ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 26 เข้าสู่ตำหนักในคืนหิมะโปรย
นี่เป็นคำตอบที่ทำให้อีกฝ่ายพูดอะไรไม่ออกได้อย่างง่ายดาย
ดังที่ถังซานสือลิ่วบอกไว้ เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั้นเป็นพวกที่ชอบทำให้คนอื่นพูดอะไรไม่ออก
บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ เมื่อสวีโหย่วหรงได้ยินคำตอบของเฉินฉางเซิง นางจึงไม่ประหลาดใจและยิ่งไม่รู้สึกโกรธ ในทางกลับกันนางรู้สึกพึงพอใจ
เขาเพียงจำได้ว่าหลังยามสายัณห์ตะวันรอน ก็ต้องไปกินเต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลาที่ถนนฝูสุย แม้ว่าพวกเขาจะมาจบที่การกินเนื้อซี่โครงก็ตาม เขานึกถึงบทสนทนาที่มีในสุสานโจว จึงแบ่งสมบัติและทองคำเป็นสองส่วน และใช้ส่วนของเขาไปซื้อทุ่งหญ้าที่ตอนล่างของแม่น้ำแดง แม้ว่านางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ก็ตาม เขาจำได้เพียงว่าได้สัญญาไว้กับนางว่าเขาจะจบการหมั้นหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่สนคำนินทาต่อว่าของผู้คน ขอร้องให้ใต้เท้าสังฆราชทำลายสัญญาหมั้นหมาย แม้ว่าเรื่องพวกนี้จะดูงี่เง่าในตอนนี้และเขาก็กำลังพยายามที่จะเอาหนังสือสัญญาคืนมา…
ทำเรื่องผิดพลาดไปบ้างก็ไม่สำคัญ ลืมบางอย่างไปบ้างก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือจำบางอย่างได้เท่านั้นก็พอ
คำตอบของเฉินฉางเซิงและกลิ่นของเนื้อซี่โครงในหม้อทำให้สวีโหย่วหรงไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่ส่งกระดาษนั้นให้เขาบนสะพานหน่ายเหอ
นางพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “อร่อยมาก ขอบคุณเจ้า”
กล่าวแล้วนางก็ลุกขึ้นเก็บโฉนดที่ดินทุ่งหญ้าและหยิบร่มกระดาษทองขึ้นจากพื้นและเดินออกจากร้านอาหาร
เสียงอื้ออึงดังขึ้นในทันทีและเฉินฉางเซิงก็สะดุ้งเล็กน้อย ครั้นเขามองนางยกผ้าม่านเดินออกไป ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ว่าเขามีของอีกอย่างที่สำคัญมากจะมอบให้นาง เขารีบตามนางไป แต่เมื่อเผชิญกับความหนาวเย็นและหิมะที่โปรยปรายบนถนนที่มืดมิด เขาจะมองหาร่างของนางพบได้อย่างไร
เขาจ้องมองไปยังสร้อยลูกปัดหินบนข้อมือและคิดว่า ของสำคัญอย่างยิ่ง ข้าต้องไม่ลืมในครั้งหน้า
จากด้านข้างเสียงเถ้าแก่ร้านดังขึ้น “คุณลูกค้า ยังมีเนื้อซี่โครงเหลืออยู่ ท่านจะเอากลับหรือว่าจะท่านต่ออีกหน่อย”
เฉินฉางเซิงหันกลับไปก็เห็นหน้าเถ้าแก่ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก หลังจากจ้องมองเขาอยู่ชั่วขณะ เขาก็ตระหนักได้ว่าเถ้าแก่กังวลว่าเขาจะไม่ยอมจ่ายเงิน
เถ้าแก่ถูมือมองดูเขาอย่างเป็นกังวล
…
เฉินฉางเซิงถือห่อใส่เนื้อซี่โครงที่เหลือกลับมายังสำนักฝึกหลวง
ในความมืดมิด ป่าข้างทะเลสาบในฤดูหนาวดูน่ากลัวอยู่บ้าง ด้วยที่หิมะตกลงมาปกคลุมกิ่งไม้เอาไว้ จึงดูน่ากลัวน้อยลงมาหน่อย ลึกเข้าไปในป่า เสียงระเบิดดังออกมาอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยประกายแสงที่บางอย่างยิ่งราวกับฟ้าผ่าอยู่เป็นระยะ นั่นคือการฝึกวิชาของเซวียนหยวนผ้อ
ซูม่ออวี๋อยู่ในหอสมุดกำลังสอนนักเรียนใหม่ เจ๋อซิ่วที่กำลังฟื้นฟูร่างกายก็ฝังร่างอยู่ในกองหิมะลับจิตวิญญาณของตน มีเพียงถังซานสือลิ่วที่ไม่ได้ออกไปหรืออยู่ในห้องของตัวเอง แต่กลับมาอยู่ในห้องของเฉินฉางเซิงเพื่อรอเขากลับมา
ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เขากังวลว่าเฉินฉางเซิงหายไปไหน หรือเพราะว่าการสอดรู้ความลับของเจ้าหมอนี่จะทำให้เขารู้สึกโกรธราวกับเทพเจ้า แต่เป็นเพราะของที่อยู่ในมือซึ่งเขาต้องมอบให้กับเฉินฉางเซิงด้วยตัวเองก่อนถึงจะสบายใจได้
แม้แต่คนที่รวยที่สุดในใต้หล้าก็ยังพบว่าตนเองนั้นไร้กำลังที่จะชดเชยหากทำของสิ่งนี้หายไป
เพราะนี่คือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนอำนาจของนิกายหลวง ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจหาซื้อได้
ถังซานสือลิ่วนั่งอยู่ในห้องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ครั้นคิดถึงภาพอันน่าอับอายในพระราชวังหลี คิดถึงสายตาเหล่านั้นอันเป็นเฉกเช่นกระบี่ที่ทำให้หลังของเขาเจ็บอยู่เนืองๆ จนถึงบัดนี้ กอรปกับคิดว่าเฉินฉางเซิงไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เขายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเฉินฉางเซิงกลับมาถึงห้อง ย่อมเป็นธรรมดาที่จะได้เห็นใบหน้าซึ่งบูดเบี้ยวอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้ปกปิดความจริงเอาไว้ เมื่อเขาเห็นสีหน้าของถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงจึงรู้สึกไม่สบายใจ เขาวางห่ออาหารลงบนโต๊ะ ทำเป็นไม่เห็นถังซานสือลิ่วที่นั่งบนเตียง แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ใช่พวกบ้าความสะอาด เขาพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “เนื้อซี่โครงของถนนฝูสุยนั้นรสชาติดีทีเดียว”
“รสชาติไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของใต้เท้าสังฆราชนั้นดีกว่า”
สีหน้าปั้นยากของถังซานสือลิ่วหายไปไหนก็ไม่ทราบ ทว่าความเย็นชาในน้ำเสียงบ่งบอกถึงโทสะได้อย่างง่ายดาย
เฉินฉางเซิงรับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์มาอย่างตกตะลึง แม้ว่าถังซานสือลิ่วจะเคยคาดเอาไว้และบอกต่อเขามาก่อน เฉินฉางเซิงก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
ถังซานสือลิ่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือ”
เฉินฉางเซิงมองดูเขาและตอบ “ข้าไปทานข้าวกับคนผู้หนึ่งมา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“แต่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจบอกข้าได้กระนั้นหรือ”
“อื้อ”
“เจ้าไปกินข้าวกับใครมา”
“บอกไม่ได้…”
เฉินฉางเซิงรู้สึกตึงเครียด แต่เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปยังภาพที่สวีโหย่วหรงนั่งดื่มสุราอยู่ตรงหน้า เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วก็สูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอดและถาม “สตรีหรือ”
เฉินฉางเซิงถามอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วเย้ย “เห็นหน้ายิ้มแป้นที่แสดงอารมณ์ออกมาหมดดุจหนังสือที่เปิดทิ้งไว้ของเจ้า คงมีแค่เซวียนหยวนผ้อเท่านั้นแหละที่มองไม่ออก”
เฉินฉางเซิงรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะตอบอย่างไร
“สามวัน เต็มที่แค่สามวัน” ถังซานสือลิ่วกัดฟันประกาศออกมา “ข้าจะต้องหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เจ้าเพิ่งพบสวีโหย่วหรง แต่แทนที่จะหลงเสน่ห์นาง เจ้ากลับไปกับหญิงอื่น ข้าสงสัยเหลือเกินว่านางหน้าตาเช่นไร”
เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนและยังไม่พอใจอยู่บ้าง เขาเอ่ยถาม “เหตุใดข้าถึงไปพบกับสวีโหย่วหรงมาไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วตอบหน้าตาย “สวีโหย่วหรงยอมพบเจ้าตามลำพังรึ ว่าเป็นลูกนอกสมรสของซูหลียังน่าเชื่อกว่า”
เฉินฉางเซิงคิดดูแล้วก็กล่าวขึ้น “หากเป็นเช่นนั้น เจ๋อซิ่วไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่เขยหรอกหรือ”
ถังซานสือลิ่วระเบิดหัวเราะออกมา จากนั้นเมื่อเขาคิดบางอย่างขึ้นมาได้รอยยิ้มก็หายไป
เขามองหน้าเฉินฉางเซิงและกล่าว “เจ้ารู้จักพูดเล่นเป็นแล้ว และก็ตลกมากด้วย… เจ้าจบสิ้นแล้ว”
เฉินฉางเซิงสงสัยจึงถาม “อะไรนะ”
ถังซานสือลิ่วพูดกับเขาด้วยสายตาสงสาร “ดูเหมือนว่าเจ้าจะหลงรักสตรีนางนี้เข้าแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นคนอย่างเจ้าจะเปลี่ยนไปเพียงนี้ได้อย่างไร ในอนาคต จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง”
…
เฉินฉางเซิงนอนอยู่บนเตียงกลิ้งไปกลิ้งมาจนดึกดื่นค่อนคืนแต่ก็ไม่อาจหลับลง
หลังจากอายุสิบขวบ นอกเหนือจากตอนที่เพิ่งมายังจิงตูและดึงดูดแสงดาว แต่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขานอนไม่หลับ
คำพูดสุดท้ายของถังซานสือลิ่วประดุจได้เปิดม่านที่ปิดอยู่ ให้แสงดาวสาดส่องลงมาบนพื้นที่ราบหิมะในกายเขา เผยอารมณ์ทั้งมวลออกมาใต้แสงดาว
ในช่วงครึ่งปีหลังจากที่ออกมาจากสวนโจว เขาก็มักจะคิดถึงนางอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยามนั่งอยู่บนต้นไทรย้อยริมทะเลสาบหรือท่ามกลางหินยักษ์ในสุสานโจว แต่กระนั้นที่เขาไม่เข้าใจก็คือ… การคิดถึงความคิดถึงนั้นเป็นเช่นไร จนกระทั่งวันนี้บนสะพานหน่ายเหอเมื่อเขาเห็นผ้าขาวบางหลุดออกและได้สบตากับนาง โดยเฉพาะในยามที่อยู่ในร้านอาหาร ภาพของนางที่อยู่ในชุดนวมใหญ่หนา ริมฝีปากเล็กที่จิบสุราและกัดแทะซี่โครง นั้นต่างไปจากสวนโจวราวกับคนละเรื่อง แต่กระนั้นมันก็จริงเหลือเกิน รู้สึกดีจนทำให้เขาอยากจะเข้าใกล้นางยิ่งกว่านี้
ดังนั้นความคิดถึงนี้จึงกลายเป็นความจริงและมีน้ำหนักขึ้น
ความคิดถึงที่จริงแท้และมีน้ำหนักเช่นนี้เรียกว่าการโหยหา และหากเริ่มรู้สึกโหยหาแล้ว ก็ยากที่จะหลับลง
เฉินฉางเซิงเป็นคนที่พูดช้าแต่ลงมือเร็ว ดังนี้แล้ว ในเมื่อเขาอยากเห็นหน้านางและนอนไม่หลับ เขาก็ควรไปหานาง
สวีโหย่วหรงบอกเขาว่าไม่ให้บอกใครเรื่องที่พวกเขารู้จักกัน ดังนั้นเขาไม่อาจไปพบนางตามวิธีปกติได้ แต่ต้องลอบไปพบนาง
เขาลุกจากเตียงและสวมเสื้อผ้า บินผ่านหน้าต่างไป ครั้นผ่านป่าก็ใช้กุญแจเปิดประตูลับในกำแพงตำหนักที่ถูกปกปิดเอาไว้อย่างดีด้วยไม้เลื้อย จากนั้นเดินเข้าไป
เขาเปิดประตูหนัก มองเข้าไปในตำหนักที่ปกคลุมไปด้วยความมืด เขารู้สึกเป็นกังวลมากขนาดที่เสียงผิวปากของเขานั้นฟังดูแหบแห้ง
เขาเป็นคนหนุ่มที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย แทบไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ แม้เขาจะแอบเข้าวังหลวงอยู่หลายครั้ง แต่สถานการณ์ในครั้งนี้ต่างไปจากในอดีต ใต้เท้าสังฆราชเพิ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการในคืนนี้ว่าเขาเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง และตอนนี้เขาก็บุกรุกเข้ามาในวังหลวงตอนดึกดื่นเที่ยงคืน หากถูกใครพบเห็นเข้าต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
เมื่อหิมะตกลงมาช้าๆ กำแพงสีแดงและชายคาสีเหลืองของวังหลวงก็ถูกห่อหุ้มด้วยสีขาว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูหิมะผ่านหน้าต่าง ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน นางถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนเราจะมีความกล้ามากที่สุดตอนไหน”
การบรรจบกันของเหนือใต้นั้นใกล้เข้ามา ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องมากมายที่ต้องเตรียมการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ม่ออวี่อยู่ร่วมกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จนดึกดื่นเพื่อดูแลเรื่องต่างๆ และค่อนข้างเหนื่อยล้า เมื่อได้ยินคำถามอันกะทันหัน นางก็ตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนตอบด้วยเสียงเบา “ยามเผชิญกับความตายกระมัง”
“นั่นก็ไม่ผิด แต่ยังมีสถานการณ์อื่นอีก… ยามมีความรัก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปนอกหน้าต่างยังตำหนักอันมืดมิดและกล่าวต่อ “พูดอีกอย่างก็คือ เมื่อมึนเมาด้วยตัณหา”
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหิมะและแสงจากโคมไฟมากมาย ในวังหลวงดูประหนึ่งทิวาวาร หาใช่ราตรีไม่ ทำให้วัตถุสีดำนั้นดูน่าโดดเด่นมากขึ้น
เมื่อเฉินฉางเซิงมองเห็นแพะดำเดินออกมาจากสวนที่เต็มไปด้วยหิมะช้าๆ เขาก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
เขาบอกแพะดำถึงสาเหตุที่เข้ามา
แพะดำมองดูเขาสองครั้งจากนั้นก็หันกลับและเดินไป ผ่านไปครู่หนึ่งมันก็ชี้เข้าไปยังตำหนักหนึ่ง ครั้นแล้วหันกลับอันตรธานไปในหิมะยามราตรี
ตำแหน่งของตำหนักนั้นยอดเยี่ยม ไม่ห่างไกลจนเกินไปแต่ก็สงบอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะอยู่กลางฤดูหนาวตำหนักนี้ก็ยังห้อมล้อมด้วยต้นไม้เขียวซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่สุด
นางอยู่ที่นั่นหรือ จากข่าวลือ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับนางมากกว่าให้กับองค์หญิงผิงกั๋วเสียอีก
หากนิกายหลวงและราชสำนักแยกจากกัน และใต้เท้าสังฆราชอาจารย์อาของเขาเริ่มต่อสู้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นางต้องช่วยเหลือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน แล้วเขาจะทำอย่างไร ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของนางในร้านอาหารและตระหนักว่านี่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง เขาอาจลืมไปได้ชั่วขณะ ทว่าไม่อาจเพิกเฉยได้ตลอดไป
ด้วยลมและหิมะผสานให้ด้านหน้าตำหนักค่อนข้างหนาวเย็น ในตอนแรกใบหน้าของเขาค่อนข้างร้อนแต่ตอนนี้ก็ค่อยๆ เย็นลง มิใช่เพราะความรู้สึกของเขานั้นเย็นลงแต่เขาจำเป็นต้องใจเย็น
เขามาพบกับนาง ทว่าไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เขาไม่คิดที่จะลอบเข้าไปในตำหนัก เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้
เขายืนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของนาง
“เจ้า… เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เขาหันไปหาต้นเสียง ก็เห็นหน้าต่างบนปีกตะวันออกของตำหนักยังคงสว่างอยู่ เขาเดินไปและเห็นเงาของนางในแสงนั้น
นางนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง ในมือมีหนังสืออยู่
นี่ก็ดึกแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางนอนไม่หลับ บางทีอาจเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขานอนไม่หลับ
“ข้า… อยากพบเจ้า” เขากล่าวกับนางผ่านหน้าต่าง
เสียงอ่อนโยนของสวีโหย่วหรงถามกลับจากอีกด้านหนึ่ง “เราเพิ่งจะพบกันมาไม่ใช่หรือ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็ตอบกลับไป “แต่… ข้านอนไม่หลับ”
สวีโหย่วหรงหันมาที่หน้าต่างด้วยความเป็นห่วงอยู่บ้าง นางคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงนอนไม่หลับ
เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าในสวนโจวตอนนั้นมีอสูรร้ายมากมายนับไม่ถ้วนล้อมรอบทะเลหญ้าเอาไว้ เขาก็ยังนอนหลับได้อย่างสงบ
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร… ข้าเพียงคิดถึงเจ้าจนนอนไม่หลับ”
…