ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 21 ยกมือขอลาหยุด
เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในตรอก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เดินออกจากตรอกมา เขายืนอยู่ที่หน้าปากทาง แสดงให้เห็นถึงความมึนงง…เพราะว่าเขาเดินไปเดินมาในตรอกอยู่สองรอบ ได้เห็นร้านอาหารอยู่หลายร้าน แต่กลับไม่เห็นร้านเต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลาอะไรที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นเล็กเลย
เช่นนั้นก็รอให้นางมาหรือ เขายืนอยู่ที่ปากทาง ทันใดนั้นก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา หรือว่านางจะลงโทษความโง่เขลาของเขา ดังนั้นจึงจงใจแกล้งตนเล่น ใช่ น่าจะเป็นเช่นนี้แล้วละ ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้ทิ้งสถานที่ที่ไม่มีอยู่ไว้ในกระดาษแผ่นเล็ก
ในใจของเขาค่อนข้างจะซับซ้อน หิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คนที่เดินอยู่ตามถนนก็พากันเดินหลบไป วันนี้เพราะงานเลี้ยงที่พระราชวังหลีนั่น คนจำนวนมากจึงไปดูเรื่องสนุกที่ถนนเสินกันแล้ว การทำมาค้าขายของร้านอาหารที่อยู่ในถนนฝูสุยก็เทียบไม่ได้กับตามปกติ ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเงียบเหงา เขาไม่ได้จากไป แล้วก็ยืนรออยู่ที่ปากทางท่ามกลางหิมะ
……
……
ที่สองฝั่งของถนนเสินตรงพระราชวังหลีนั้นแขวนโคมไฟเอาไว้ เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา ชาวเมืองจิงตูที่มารอชมเรื่องสนุกก็น้อยลงไปบ้าง คนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้เหล่านั้น มองดูขบวนรถม้าอันหรูหราที่มาจากตำหนักและจวนขุนนางต่างๆ ก็ยังรู้สึกว่างานในครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย งานเลี้ยงในคืนนี้จัดอยู่ที่ตำหนักแสงสว่าง ซึ่งมีนักบวช ขุนนางใหญ่ และผู้คนของแต่ละตำหนักแต่ละสำนักมายืนอยู่จนเต็มแล้ว และตำหนักที่แสนเงียบสงบที่อยู่ด้านหลังตำหนักแสงสว่างก็ยังคงเงียบสงบเหมือนกับตามปกติ
ใต้เท้าสังฆราชในวันนี้จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ชุดผ้าป่านที่อยู่บนร่างถูกเปลี่ยนเป็นชุดคลุมเทพที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว มือขวายกกระบวยขึ้นมา และรดน้ำให้กับใบไม้ครามที่อยู่ในกระถาง มองดูใบไม้ครามที่ในตอนนี้กำลังเจริญงอกงาม ใบหน้าของผู้เฒ่าก็ปรากฏรอยยิ้มที่ปลื้มใจขึ้นมา เขาหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ข้างกระถางมาเช็ดมือทั้งสองข้าง
หลายครั้งก่อนตอนที่เฉินฉางเซิงมาที่พระราชวังหลี ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของใบไม้ครามกระถางนี้แล้ว เขาไม่เข้าใจ ในเมืองโลกใบไม้ครามเป็นเหมือนกับสวนโจว ซึ่งล้วนเป็นเศษเสี้ยวช่องว่างที่มั่นคง ไม่อาจจะขยายใหญ่ขึ้นมาได้ เช่นนั้นใต้เท้าสังฆราชดูแลให้มันเติบโตอย่างใส่ใจถึงเพียงนี้ หรือว่าเพียงเพื่อให้ประตูที่เข้าสู่โลกใบไม้ครามมั่นคงขึ้นมา หรือจะพูดว่าตามการเจริญงอกงามของใบไม้ครามกระถางนี้ ประตูบานนั้นที่เชื่อมระหว่างโลกใบไม้ครามกับโลกหลักจะใหญ่ขึ้น
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงต้องการให้ประตูของโลกใบไม้ครามใหญ่ขึ้นเล่า
“อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ใหญ่โตเกินไป ท่านจะไม่คิดอยู่อีกสักหน่อยหรือ”
เหมาชิวอวี่ยืนอยู่ที่ด้านหลังของใต้เท้าสังฆราชอย่างสงบ สีหน้ามีความเคารพเป็นอย่างมาก แขนเสื้อทั้งสองข้างไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย
ใต้เท้าสังฆราชวางผ้าขนหนูลง แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ได้ฟังเจ้าบรรยายการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ ข้าพบว่าเด็กผู้นี้เป็นที่พึ่งได้มากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ เจ้าก็เคยพูด ลำพังพูดถึงศักยภาพกับอนาคต ยากที่จะหาผู้ที่ยอดเยี่ยมกว่าเขาได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าส่งมอบนิกายหลวงให้กับเขา ก็สามารถที่จะวางใจได้”
เหมาชิวอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ท่านพูดถูกแล้ว เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรของหลิงไห่กับซือหยวนล้วนอยู่สูงกว่าเฉินฉางเซิงไปไกล อีกทั้งพวกเขาในตอนนั้นก็ได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนจากท่าน ข้าคิดว่า พวกเขาน่าจะไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้”
ใต้เท้าสังฆราชเดินกลับไปบนแท่น หยิบเอามงกุฎเทพที่อยู่บนแท่นแก้วมาสวมไว้บนศีรษะ แต่กลับไม่ได้หยิบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของอำนาจในนิกายหลวงมาด้วย พลางเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ก็ถือว่าข้าเห็นแก่ตัวเถิด อย่างไรเสียผู้สืบทอดสายตรงของนิกายหลวงในตอนนี้ก็มีเพียงแค่เด็กคนนี้ อีกทั้งในอนาคตเขายังต้องเจอกับตัวเลือกที่ยากลำบากที่สุดในโลก หมดหนทางอย่างน่าผิดหวังที่สุด ความโศกเศร้าอย่างที่กรีดลึกลงไปในกระดูกที่สุด เช่นนั้นแล้วสถานะนี้ ก็คือว่าข้ามอบให้เขาเป็นการปลอบใจ และก็เป็นผลตอบแทนที่นิกายหลวงควรมอบให้กับเขา”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาค่อยๆ หันกาย แล้วเดินออกไปทางกำแพงหินที่หนาวเหน็บแถบนั้น ตามการก้าวเดิน กำแพงหินค่อยๆ เปิดออก ปลดปล่อยแสงสว่างอย่างไร้ขีดจำกัด
……
……
นี่เป็นไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่เคยส่องสว่างจิงตูอยู่ที่ขอบของแท่นกานลู่ เพราะว่าวันเวลาและลมฝนจึงทำให้ค่อยๆ หมดแสงลง ดังนั้นจึงถูกเก็บลงมา แล้วเอามาแขวนในตำหนักแห่งหนึ่งของพระราชวังเพื่อใช้ส่องสว่าง ถึงแม้ไข่มุกราตรีเม็ดนี้จะไม่ได้ส่องแสงเจิดจ้าเหมือนในตอนแรกอีกต่อไปแล้ว แต่สำหรับการตรวจฎีกาบนโต๊ะ ก็ถือว่าสว่างอย่างหาใดเปรียบแล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กำลังอ่านตรวจฎีกา ในเวลาเดียวกันก็ฟังเสียงคำพูดเหล่านั้นที่สะท้อนดังอยู่ในตำหนัก
หัวหน้าขันทีที่แก่ชราผู้นั้นโค้งกายลงมา ใช้นำเสียงที่นุ่มนวลบรรยายรายละเอียดของเรื่องการต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอเมื่อตอนเช้าออกมารอบหนึ่ง
การต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง เกิดขึ้นหลังจากช่วงเช้าตรู่ไม่นาน แต่ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าสังฆราชหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนเป็นตอนที่เกือบจะหัวค่ำแล้ว ถึงได้ให้คนมารายงานให้ฟังอย่างละเอียด นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามีความเห็นต่างจากทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ อันที่จริงนักปราชญ์ทั้งสองท่านนี้ไม่ได้ใส่ใจกับการต่อสู้ในครั้งนี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจะเป็นคนรุ่นหลังที่พวกเขาเชื่อมั่นที่สุด จากบางมุมมองแล้ว ก็เป็นผู้สืบทอดของพวกเขา แต่ในสายตาของพวกเขา เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
“…กระบี่จำศีลมาจากสระกระบี่ แน่นอนว่าเจ้าสำนักเฉินจะต้องมีแผนรับมือ ก่อนหน้านี้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะชัดเจนในเรื่องนี้ดี จึงมีการเตรียมการเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงยังไม่ได้จัดการให้ได้ในการโจมตีเดียว เฉินฉางเซิงใช้บาดแผลที่ไหล่ซ้ายเป็นค่าตอบแทน ฝืนแย่งการควบคุมกระบี่จำศีลไป และก็ยังสกัดดัชนีระลึกจิตของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเหนือความคาดหมาย ถ้าหากเป็นการประชันกระบี่ ก็นับว่าชนะไปครึ่งก้าว แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้อย่างแท้จริง ปล่อยให้ดำเนินต่อไป เขาก็ไม่น่าจะมีโอกาสชนะ เพียงแต่…เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้จากไปเช่นนั้นเลย”
หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ หัวหน้าขันทีก็เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถอยไปอยู่ที่ด้านหลัง
สีหน้าของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เปลี่ยนไป ตอนที่หัวหน้าขันทีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูหลายครั้ง นางก็เป็นเช่นนี้ ในการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ พรสวรรค์และสติปัญญาที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงแสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะสั่นสะท้านคนจำนวนมากได้แล้ว แต่ไม่ได้รวมถึงนาง มีเพียงตอนที่นางได้ยินว่าสวีโหย่วหรงบรรลุเพลงกระบี่จรัสแสงแล้วเท่านั้นที่เลิกคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ช่างเป็นเด็กสาวที่ดื้อรั้นเสียจริง”
นางโยนฎีกาลงไปบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูตำหนัก เอามือไพล่หลังแล้วมองท้องฟ้ายามราตรีที่ไกลออกไปซึ่งพอจะเห็นแสงของดวงดาวได้อยู่ ที่นั่นก็น่าจะเป็นพระราชวังหลี
ก็เป็นในตอนนี้เอง ม่ออวี่พลันรีบร้อนเข้ามา สีหน้าแสดงให้เห็นว่าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก และนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั่นมารายงานให้กับนาง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปทางพระราชวังหลี มุมปากยกเป็นรอยยิ้มบางๆ สายตากลับมีเพียงความเรียบเฉย “ยิ่งน่าสนใจขึ้นมาแล้ว”
……
……
การต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอจบลงแล้ว การวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังกลับยากจะสงบลงในเวลาอันสั้น เนื้อหาหลักที่เหล่าบุคคลสำคัญในตำหนักแสงสว่างกำลังพูดคุยกัน ก็ยังวนอยู่กับเรื่องนี้ ด้วยสายตาและระดับของบุคคลสำคัญเหล่านี้ หลังจบเรื่อง เมื่อใจเย็นลงมา ลองคิดดูก็จะเข้าใจ สวีโหย่วหรงไม่ได้ใช้สายเลือดหงส์สวรรค์ ก็เป็นการจงใจควบคุมให้ตนเองอยู่ในระดับเดียวกับคนทั่วไป คิดจะอาศัยความสามารถของตัวเองจริงๆ เอาชนะเฉินฉางเซิงโดยไม่ใช้พรสวรรค์ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินฉางเซิงเอาชนะอย่างไม่เป็นธรรม เพราะว่าพวกเขาก็ชัดเจนอย่างมาก เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ยกตัวอย่างเช่นในการต่อสู้กลางสายฝนที่เมืองสวินหยาง วิธีการที่เขารับกระบี่ของจูลั่วไปแต่ก็ยังไม่ตาย
ก็เป็นในตอนนี้เอง ในตำหนักแสงสว่างพลันมีเสียงดนตรีที่น่าเกรงขามและมีเมตตาดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน กำแพงหินที่อยู่ด้านในสุดได้เปิดออก แสงสว่างได้กระจายออกมารอบด้าน รูปสลักหินทั้งสองด้านในตำหนักได้สะท้อนแสงออกมา ผู้คนที่อยู่ในตำหนักรีบจัดชุดของตน เรียงลำดับกันอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งทำความเคารพอย่างนอบน้อมกับใต้เท้าสังฆราชที่เดินออกมาจากแสงสว่างตรงกำแพงหิน
ภายใต้การห้อมล้อมของหัวหน้าขุนพลกับใต้เท้ามุขนายกหลายท่าน ใต้เท้าสังฆราชได้เดินขึ้นไปที่แท่นสูง แน่นอนว่านักพรตซือหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่ก็อยู่ในนั้น มุขนายกแห่งตำหนักอิงหัวอย่างเหมาชิวอวี่ก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังสุด ที่ทำให้ทุกคนค่อนข้างจะตกตะลึงก็คือ ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของนิกายหลวงด้ามนั้น ในตอนนี้ถูกเขาประคองอยู่ในมือทั้งสองข้าง
ไม่มีขั้นตอนใดๆ ที่ซับซ้อนยืดยาว เหมาชิวอวี่เริ่มต้นประกาศความชอบที่เฉินฉางเซิงได้ทำไว้ให้กับนิกายหลวง ตั้งแต่การสอบใหญ่จนถึงสุสานเทียนซู จากสวนโจวมาถึงสะพานหน่ายเหอเมื่อเช้านี้ กระทั่งแม้แต่นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง…เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องห้ามของนิกายหลวง…ก็กลายมาเป็นความชอบเรื่องต้นๆ ของเขาแล้ว
เดิมทีก็เป็นงานฉลองของนิกายหลวง ที่ฉลองแน่นอนว่าเป็นความชอบของเฉินฉางเซิง เหมาชิวอวี่ประกาศเรื่องเหล่านี้ ทุกคนล้วนคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาล่วงหน้า เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ นอกจากเหมาชิวอวี่กับใต้เท้าสังฆราชแล้ว ไม่มีเลยสักคนที่จะคาดคิด
หลังจากที่เหมาชิวอวี่ประกาศความชอบของเฉินฉางเซิงจบ ก็ไม่ได้เหมือนกับที่ทุกคนคิดเอาไว้ว่าเขาจะประกาศรางวัลที่นิกายหลวงมีให้เขาโดยตรงเช่นนั้น แต่กลับเดินไปที่ข้างกายของใต้เท้าสังฆราชอย่างสงบ ท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของทุกคน ใต้เท้าสังฆราชพลันยื่นมือไปรับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ แล้วพูดขึ้น “ขอมอบของสิ่งนี้ให้กับเขา”
ในตำหนักแสงสว่างพลันเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีสักคนเลยที่พูดออกมา เพราะว่าผู้คนล้วนตกตะลึงเกินไปแล้ว
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้เขาก็เป็นศิษย์หลานของใต้เท้าสังฆราช เพียงแค่ไม่มีคนรู้ว่า หลังจากเรื่องที่สุสานเทียนซู ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้ถึงการเตรียมการของใต้เท้าสังฆราช รู้ว่าเฉินฉางเซิงจะกลายมาเป็นใต้เท้าสังฆราชในรุ่นถัดไป แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงการคาดเดาหรือจะพูดว่าเป็นการอนุมาน
วันนี้การคาดเดาได้รับการยืนยันแล้ว การอนุมานก็กลายเป็นความจริง
ใต้เท้าสังฆราชได้มอบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนอำนาจของนิกายหลวงให้กับเฉินฉางเซิง นี่ก็เป็นการประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ว่าเขาก็คือผู้สืบทอดของตน
ความเงียบในตำหนักแสงสว่างก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่น่าประหลาดและก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดคลื่นลมอะไรขึ้นมา ไม่มีใครกล้าจะขัดขวางเจตนารมณ์ของใต้เท้าสังฆราชในที่นี้ เพียงแค่ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองออกมาอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล แต่เกิดขึ้นก่อนที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้มาก จึงไม่ตกตะลึงไม่ได้
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะสิบหก
ผู้ที่เคยถูกทั่วทั้งดินแดนต้าลู่คิดว่ามีความหวังมากที่สุดที่จะได้รับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์และสืบทอดตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชอย่างนักพรตซือหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่ สีหน้าก็ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เดิมทีพวกเขาคิดว่าอย่างน้อยตนก็ยังมีเวลาอีกสิบกว่าปีที่จะมาเปลี่ยนใจใต้เท้าสังฆราช แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ใต้เท้าสังฆราชจะไม่เหลือเวลาใดๆ ให้กับพวกเขาเลย
พวกเขาชัดเจนอย่างมาก ว่าทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงเลือกเวลานี้มายืนยันถึงสถานะผู้สืบทอดของเฉินฉางเซิง
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน กลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงอย่างพวกเขากับผู้ที่สนับสนุนพวกเขา บางทีอาจจะยังพูดได้ว่าเฉินฉางเซิงอายุน้อยเกินไป ต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกหน่อยมาเป็นข้ออ้าง เพื่อยื้อเวลาที่ใต้เท้าสังฆราชจะตัดสินใจออกไป แต่ในตอนนี้ดินแดนต้าลู่มีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ผู้หนึ่งที่อายุสิบหกปี จะมีผู้สืบทอดตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชที่มีอายุสิบหกปีขึ้นมาอีกคนก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ในวันนี้ว่าที่ใต้เท้าสังฆราชผู้นี้เพิ่งจะเอาชนะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ผู้นั้นไป
ความเงียบในตำหนักได้ดำเนินต่อไป ผู้คนค่อยๆ รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก ต่อให้ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองเช่นไร เช่นนั้นแล้วเฉินฉางเซิงล่ะ
ต่อให้เขาจะตกตะลึงอย่างมาก ในตอนนี้ก็น่าจะลุกขึ้นมากล่าวขอบคุณความกรุณาของใต้เท้าสังฆราช หลังจากนั้นก็รับคำอวยพรจากผู้คนในตำหนักถึงจะถูก
สายตาของเหมาชิวอวี่กวาดผ่านในตำหนักไปรอบหนึ่ง ที่คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นมา พลางถามขึ้นอย่างนึกไม่ถึงอยู่บ้าง “เฉินฉางเซิงเล่า”
ท่ามกลางฝูงคนตรงมุมหนึ่งในตำหนักพลันมีมือข้างหนึ่งชูขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงที่ไม่ค่อยสงบนักดังขึ้น
“เขา…เขา…เขา…ในตอนเที่ยงดีใจมากเกินไปจึงกินเข้าไปมาก แล้วเกิดท้องเสียขึ้นมา และวานให้ข้าขอลาหยุด…กับทุกคน”
งานเลี้ยงฉลองของนิกายหลวงในวันนี้ ในตอนที่ใต้เท้าสังฆราชมอบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ให้กับมือ เพื่อยืนยันตำแหน่งผู้สืบทอดของนิกายหลวง…คนผู้นั้นถึงกับไม่อยู่
ในตำหนักแสงสว่างพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา ฝูงคนแยกออกราวกับสายน้ำ และเผยตัวคนที่เพิ่งพูดผู้นั้นออกมา
ถังซานสือลิ่วกำลังก้มหน้า และยกมืออยู่