ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 23 นั่งหันหน้าเข้าหากัน แทะซี่โครง
โต๊ะเตี้ยในร้านอาหารนี้สะอาดมาก ไม่มีฝุ่นอยู่ที่ขอบโต๊ะซึ่งเป็นจุดที่มีฝุ่นสะสมได้อย่างง่ายดาย แม้กระนั้นเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็ไม่ได้นั่งลง เมื่อได้ยินเสียงโต้เถียงดังขึ้นจากด้านหลัง ก็ยากนักที่พวกเขาจะไม่รู้สึกเขินอาย ครั้นเถ้าแก่มาถึง บรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้จึงได้บรรเทาลงไปบ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะร่มกระดาษทอง หรือไม่ก็เป็นเพราะมุมที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างมืดสลัว เถ้าแก่จึงไม่อาจจดจำทั้งสองได้ เถ้าแก่ยิ้มกว้างถามขึ้น “มิทราบว่าแขกทั้งสองท่านต้องการจะทานอะไรบ้าง ร้านของเรามีอาหารหลักคือซี่โครงสารพัดชนิด มีจานไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่”
เฉินฉางเซิงมองไปทางสวีโหย่วหรงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม รอฟังว่านางจะมีความเห็นใดหรือไม่ ทว่าสวีโหย่วหรงก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“แขกทั้งสอง…. เอาเป็นว่าพวกท่านสั่งน้ำแกงกระดูกหมูมาดื่มอบอุ่นร่างกายก่อนระหว่างที่ค่อยๆ คิดว่าจะทานอะไรดีหรือไม่”
เถ้าแก่รู้สึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากทำกิจการร้านอาหารอยู่ในจิงตูมาหลายปี ได้พบเห็นสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาแล้ว จึงไม่เอามาคิดใส่ใจให้มากจนเกินไป
ได้ยินคำคำหนึ่งในคำพูดของเถ้าแก่ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เอา เอาเป็นเนื้อซี่โครงดีกว่าไหม”
ส่วนหลังของประโยคนั้นย่อมต้องถามถึงความเห็นของสวีโหย่วหรง สวีโหย่วหรงไม่มีความเห็นใด นางคิดถึงบทสนทนากับเขาในสวนโจวอย่างไรก็จำไม่ได้ว่าเขามีปัญหากับเนื้อหมูที่ใด แล้วเหตุใดถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ นางละก็อดสงสัยไม่ได้
เถ้าแก่เป็นคนตรงไปตรงมาและทำงานว่องไว หลังจากเพิ่มของเรียกน้ำย่อยเข้าไปอีกสองสามรายการ ก็ถอยกลับเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหาร ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ที่โต๊ะเตี้ยในมุมนั้นต่อไป สวีโหย่วหรงกะพริบตา เสียงถกเถียงของโต๊ะตรงข้ามก็เงียบไป นางมองเขาและถามคำถามที่อยู่ในใจ
“ไม่ได้แสลงแต่อย่างไรหรอก… เพียงแต่…”
เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงใจ “ถังซานสือลิ่วบอกว่าข้าเป็นหมู ข้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นหมูจริงๆ เหตุนี้จึงไม่อยากกินหมูนับตั้งแต่นั้นมา”
สวีโหย่วหรงเข้าใจความหมายของเขา ก็คลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ทันใดนั้นนางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วถาม “เจ้าบอกถังถังหรือ”
“ไม่ เขาเรียกข้าว่าหมูด้วยสาเหตุอื่น” เฉินฉางเซิงอธิบาย
หลังจากการพูดคุยเล็กน้อยนี้ บรรยากาศรอบโต๊ะเตี้ยก็เงียบงันยิ่งกว่าเดิม ลูกค้าที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งยังคงเถียงกันอย่างดุเดือด ทว่าเสียงของพวกเขามิอาจรอดผ่านเข้ามาได้ แม้แต่เสียงพายุหิมะด้านนอกร้านก็ไม่อาจมาถึงโต๊ะเตี้ยนี้ได้ มีแต่เสียงแตกของเนื้อไม้ของโต๊ะเตี้ยนี้เท่านั้นที่ดังให้ได้ยิน แต่ในความจริงนั้นเสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่คนธรรมดาสามัญจะสามารถได้ยิน
“คนผู้นั้นพูดผิด”
สวีโหย่วหรงมองไปยังโต๊ะอีกตัว จากนั้นก็หันกลับมาหาเขาและพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้ออมมือให้เจ้าที่สะพานหน่ายเหอ ข้าจริงจังมาก”
นางต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเพราะมันคือความจริง เพราะนี่แสดงถึงความนับถือที่นางมีต่อเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงตอบ “แม้ว่าข้าจะคำนวณและวางแผนให้เสมอกัน การบรรลุ พรสวรรค์และความเข้าใจของข้านั้นต่างก็ล้วนด้อยกว่าเจ้า หากมิใช่ข้าทุ่มเทเต็มกำลังคงไม่อาจเสมอกับเจ้าได้”
“ข้าอยากจะสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรมและเที่ยงตรง”
สวีโหย่วหรงกล่าวต่ออย่างสุขุม “ไม่ว่าจะในสวนโจวหรือในอนาคต ข้าก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ดังนั้นหลังจากเข้าสู่จิงตู… ข้าจึงไม่ได้ไปพบเจ้า”
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดนางจึงได้ปกปิดเรื่องนี้จากเขา
พวกเขาคนหนึ่งจะเป็นสังฆราชคนต่อไป อีกคนก็เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง และทั้งคู่ต่างก็เป็นตัวแทนของสองอำนาจใหญ่แห่งนิกายหลวงและราชสำนัก ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกเขาต่างก็เป็นศัตรูกัน แต่หากเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้อย่างดุเดือดเฉกเช่นที่สะพานหน่ายเหอในวันนี้ จะเป็นเช่นนั้นไม่ว่าในตอนนี้หรือในอนาคตอีกยาวไกล
เขาไม่อาจมองนางเป็นศัตรูได้ และก็เชื่อว่านางรู้สึกเช่นเดียวกัน
“แต่เจ้ายังไม่ได้ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา”
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางและกล่าวต่อ “หากข้าจำไม่ผิด ในสวนโจว โลหิตของเจ้าได้ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
สวีโหย่วหรงยืนยัน “ใช่แล้ว”
เฉินฉางเซิงกล่าว “หากเจ้าใช้โลหิตหงส์สวรรค์ ข้าคงไม่อาจสู้เจ้าได้”
สวีโหย่วหรงตอบ “เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะเอาชนะเจ้าเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงลังเล จากนั้นก็ตอบไป “ความจริงแล้ว… ข้าอยากเห็นเจ้ากางปีกหงส์ ข้าคิดว่าต้องงดงามมากเป็นแน่”
มีหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอบรมสั่งสอน ไม่จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากถังซานสือลิ่ว แม้แต่คนที่พูดจาไม่เก่งก็มีบางคราที่เอ่ยวาจาอันสวยงามออกมาได้…
…ยิ่งเป็นยามที่อยู่ตรงหน้าคนที่เขาหวังจะแสดงความรักความหวังดีให้ด้วยเช่นนี้
สวีโหย่วหรงคิดในใจ เจ้าเคยเห็นแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าหลับอยู่
เป็นเพราะคำพูดหวานหูที่ยากจะพบได้จากเฉินฉางเซิง นางจึงรู้สึกเขินอายและเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้าเองก็ใช้แค่กระบี่เดียว”
นางรู้ดีกว่าใครในโลกว่ากระบี่ทั้งหมดในสระกระบี่นั้นอยู่ในมือของเฉินฉางเซิง นั่นจึงเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
“ต่อให้หมื่นกระบี่โจมตีพร้อมกัน ก็ไม่อาจต้านทานเพลงกระบี่จรัสแสงของเจ้าได้”
เฉินฉางเซิงมองเข้าไปในดวงตาของนางและถอนหายใจอย่างชื่นชม “เจ้าเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง”
สวีโหย่วหรงมองกลับไปยังดวงตาดำขลับของเขาและถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “เจ้าสัมผัสไม่ได้จริงหรือ”
“สัมผัสอะไร”
“เพลงกระบี่จรัสแสงแฝงไว้ด้วยเจตจำนงดาบ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็ตกใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วจึงได้คิดย้อนกลับไป เพลงกระบี่จรัสแสงไม่ใช่เพลงกระบี่ที่ล้ำลึกที่สุดในโลกหรอกหรือ เจตจำนงดาบแบบใดกันที่สามารถควบคุมมันได้
“ข้าใช้เคล็ดวิชาดาบสองท่อนเปลี่ยนเจตจำนงดาบให้กลายเป็นเจตจำนงกระบี่ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นข้าถึงจะใช้เพลงกระบี่จรัสแสงออกมาได้อย่างเต็มฝืน”
สวีโหย่วหรงกล่าวต่อ “ข้าต้องขอบคุณเจ้าเช่นกันที่ปะทะเจตจำนงกระบี่กับข้า หาไม่แล้วข้าคงไม่อาจทำความเข้าใจเพลงกระบี่นี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน”
ได้ยินคำว่า ‘เคล็ดวิชาดาบสองท่อน’ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกตกใจ คิดว่าเคล็ดวิชาดาบสองท่อนนั้นยังใช้ไม่ได้เป็นการชั่วคราวมิใช่หรือ เมื่อได้ยินส่วนหลังของคำพูด เขาก็เข้าใจว่าถึงแม้เขาจะไม่เคยใช้เคล็ดวิชาดาบสองท่อน แต่มันก็พยศและก้าวร้าวจนสามารถแทรกตัวเองเข้ามาในหมู่เจตจำนงกระบี่ของเขา บนสะพานหน่ายเหอ สวีโหย่วหรงสามารถรับเพลงดาบเอาไว้ได้ นางได้รับมันและผสานเข้ากับเจตจำนงดาบที่เขาแผ่ออกมา และสามารถหยั่งรู้ถึงเจตจำนงดาบได้เล็กน้อย จากนั้นจึงได้แสดงเพลงกระบี่จรัสแสงออกมา
ในสายตาของผู้คนมากมาย การต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอในวันนี้ได้เป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ มากมาย ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสวีโหย่วหรง นอกจากจะได้ต่อสู้อย่างสมใจแล้ว ในการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอนี้ ยังได้เข้าใจถึงความลึกล้ำของเคล็ดวิชาดาบสองท่อน จนสามารถได้รับโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการทำความเข้าใจเพลงกระบี่จรัสแสง
เมื่อเฉินฉางเซิงคิดเรื่องนี้ ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชมในตัวนาง แต่ก็รู้สึกว่าไม่สมควรอยู่บ้าง เขาคิดว่า ทำไมต้องรีบร้อนจนถึงกับทำเรื่องอันตรายเช่นนั้นด้วย หากในการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ นางไม่อาจบรรลุถึงแก่นแท้ของเคล็ดวิชาดาบสองท่อนและไม่อาจเข้าใจเพลงกระบี่จรัสแสงได้ ประกอบกับความเป็นไปได้ที่เขาอาจพลั้งมือ ผลลัพธ์คงเลวร้ายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
ไม่จำเป็นต้องเอ่ย สวีโหย่วหรงเพียงมองเห็นสายตาห่วงใยก็เข้าใจได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางจึงอธิบายอย่างสุขุม “ข้าคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์และยังอ่อนแอที่สุดอีกด้วย อาจารย์จากไปแล้วและจักรพรรดินีก็เป็นชาวโจว ดังนั้นข้าต้องแสดงพลังออกมาโดยเร็วที่สุด”
เป็นคำกล่าวที่เรียบง่าย ถึงขนาดเรียกได้ว่าห้วนไปบ้าง แต่ก็จริงใจอย่างมาก
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ส่วนใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว อาจารย์ของนางก็เป็นนักปราชญ์ที่สามารถสยบมรสุมแปดทิศได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นยอดฝีมือที่จะก้าวสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อีกเพียงครึ่งก้าว นางเป็นคนเดียวที่กลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในวัยเพียงสิบหกปี และยังไม่บรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวเลย
ในฐานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และหนานซีย่อมเงียบเฉย แล้วนางต้องรับแรงกดดันมากเพียงไหน ต้องเผชิญกับบททดสอบเช่นไร
เฉินฉางเซิงมองไปยังไหล่ที่ผอมบางอ่อนแอของนาง ก็พลันนึกถึงบทสนทนาที่พวกเขาพูดกันในสวนโจว ในตอนนั้น นางพูดว่านางได้แบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ซึ่งยากแสนเข็ญยิ่งนัก นางหวังว่าจะเลี่ยงมันได้ เขาเชื่อว่านางเป็นผู้มีพรสวรรค์ของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์และมีความรับผิดชอบใหญ่หลวงในการฟื้นฟูเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ เขาจึงพยายามคลายความกังวลของนาง ทว่าบัดนี้รู้แล้วว่านางคือร่างกำเนิดของหงส์สวรรค์ เป็นความหวังของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แบกรับความรับผิดชอบที่จะช่วยเหลือโลกมนุษย์ในการต่อต้านเผ่ามาร ในตอนนี้เขาจะช่วยบรรเทาความกังวลของนางได้อย่างไร
‘เจ้าสามารถให้ข้าช่วยรับมือเรื่องบางอย่างได้ในอนาคต’
‘ข้าทำได้’
‘ข้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง”
‘ในอนาคตจะได้เป็นสังฆราช’
ภายในใจ เขาคิดถึงคำพูดเหล่านี้และพยายามที่จะปรับลำดับคำพูด เขาไม่อาจสลัดความรู้สึกที่ว่านี่เป็นวิธีการพูดจาแบบถังซานสือลิ่ว ในตอนที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น…
“เนื้อซี่โครงต้นตำรับ ท่านทั้งสองเชิญตามสบาย”
เถ้าแก่เข้ามาขัดการสนทนาที่สำคัญต่ออนาคตของโลกมนุษย์นี้ด้วยหม้อซี่โครงที่มีควันลอยกรุ่น
ซี่โครงของร้านนี้ไม่เหมือนกับร้านอื่น เพราะซี่โครงจะตุ๋นในครัวเสียก่อน จึงตักใส่หม้อให้ลูกค้า แม้จะทำให้เสียรสชาติไปบ้างแต่ก็สะอาดกว่ามาก ไม่แปลกเลยที่โต๊ะเตี้ยเหล่านี้ถึงได้สะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นให้เห็น
ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องเคียงมากมายก็ถูกยกออกมาและทั้งสองก็เริ่มรับประทาน
บางทีอาจเป็นเพราะรสชาติที่ดีเหลือเกิน หรือไม่ก็เพราะซี่โครงนี้หอมเกินไป และทานได้ยากมาก เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจึงไม่พูดอะไรกันเป็นเวลานาน
ในมุมอันเงียบงัน มีเพียงเสียงแตกของไม้ภายในโต๊ะเตี้ยและเสียงตะเกียบกระทบชามดังขึ้นให้ได้ยิน
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เฉินฉางเซิงก็เงยหน้าขึ้นมอง ในตอนนี้เองที่เขาเพิ่งจะตระหนักว่านางไม่ได้สวมชุดนักบวช อันที่จริงนางไม่ได้ใส่ชุดสีขาวด้วยซ้ำ แต่เป็นเสื้อนวมผ้าฝ้าย เขาจำได้ว่าตอนอยู่ในเมืองสวินหยาง เขาคุ้นเคยกับชุดนักบวชของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็จำได้ว่าในวัดข้างถนนหญ้าขาว นางได้บอกไว้ว่าในยามที่นางเติบโตขึ้นมา มีกฎการทานอาหารสองสามอย่าง และนางไม่ได้รับอนุญาตให้พูด ความเงียบงันนี้เป็นสิ่งที่นางคุ้นเคยเช่นนั้นหรือ
เช่นนั้นข้าก็ควรทานในแบบที่นางคุ้นเคย อย่างน้อยจะได้ไม่ทำให้นางรู้สึกอึดอัด
เฉินฉางเซินคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ยกตะเกียบขึ้น หากแต่จ้องมองนาง
เพราะนางช่างงดงามอย่างแท้จริง
ควันที่ลอยฟุ้งจากหม้อ ดูคล้ายกับหมอกฝนและหิมะบนสะพานหน่ายเหอ ในควันนั้นใบหน้าของนางดูงดงามเกินบรรยายราวกับภาพวาด
อย่างไรก็ตาม นางในตอนนี้ไม่เหมือนกับนางหงส์ตามคำร่ำลือแม้แต่น้อย
ร่างผอมบางของนางนั้นถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเสื้อนวม ความเจิดจ้าเหนือคนทั้งปวงหายไป เหลือไว้เพียงแค่สาวน้อยธรรมดาคนหนึ่ง
นางก้มหน้าเป่าควันอย่างแผ่วเบา และแทะซี่โครงอย่างระมัดระวัง ช่างเป็นภาพที่น่ารักประดุจลูกอสูรตัวน้อยๆ
ซี่โครงตุ๋นนั้นถูกนางกินไปด้วยท่าทางที่งดงาม ราวกับนางกำลังกินขนมที่ทำอย่างประณีตของแดนใต้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะกินอย่างงดงาม ความเร็วนั้นก็ไม่ได้น้อยเลย ในเวลาไม่นานโต๊ะตรงหน้านางก็มีกระดูกที่สะอาดสะอ้านกองสูงอยู่
ใบหน้านางแดงเรื่อเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะความร้อน หรือเพราะว่านางเขินอาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่านางสัมผัสได้ว่าเขาจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา