ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 3 กลับจวน แต่กลับคิดถึงด้านนอกของถนนสิบเอ็ดสาย
ตอนที่เดินผ่านสะพานหน่ายเหอ นางเกือบจะถูกหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่รีบกลับบ้านเพื่อหลบหิมะชนเข้า ในตอนที่หญิงวัยกลางคนกำลังจะล้มลง นางก็ยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงไว้
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นถึงได้พบว่าที่ใต้สะพานหิมะมีแม่นางที่ถือร่มอยู่ผู้หนึ่ง หลังจากที่เอ่ยขอบคุณ ก็มองเห็นเสื้อที่แสนบางของแม่นางผู้นั้น จึงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่นางสวมเสื้อที่บางถึงเพียงนี้ ไม่หนาวหรือ”
สวีโหย่วหรงส่ายหน้า ถือร่มแล้วเดินต่อไปตามทางที่มีหิมะ
จากพระราชวังไปจนถึงทางใต้ของเมือง นาทีนี้ในใจก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้าง
ตั้งแต่ที่คณะทูตเข้าจิงตูเป็นต้นมา ประตูใหญ่ของจวนขุนพลเทพตงอวี้ก็เปิดออก ไม่ต้องพูดถึงฝูงคนที่ยืนรออยู่กลางหิมะ พูดเพียงแค่ผู้ดูแลกับคนรับใช้ในจวนขุนพลเทพ แม้แต่ดวงตาก็มองจนกลายเป็นสีเขียวแล้ว
สวีโหย่วหรงถือร่มเดินเข้าไปในจวนขุนพลเทพตงอวี้ภายใต้สายตาของทุกคน
ถึงกับไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางเข้ามาอย่างไร เหล่าผู้ดูแลกับคนรับใช้ที่วันนี้เตรียมตัวยุ่งกันมาหลายสิบวันล้วนนิ่งอึ้งไปแล้ว ในใจต่างสงสัยกันว่าคนผู้นี้เป็นใครกัน
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น นางเก็บร่มลงมา เคาะลงเบาๆ ที่ประตูของจวนขุนพลเทพ แล้วเทหิมะที่อยู่บนร่มลงบนพื้น
ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ ซวงเอ๋อร์พลันวิ่งออกมาทางหน้าประตู เป็นเพราะนางยืนมาหลายชั่วยามแล้ว ขาทั้งสองข้างจึงเกิดอาการเหน็บชาอยู่บ้าง ในตอนนี้จิตใจมีความตื่นเต้น ตอนที่มาถึงตรงหน้าของสวีโหย่วหรง ถึงกับไม่สามารถยืนให้มั่น และเกือบที่จะคุกเข่าลงไป
สวีโหย่วหรงยื่นมือออกมาพยุงนาง แล้วพูดขึ้น “เมื่อก่อนไม่เห็นว่าเจ้าจะทำความเคารพยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่อยู่ช่วงหลายปีมานี้ ใครกันที่เริ่มสั่งสอนกฎเกณฑ์ให้กับเจ้า”
แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นการล้อเล่น ซวงเอ๋อร์กลับยิ้มไม่ออก และทำเพียงแค่ร้องไห้อย่างหนัก หลังจากนั้นนางถึงได้รู้สึกว่าขายหน้า ถึงได้ใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าไม่หยุด เครื่องสำอางที่ตั้งใจแต่งแต้มบนใบหน้าก็ถูกลบเลือนไปแล้ว
จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ผู้คนของจวนขุนพลเทพถึงได้ตอบสนองกลับมา ท่านยายฮวารีบก้าวขึ้นหน้ามาต้อนรับ ริมฝีปากกำลังสั่นเทา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
“คุณหนูกลับมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาเช่นนี้ ประทัดก็ถูกจุดขึ้นมาในทันที ดอกไม้ไฟได้ส่องสว่างบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากหิมะอยู่บ้าง
ท่ามกลางเสียงครึกครื้น ก็ได้ยินใครตะโกนขึ้นมาอีก “ในตอนนี้ไม่สามารถเรียกว่าคุณหนูแล้ว ต้องเรียกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์!”
“ขอต้อนรับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์!”
มองดูประตูใหญ่ที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว พวกฝูงคนที่รออยู่ท่ามกลางหิมะเป็นเวลานานเหล่านั้นก็ระเบิดเสียง แล้วกระจายตัวกันออกไปแพร่กระจายข่าวในสถานที่ต่างๆ จนทั่ว
หงส์สวรรค์กลับจวนแล้ว
“สวมเสื้อน้อยชิ้นถึงเพียงนี้ ถูกแช่แข็งไปจะทำอย่างไร”
ฮูหยินสวีจูงมือของสวีโหย่วหรงด้วยใบหน้าเป็นห่วงเป็นใย น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลรินลงมา
“หงส์สวรรค์บ้านข้า ไหนเลยจะถูกสายลมและหิมะธรรมดาแช่แข็งไปได้”
สวีซื่อจีลูบเคราเบาๆ แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น ช่างเหมือนกับบิดาผู้เมตตาที่กำลังภาคภูมิใจ แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ไม่เจอกันหลายปี ช่างโตขึ้นแล้วจริงๆ ถึงขนาด…กลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
ถึงแม้ว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปยังสถานศึกษาหนานซี ตัวเขาไปจนถึงคนจำนวนมากก็มั่นใจ ว่าลูกสาวของตนผู้นี้ในอนาคตจะต้องกลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าวันนี้จะมาถึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา ความหยิ่งยโสและภาคภูมิใจกินไปเจ็ดส่วน ความหลุดพ้นและผ่อนคลายกินไปสามส่วน ในใจรู้ว่าตนในตอนนี้ต่อให้มีความคิดอื่น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ปฏิบัติต่อตนอย่างเช่นในอดีตอีก คงจะไว้หน้าตนให้หลายส่วน ส่วนตระกูลเทียนไห่กับขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้น ใครยังจะกล้ามาเยาะเย้ยตนลับหลังอีก ส่วนเจ้าพวกคนที่เคยทำให้เขาต้องลำบากเหล่านั้น…อยู่ๆ เขาก็นึกถึงเฉินฉางเซิงขึ้นมา ในใจพลันอึดอัด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อยู่บ้าง
……
……
ในจินตนาการของทุกคน เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะต้องงดงามบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เข้มงวด ไม่ทำหน้าระรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อย ภาพจำนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจถูกทำลายไปได้ ถึงแม้จะเป็นสวีโหย่วหรงเอง ในหลายปีมานี้ตอนที่ปรากฏตัวต่อชาวโลก แม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างไร้สายลม บริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวเหมือนศิษย์พี่ศิษย์น้องในสถานศึกษาหนานซี แต่ก็ระวังการกระทำของตนเป็นอย่างมาก พยายามเพียงแค่แย้มยิ้มโดยที่ไม่พูดอย่างสุดความสามารถ มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับอาจารย์ของนางเท่านั้น นางถึงจะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนผู้เยาว์ที่พูดอะไรที่น่าสนใจ แต่มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าสาวใช้ใหญ่อย่างซวงเอ๋อร์ที่โตมาด้วยกันกับนางตั้งแต่เล็ก นางถึงจะผ่อนคลายลงมาอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้
นางพลิกตัวไปมาบนเตียงไม่หยุด เรือนผมสีดำนั้นยุ่งกระจายไปทุกที่ สุดท้ายก็กางแขนทั้งสองข้างนอนหงายอยู่บนเตียง แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ยังเป็นเตียงหลังนี้ที่นอนแล้วแสนสบาย”
“คุณหนู เช่นนี้ช่างไม่งามเอาเสียเลย”
ซวงเอ๋อร์หรีบหาผ้าห่มมาคลุมบนร่างของนาง หลังจากนั้นก็นั่งมองนางอยู่ที่ขอบเตียง นางดีใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมที่ขอบตาถึงได้ค่อยๆ แดงขึ้นมา
สวีโหย่วหรงถามขึ้น “เป็นอะไรไป หรือว่ามีคนกล้ารังแกเจ้าจริงๆ”
ตอนที่เพิ่งเข้ามาในจวน นางก็เคยถามไปแล้ว เพียงแต่ในตอนนั้นนางแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น เพราะว่านางชัดเจนเป็นอย่างมาก ในจวนสวีนี้ไม่มีใครกล้ารังแกซวงเอ๋อร์ เพราะว่าความสัมพันธ์กับตัวนางในตอนนั้น คิดว่าแม้แต่มารดาของตนก็ไม่มีทางสร้างความลำบากอะไรกับนาง แต่ดูท่าในตอนนี้แล้ว เรื่องราวดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่านางอยากจะรู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร
ซวงเอ๋อร์เช็ดน้ำตา มองนางเหมือนอยากจะพูดแล้วหยุดลง สุดท้ายก็พูดขึ้นอย่างโศกเศร้า “แต่มีคนรังแกคุณหนูจะให้ทำอย่างไร”
สวีโหย่วหรงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เด็กโง่ยังโง่เช่นนี้ ใครกล้ารังแกข้ากัน เจ้าไม่รู้ ในสวนโจวข้าได้เจอกับหนานเค่อ องค์หญิงเผ่ามารที่ข้าเคยเล่าให้ฟังในจดหมายผู้นั้น แล้วยังสู้กันตัวต่อตัว ข้านั้น…”
“คุณหนู ท่านรู้ว่าข้าพูดถึงใคร” ซวงเอ๋อร์มองนางแล้วพูดขึ้น
สวีโหย่วหรงลุกขึ้นมานั่ง ค่อยๆ หวีเรือนผมสีดำ หลังจากนั้นก็นั่งกอดเข่าทั้งสองข้าง นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ซวงเอ๋อร์ชัดเจนเป็นอย่างมาก ตอนที่คุณหนูอยู่ตามลำพัง ก็มักจะเหม่อลอยเช่นนี้ ตอนเด็กก็เป็นเช่นนี้ มองดูแล้วช่างทำให้คนเกิดความเห็นใจ ช่างไม่เหมือนกับในสายตาของชาวโลกที่สงบนิ่งและใจกว้างเช่นนั้นเลย
ในตอนนี้มองดูคุณหนูก็เป็นเช่นนี้อีก นางก็อดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ จึงพูดขึ้น “คุณหนูข้าไม่ได้ตั้งใจยั่วโมโหท่าน ท่านอย่าได้คิดอีกเลย”
สวีโหย่วหรงมองดูตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะ แล้วถามขึ้นอย่างกะทันหัน “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้า”
ซวงเอ๋อร์ถามขึ้น “เรื่องอะไรหรือ”
สวีโหย่วหรงหันมามองนาง แล้วถามขึ้นอย่างสงบ “ตอนแรกที่เจ้าว่า…ที่สำนักฝึกหลวงเขากับองค์หญิงลั่วลั่ว…เจ้านั้นเห็นกับตาหรือ”
ซวงเอ๋อร์ค่อนข้างจะร้อนใจ จึงพูดขึ้น “คุณหนู เจ้าอุตส่าห์ได้กลับบ้านสักครั้ง จะพูดถึงเจ้าคนไร้ยางอายทำไม”
ถึงแม้จะไม่ได้ยอมรับ แต่คำว่าคนไร้ยางอายสี่คำนี้ ก็เหมือนว่าจะเพียงพอสำหรับการอธิบายเรื่องราวมากมายแล้ว
สวีโหย่วหรงไม่ได้ถามอะไรอีก นางกอดเข่า มองเกล็ดหิมะที่ร่วงโรยอยู่นอกหน้าต่างในยามค่ำคืน แล้วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานอย่างมาก
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนที่กลับมาถึงจิงตู แน่นอนว่านางไม่อยากจะออกไปข้างนอกอีก แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร นางถึงไม่อยากจะอยู่ในจวน นางอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ออกไปดูสักหน่อย
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อเทียบกับสองครั้งก่อนที่กลับจิงตู ที่จิงตูมีสถานที่บางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟในวังเว่ยยางมีมากกว่าปีก่อนๆ อยู่หลายดวง เสาของสะพานหน่ายเหอเมื่อฤดูร้อนของปีก่อนถูกเรือขนเสบียงชนจนเสียหายกำลังซ่อมแซมอยู่ ป่าที่อยู่ทางสะพานอุดรใหม่นั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รกทึบขึ้นมาก สำนักฝึกหลวงเป็นสำนักเก่าในสำนักไม้เลื้อยได้ยินว่าได้เปลี่ยนแปลงใหม่ไปแล้ว…
คนผู้นั้นก็อยู่ในจิงตู
กั้นห่างกับนางด้วยถนนสิบเอ็ดสาย
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาเดินไป ก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม นี่เป็นเพราะหิมะตกจึงทำให้ทางลื่น
ถ้าหากเป็นนางเดินไป ก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียว
ถ้าหากขี่นกกระเรียนขาวไป เช่นนั้นก็ยิ่งใช้เวลาสั้นลงไปอีก เพียงแค่พริบตาก็ไปถึงแล้ว
หิมะที่นอกหน้าต่างยามค่ำคืนพลันฟุ้งกระจัดกระจายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกในใจของนางก็วุ่นวายขึ้นมา เมื่อกะพริบตา ก็พบว่าเป็นนกกระเรียนขาวที่ร่อนลงมาในสวน
นางลุกขึ้นมาแล้วคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ แล้วเดินออกไปที่นอกห้อง ซวงเอ๋อร์รีบนำเตาผิงมากอดไว้แล้วรีบตามไป
นกกระเรียนขาวกำลังแปรงขนอยู่บนพื้นหิมะ
ในท้องฟ้ายามราตรีพลันมีเสียงประหลาดที่แสนไม่น่าฟังดังขึ้นมา ลูกมหาวิหคสีเทาก็บินร่อนลงมา ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหน จนกระทั่งก่อนหน้านี้ได้พบนกกระเรียนขาว ถึงได้บินตามลงมา เมื่อลงสู่พื้น มันก็ซุกตัวเข้าไปในขนปีกของนกกระเรียนขาว ก็เหมือนการประจบและก็เหมือนจงใจเรียกร้องความสนใจจากนกกระเรียนขาว นกกระเรียนขาวชูคอขึ้นมา แสดงถึงความจนใจ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะไล่มันออกไป
เรือนเล็กหลังนี้เป็นเขตหวงห้ามของจวนขุนพลเทพตงอวี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้ กระทั่งสวีซื่อจีกับฮูหยินสวีก็เป็นเช่นนี้ จึงไม่ต้องกังวลว่าลูกมหาวิหคจะไปทำให้ใครตกใจ
“นี่คือนกอะไร” ซวงเอ๋อร์มองนกที่มีสีเทาเรียบๆ ตัวนั้นแล้วถามขึ้น
ในสายตาของนาง นกตัวนี้ช่างมีหน้าตาค่อนข้างจะน่าเกลียด และนกกระเรียนขาวที่รักความสะอาดเสมอมา ถึงกับไม่ได้ต่อต้านการตีสนิทของนกตัวนี้ นี่ทำให้นางค่อนข้างจะตกตะลึงอยู่บ้าง
“ไก่ฟ้าตัวหนึ่ง” สวีโหย่วหรงพูดขึ้น
ลูกมหาวิหคโผล่หัวออกมาจากใต้ปีกของนกกระเรียนขาว แล้วมองนางอย่างไม่พอใจอยู่แวบหนึ่ง
“เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ช่างไม่ใช่สถานที่ธรรมดาจริงๆ ไก่ฟ้าที่อยู่บนเขาถึงกับมีหน้าตาดุร้ายถึงเพียงนี้”
ซวงเอ๋อร์ปรบมือทั้งสองข้างพลางชื่นชม ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้น “อา เช่นนั้นข้าต้องไปเตรียมพวกน้ำสะอาดกับผลไม้สักหน่อยแล้ว เดิมทีเตรียมไว้สำหรับนกกระเรียนขาวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความไม่พอใจในดวงตาของลูกมหาวิหคก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น
มันกินเจอยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาถึงครึ่งปีเต็ม มีเพียงแค่ตอนที่สวีโหย่วหรงไปเล่นไพ่นกกระจอกที่ในเมือง ถึงได้ถือโอกาสกินเนื้อ ได้กินพวกซี่โครงรมควันอยู่นิดหน่อย วันนี้ได้มาถึงจิงตูที่รุ่งเรือง ตอนที่บินผ่านก็ได้เห็นมนุษย์ที่หอมหวานมากมายขนาดนั้น แล้วยังมีพวกผู้บำเพ็ญเพียรที่เห็นได้ชัดว่ากรุบกรอบและมีการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มันคันปากจนทนไม่ไหวมานานแล้ว ผลคือ…
คาดไม่ถึงว่ายังต้องกินผลไม้อีก
ต้องรู้ว่าถึงแม้ในชาตินี้มันจะยังไม่เคยกินเนื้อคน แต่เศษเสี้ยวความทรงจำของชาติก่อนที่หลงเหลืออยู่ในวิญญาณของมันยังไม่ได้ลืมเลือนไป
“ไก่ฟ้าตัวนี้ชอบกินเนื้อ” สวีโหย่วหรงมองมาที่ลูกมหาวิหคแวบหนึ่ง
เพียงแค่การมองอย่างธรรมดาๆ ครั้งหนึ่ง ลูกมหาวิหคก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณถูกน้ำที่หนาวเย็นที่สุดชะล้างไปสามวันสามคืน ความปรารถนาอันร้อนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา ไหนเลยจะยังกล้ามีความคิดเหล่านั้นอีก
“ถ้าหากในจวนมีกุ้งมังกรสีคราม ก็เอามาให้มันชิมสักหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลูกมหาวิหคก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงส่ายหัวขึ้นมาไม่หยุด ความทรงจำชาติก่อนที่อยู่ในดวงวิญญาณได้บอกมันว่า เนื้อของกุ้งมังกรสีครามนั้นเลิศรสเป็นอย่างมาก
ซวงเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะจนใจ “ในจวนไม่มี”
สวีโหย่วหรงประหลาดใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าในจวนรู้ว่าตนชอบกินกุ้งมังกรสีครามของหอเฉิงหู ตามหลักแล้ว น่าจะเหมือนกับสองครั้งก่อนที่กลับมาจิงตู ซึ่งล้วนเตรียมเอาไว้ไม่น้อย ทำไมถึงไม่มี
“ทั่วทั้งจิงตูในตอนนี้ล้วนไม่สามารถจะหากินกุ้งมังกรสีครามได้แล้ว”
ซวงเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เพราะว่าสำนักฝึกหลวงได้ซื้อหอเฉิงหูเอาไว้แล้ว มีเพียงที่นั่นถึงจะสามารถหากินได้”
สวีโหย่วหรงนิ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงเลยว่า…จะได้ยินชื่อของสำนักฝึกหลวงได้เร็วถึงเพียงนี้
ลูกมหาวิหคกำลังคิดว่าสำนักฝึกหลวงเป็นสถานที่อะไร จะต้องหาโอกาสกินคนที่อยู่ในนั้นให้หมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กินกุ้งมังกรสีครามเหล่านั้น
นกกระเรียนขาวได้ร้องขึ้นมาเสียงต่ำอย่างกะทันหัน
สวีโหย่วหรงถึงได้รู้ ที่แท้ครึ่งวันมานี้ นกกระเรียนขาวล้วนอยู่ที่สำนักฝึกหลวง คิดว่า…น่าจะเล่นอยู่กับคนผู้นั้น
ซวงเอ๋อร์ไปหยิบเนื้ออื่น นางกระชับเสื้อคลุม ยืนอยู่ในหิมะยามราตรี แล้วคิดถึงเรื่องบางอย่าง
เขาอยู่ในจิงตู กั้นห่างกันด้วยถนนสิบเอ็ดสาย เวลาครึ่งชั่วยาม ครู่เดียวก็ไปถึง