึ่งในนั้น
นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ของนางในตอนนี้ ตั้งแต่ยังเล็ก เหนียงเหนียงก็มักจะรับนางเข้าวัง หลังจากนั้นก็ทานอาหารร่วมกัน ในตอนนั้นนอกจากสวีโหย่วหรง ยังมีม่ออวี่ องค์หญิงผิงกั๋วกับเฉินหลิวอ๋อง ภายหลังเมื่อเฉินหลิวอ๋องอายุได้สิบหกปี ก็อยู่พักภายในพระราชวังน้อยครั้งเป็นอย่างมาก เวลาที่ร่วมทานอาหารกับเหนียงเหนียงเองก็น้อยลง ส่วนองค์หญิงผิงกั๋ว…พูดกันว่าเมื่อคืนนี้นางไปไหว้พระที่วัดบนภูเขาตะวันตกที่นอกเมือง จะเป็นใครก็ล้วนเข้าใจ นั่นเป็นเพราะองค์หญิงไม่อยากพบกับสวีโหย่วหรงที่ทำให้นางอิจฉาริษยาอยู่หลายปี ก็เลยหลบออกไปเช่นนี้
เมื่อทานอาหารเที่ยงเสร็จ ม่ออวี่ก็อยู่ภายในตำหนักต่อเพื่อจัดการฎีกา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นแล้วพูดกับสวีโหย่วหรง “ตามข้ามา”
สวีโหย่วหรงตามนางไป โดยตรงไปยังสถานที่ที่สูงที่สุดในจิงตู
ยืนอยู่บนแท่นกานลู่ มองดูตลาดที่อยู่ในจิงตู มองดูสุสานเทียนซูที่ไกลออกไป สวีโหย่วหรงนึกถึงเรื่องราวการเล่นสนุก ณ ที่ตรงนี้ในสมัยเด็ก ใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา
“นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเจ้าในวันนี้”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไพล่มือทั้งสองข้าง นางยืนอยู่ที่ขอบของแท่นการลู่ โดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา
สวีโหย่วหรงเก็บรอยยิ้มลง แล้วเดินไปที่ด้านหลังของนาง พลางพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “มีความกดดันมาอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร”
แน่นอนว่านี่เป็นการพูดถึงการรับตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “ที่เรียกว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงแค่เทวรูปเท่านั้น ด้วยความสามารถสติปัญญาของเจ้า ยังมีอะไรที่ทำได้ยากอีก”
สวีโหย่วหรงรู้ว่านี่เป็นความคิดที่เหนียงเหนียงมีต่อตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ จึงยิ้มขึ้นมาและไม่ได้พูดอะไร
“ข้ากลับพอจะรู้ว่าความกดดันของเจ้ามาจากที่ใด” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หันมามองนาง คิดถึงคืนนั้นในตำหนักเย็นที่เห็นภาพภายในสวนโจวที่ด้านบนของสระน้ำ มองนางแล้วพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คำว่ารักนั้นทำร้ายคนที่สุด สามารถเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสียเถิด”
สวีโหย่วหรงค่อนข้างจะตกตะลึง นางรู้สึกได้ว่าเหมือนเหนียงเหนียงจะมองอะไรบางอย่างออก เพียงแต่…เรื่องนั้นไม่มีทางจะมีผู้ใดรู้เลยนะ ก็แม้แต่เขา…ก็ยังไม่รู้เลยไม่ใช่หรือ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ สายตาได้มองข้ามบ่าของนางไปหยุดอยู่ที่ยอดเขาทางใต้ที่เกือบจะถูกหิมะขาวปกคลุมเหล่านั้น แล้วถามขึ้น “ก่อนที่นางจะจากไป มีอะไรที่จะพูดกับข้าไหม”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นอย่างสงบ “อาจารย์พูดว่า หวังว่าเหนียงเหนียงจะไม่หมกมุ่นกับเรื่องของบ้านเมืองเกินไปนัก ให้ใช้ชีวิตของตนให้มากเสียบ้าง”
เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็ไม่ค่อยจะพอใจ นางจึงพูดขึ้นเสียงเย็น “ช่างโง่เขลาเสียจริง”
เรื่องเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของตน ถึงแม้สวีโหย่วหรงจะจนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจจะไม่แก้ตัวให้สักสองสามคำ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “คิดถึงเมื่อตอนนั้น องค์หญิงใหญ่อยู่ที่ดินแดนต้าซีมีความยอดเยี่ยมจนเกินไป ผลคือนางถูกน้องชายแท้ๆ ของตนระแวงจนถึงขั้นหวาดกลัว เจ้าสวะนั่นสุดท้ายแล้วถึงขนาดที่มองนางเพียงแวบเดียวก็อกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายแล้วนางก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เป็นเพราะท่าทีของบิดามารดาจึงค่อนข้างจะท้อแท้ใจ ถึงได้แต่งงานไกลไปถึงเมืองไป๋ตี้…ในตอนนี้ดูแล้ว อาจารย์ของเจ้ากับนางก็โง่เขลาเช่นเดียวกัน”
สวีโหย่วหรงคิดอย่างเงียบๆ ถ้าหากองค์หญิงใหญ่กลายเป็นจักรพรรดินีของดินแดนต้าซี กับการเป็นราชินีของเมืองไป๋ตี้ในตอนนี้ ชีวิตแบบไหนที่จะมีความสุขมากกว่ากัน นอกจากตัวนางแล้ว ใครจะสามารถพูดได้กัน
“หากสตรีต้องการจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้ล้วนไม่ง่าย คิดจะมีตำแหน่งเป็นของตัวเองก็ยิ่งไม่ง่าย คิดจะเหมือนกับพวกข้า สามารถยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุด นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าปัญญาอ่อนอู๋ฉยงปี้นั่น พรสวรรค์กับสติปัญญาของอาจารย์เจ้าก็สามารถพูดได้ว่าเป็นยิ่งกว่าหนึ่งในหมื่น เดิมทีข้าคิดว่านางจะไม่เหมือนกับสตรีที่โง่เขลาเหล่านั้น ผลลัพธ์ล่ะ สตรีที่ฉลาดถึงเพียงนี้ ทำไมถึงได้ข้ามผ่านด่านความรักไปไม่ได้กัน”
สีหน้าของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างน่าประหลาด พลางพูดขึ้น “อะไรเรียกว่าใช้ชีวิต อาศัยอะไรทำไมสตรีถึงทำได้เพียงใช้ชีวิต”
สวีโหย่วหรงนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้เรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงพูดขึ้นเสียงเบา “อาจารย์อาซูพูดไว้ เหนียงเหนียงจะต้องพูดเช่นนี้เป็นแน่ แม้แต่ถ้อยคำก็ยังไม่แตกต่างเลย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “หือ? เช่นนั้นหนูน้อยซูพูดว่าอย่างไร”
ในโลกนี้ ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เหยียบเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ซูหลีกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้เมื่อเทียบกับใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็เป็นผู้เยาว์กว่าครึ่งรุ่น และก็เป็นเพราะท่าทีที่ซับซ้อนของซูหลี นอกจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้แล้ว เมื่อนักปราชญ์คนอื่นพูดถึงคนผู้นี้ ก็ล้วนเรียกเขาว่าหนูน้อยซู เช่นนี้ถึงจะสามารถแสดงถึงความไม่พอใจของพวกเขาที่มีต่อซูหลีอยู่บ้าง
เพราะว่าในสายตาของพวกเขา ซูหลีก็เป็นตัวปัญหา
“อาจารย์อาซูให้ข้าพูดกับเหนียงเหนียงท่านว่า…” สวีโหย่วหรงมองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นต่อ “การเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ง่าย เหตุใดยังต้องฝืนเป็นอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ซูหลีฝากมา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็เงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความใจกว้างและดูถูก
“เหนียงเหนียง ท่านก็อย่าโทษอาจารย์เลย นางสามารถพูดให้อาจารย์อาซูไปท่องเที่ยวกับนางได้ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อนเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอำนาจของราชสำนักต้าโจวหรือของเทียนหนาน ล้วนอยู่ในการเตรียมการที่เกี่ยวข้อง ดูเหมือนจะยืนยันแล้วว่าการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้จะต้องเกิดขึ้น ในตอนนั้นก็มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจ กระทั่งรวมไปถึงบุคคลสำคัญอย่างเซวียสิ่งชวนก็รู้ว่าจะต้องดำเนินการแต่กลับคิดไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าซูหลียังอยู่ที่เขาหลีซาน ทำไมตอนที่นักปราชญ์ผลักดันเรื่องนี้ กลับไม่มีการคำนึงถึงท่าทีของเขาแม้แต่น้อย
ที่แท้ เป็นเพราะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้พูดกล่อมให้เขาออกห่างจากบุญคุณความแค้นในโลก ไม่ต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้อีก
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ผ่านด่านความรักไปไม่ได้ ที่จริงแล้วซูหลีก็ใช่ว่าจะสามารถข้ามผ่านไปได้
คำว่าความรักนั่นก็คือพันธนาการ ซึ่งก็คือเงื่อนไขข้อแรกของการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้
คำพูดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งกร้าวและถากถางเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีความปลงอนิจจังอยู่ “ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของอาจารย์เจ้าก็ล้วนเฝ้าอยู่ในเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขากลับกินดื่มเที่ยวเล่นอยู่ที่ภายนอก ใช้ชีวิตอย่างอิสระมานานปีถึงเพียงนี้ มีองค์หญิงเผ่ามารมาเป็นคนรัก แล้วยังมีลูกสาวอีก อะไรก็ไม่ได้พลาดไปเลย สุดท้ายเที่ยวเล่นจนเบื่อแล้ว ก็กลับมาหานางอีก หลังจากนั้นก็ไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันอย่างงดงามเช่นนั้น ล้วนพูดกันว่าปกครองประเทศเหมือนการเดินหมาก ก็ถือว่าใช่แล้วกัน ข้าเองก็ไม่มีทางจะแลกเปลี่ยนกับศัตรูเช่นนี้ เพราะว่ามันไม่คุ้มกัน”
บนโลกใบนี้คนเพศเดียวกันที่สามารถสื่อสารกับนางอย่างเท่าเทียมในโลกแห่งจิตวิญญาณนี้มีไม่เกินสองคน ในตอนนี้ก็น้อยลงไปคนหนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นเพราะผู้ชายซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นางไม่อาจรับได้ที่สุด
สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบกลับ เพราะว่าคนที่พูดเป็นผู้อาวุโสของนาง และก็เป็นเพราะ…อันที่จริงบางครั้งนางก็คิดเช่นนี้
“นางก็จากไปเช่นนี้แล้ว ทิ้งเด็กสาวอย่างเจ้าเอาไว้ หรือว่านางจะไม่กังวลใจเลย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปทางสวีโหย่วหรง แล้วเลิกคิ้วพูดขึ้น “สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นข้าที่ต้องมาเป็นห่วง เมื่ออยู่กับผู้ชายก็กลายเป็นคนโง่ไปแล้วจริงๆ แต่ต่อกรกับข้าก็ฉลาดเสียยิ่งกว่าใคร”
สวีโหย่วหรงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “อย่างไรเสียข้าก็ถูกเหนียงเหนียงสั่งสอนมาจนโต เหนียงเหนียงสั่งสอนเพิ่มอีกสักหลายปีก็ดีเหมือนกัน”
“ไม่ใช่สอน แต่เป็นการคบหากัน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองหน้าแล้วพยักหน้า นี่คือการเคารพ
สวีโหย่วหรงตกตะลึง หลังจากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว แล้วทำความเคารพกลับอย่างจริงจัง
นางไม่ใช่นักปราชญ์ แต่ก็เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้แล้ว
ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป นางกับเหนียงเหนียงก็จะพูดคุยกันอย่างเท่าเทียม ต่อให้เป็นความเท่าเทียมเพียงฉากหน้าก็ตาม
“ในเมื่อเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ เจ้าก็ต้องครุ่นคิดแทนคนในแดนใต้ นี่ถึงจะเป็นพื้นฐานของเจ้า ต่อให้…ในอนาคตจะต้องคัดค้านข้า”
“เข้าใจ”
“ก็เหมือนในตอนแรกสุดที่พูด ผู้ชายนั้นทนมองให้พวกเราอยู่อย่างสูงส่งไม่ได้ ดังนั้นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หลายรุ่นก่อนหน้าอาจารย์เจ้าโดยพื้นฐานแล้วก็ออกจากสถานศึกษาหนานซีกันน้อยมาก ที่แสดงออกมาคือการวิเคราะห์แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ลืมเลือนกิเลส ที่จริงแล้วพวกนางก็ชัดเจนอย่างมาก รักษาสภาพการดำรงอยู่ของตนก็ดีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้การดำรงอยู่ของตนแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากเจ้าไม่อยากจะกลายเป็นเทวรูป เช่นนั้นก็อย่าทำเช่นนี้”
“เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร”
“พวกผู้ชายไม่ชอบให้พวกเราอยู่อย่างสูงส่ง พวกเราก็จะอยู่อย่างสูงส่ง อีกทั้งยังจะเหยียบย่ำจนพวกเขาพูดไม่ออก คิดจะต่อต้านก็ไม่กล้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
สวีโหย่วหรงรู้ว่าประโยคที่ดูหยาบคายนี้คือเจตจำนงของเหนียงเหนียง เป็นการเตือนถึงชีวิตเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางหลังจากนี้ แต่ว่า…ที่ยิ่งกว่าก็คือการร้องขอถึงการต่อสู้ในอนาคตนั่น
นางไม่สามารถแพ้ให้กับเฉินฉางเซิง
……
……
เฉินฉางเซิงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ข้างทะเลสาบในสำนักฝึกหลวง
นกกระเรียนขาวยืนอยู่ที่ข้างกายเขา และก็กำลังเหม่อลอยเช่นกัน
เกล็ดหิมะเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ลงมาบนร่างของนกกระเรียนขาว ทำให้ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ แต่เมื่อหล่นลงบนตัวเขา ก็ราวกับโศกเศร้าจนผมขาว
“จะทำอย่างไรดีเล่า” เขามองนกกระเรียนขาวแล้วถามขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม “ถ้าหากไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้จริงๆ แล้วจะต้องต่อสู้กับนาง จะต่อสู้อย่างไร”
นกกระเรียนขาวเอียงคอเล็กน้อยแล้วมองเขา ราวกับกำลังพูดว่า เรื่องนี้เจ้าควรจะไปถามนาง ไม่ใช่มาถามข้า
เขาลองคิดอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายก็พูดกับตัวเองเสียงเบา “ถ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็แพ้ให้กับนางหรือ”
……
……
ท่ามกลางหิมะน้อยๆ สวีโหย่วหรงถือร่มคันหนึ่งเดินอยู่บนถนนในจิงตู
ไม่มีศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีสักคนอยู่ข้างกาย และก็ไม่มีนักบวชของพระราชวังหลีหรือองครักษ์ของพระราชวัง นางเดินอยู่เพียงลำพัง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในวันนี้นางถึงไม่ได้แปลงโฉมของตน จึงงดงามราวเทพเซียนก็ไม่ปาน แต่กลับไม่ได้ดึงดูดสายตาของผู้ใด และยิ่งไม่ถูกใครล่วงรู้ถึงสถานะ
ผู้คนที่อยู่ในแผงอาหารข้างทาง คนงานที่นั่งยองๆ กินบะหมี่อยู่ที่ธรณีประตู ราวกับล้วนมองไม่เห็นนางที่อยู่ภายใต้ร่ม
บางทีเป็นเพราะร่มที่อยู่ในมือนางคันนี้นั้นไม่ธรรมดา…ดูแล้วร่มค่อนข้างจะเก่าอยู่บ้าง มีสีเทาเรียบๆ ซึ่งก็คือร่มกระดาษทองคันนั้น