ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 32 จดหมายถึงสวนหมื่นหลิว
…
ซูหลีทิ้งจดหมายไว้เจ็ดฉบับ
ให้สวีโหย่วหรงส่งมอบให้เฉินฉางเซิงสองฉบับ มอบให้บุตรสาวของตนหนึ่งฉบับ มอบให้เด็กน้อยในร้านตีเหล็กในหมู่บ้านที่ตีนเขาหลีซานที่เพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่อีกหนึ่งฉบับ ทั้งยังได้เตรียมจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ชิวซานจวินแต่ชิวซานจวินปฏิเสธอย่างสุภาพ
อีกสองฉบับที่เหลือถูกส่งไปยังสถานที่สองแห่งด้วยวิธีการปกติธรรมดา
จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งไปยังเรือนสวนที่อยู่นอกเมืองฮั่นชิว
สวนหมื่นหลิวปลูกต้นชวีหลิวทนหนาวไว้สามหมื่นต้น
จูลั่วเป็นประมุขของพรรคไร้รัก ผู้นำตระกูลจู เพื่อนเก่าของจักรพรรดิเซียน และสมาชิกแปดมรสุม ไม่ว่าจะฐานะใดก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเกินกว่าที่ปุถุชนคนทั่วไปจะคาดคิดได้ การที่สวนนี้ยังเขียวชอุ่มท่ามกลางฤดูหนาวก็เป็นบทพิสูจน์อย่างดี
วันนี้มีแขกมาเยือนเรือนยอดสวน เป็นชายชราที่อ้วนท้วมอย่างยิ่ง ยามนั่งลงบนเก้าอี้กลม ไขมันที่เอวก็เป็นเหมือนกับน้ำที่ล้นออกจากเขื่อนก็มิปาน ทำให้เข็มขัดสีเหลืองดูเด่นสะดุดตาขึ้นกว่าเดิม
ชายชราร่างอ้วนนี้มีคิ้วอ่อนโยนและดวงตาใจดี นัยน์ตาเล็กหยีของเขาเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและสงบห่างไกลจากเรื่องราวทางโลก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี ดูเหมือนชายชราผู้มั่งคั่งที่มักพบเจอได้ตามชนบท ทว่าเมื่อเขานั่งอยู่ตรงหน้าของคนอย่างจูลั่ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสถานะและความเป็นมาของเขานั้นไม่ธรรมดา วันนี้นอกจากต้นสนนับไม่ถ้วนและหิมะแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในสวนอีก อาจเป็นเพราะการมาถึงของชายชราร่างอ้วนผู้นี้ แน่นอนว่าอาจเกี่ยวกับจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะระหว่างพวกเขาก็ได้เช่นกัน
“เมื่อไรหญิงผู้นั้นจะตาย…” ชายชราร่างอ้วนยิ้มและกล่าว แต่ยามเขากล่าวคำว่า ‘หญิง’ ก็หยุดไปอย่างไม่คาดคิด รอยยิ้มหายไปชั่วขณะหนึ่ง คำว่า ‘หญิง’ ก็แผ่วจางจนยากจะได้ยิน ชายชราร่างท้วมกล่าวต่อ “ดวงดาวบนฟ้าต่างก็มีวิถีของมัน ส่วนจะไปนครจิงตูเมื่อไรนั้น เราคงต้องรอข่าวเพิ่มเติมก่อน”
จูลั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูไม่ค่อยพอใจกับคำพูดนี้นัก “ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของพวกเรายังไม่เพียงพอ”
ชายชราถอนหายใจ “จะทำการใหญ่ ความแข็งแกร่งเป็นเรื่องสำคัญ จักรพรรดิขาวสองสามีภรรยาคงจะแค่มองอยู่ด้านข้าง อันที่จริงตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเราคือซูหลี”
ยามเอ่ยถึงชื่อซูหลี ทั้งสองต่างก็ไม่มองไปที่จดหมายบนโต๊ะแม้แต่น้อย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จูลั่วก็กล่าว “ซูหลีนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
ย้อนไปที่เมืองสวินหยาง ซูหลีได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจจะรับมือเขาได้ กระนั้นเขาก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว ยากที่จะหาคนที่แข็งแกร่งกว่าซูหลีได้
คำว่า ‘แข็งแกร่ง’ นั้นย่อมไม่ได้หมายถึงความแข็งแรงอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน หากแต่เป็นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่บริสุทธิ์และน่าหวาดหวั่น
“คนชุดดำวางแผนมาหลายปี ในทุ่งหิมะแดนมารมีพลหมาป่านับแสน ขุนพลมารนับสิบ สามผู้ยิ่งใหญ่ร่วมมือกันเพื่อสะกดเขา แต่เขาก็ยังหลบหนีไปได้ ในระหว่างเดินทางกลับแดนใต้ แม้อยู่ในสภาพพิการ เขาก็ยังสามารถพัฒนากระบี่ของตนได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าเขาจะบรรลุบางสิ่งและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดจนไม่อาจคาดหยั่งได้ เกรงว่าอีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะไปถึงทะเลดวงดาว นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
ชายชราร่างอ้วนถอนหายใจ “ตอนนั้นมีหลายคนรวมถึงตัวข้าเองด้วย เชื่อว่าเขามีโอกาสอย่างมากที่จะสังหารหญิงผู้นั้น แต่เขาก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ในตอนนี้ หากเขาช่วยเหลือพวกเรา โอกาสจะสังหารหญิงผู้นั้นได้ก็จะเพิ่มขึ้นถึงสามส่วน แต่เขาก็ดันเลือกที่จะจากไปในเวลาเช่นนี้”
จูลั่วพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าไปเมืองสวินหยางเพื่อสังหารเขาตามคำขอของใต้เท้าสังฆราช เขาจะร่วมมือกับเราได้อย่างไร แล้วทำไมเขาถึงได้ส่งจดหมายมาให้ข้า”
ในขณะที่ทั้งสองพูดกัน ไม่มีใครมองดูจดหมายบนโต๊ะ ทว่าจิตใจกลับจดจ่ออยู่กับจดหมายนั้นอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้เมื่อพูดถึงจดหมายขึ้นมาแล้ว พวกเขาเป็นต้องจ้องมอง
ไม่มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นในสวนที่หนาวเย็นและเงียบงันแห่งนี้ ทว่าสายลมอันเหน็บหนาวกลับมีเสียงของหอกโล่กระทบกัน
ชายชราร่างท้วมหรี่ตามองดูจดหมาย ซึ่งดูเหมือนหมั่นโถวสีขาวถูกกรีดเปิดด้วยแสงที่คมกล้า ทำให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เขาเงยหน้าขึ้นมองจูลั่วราวกับจะถามว่าควรเปิดจดหมายนี้หรือไม่
สีหน้าของจูลั่วเคร่งเครียดมาก ไม่เอ่ยอะไรอยู่นาน
ชายชราร่างอ้วนสังเกตเห็นบางสิ่งจากจดหมายนี้ ด้วยการฝึกบำเพ็ญของจูลั่วย่อมเป็นธรรมดาที่เขาก็ต้องสังเกตเห็นได้เช่นกัน
เขารู้ว่าจดหมายนี้ผนึกกระบี่เอาไว้
จดหมายนี้เป็นจดหมายของซูหลี ดังนั้นกระบี่นี้ย่อมต้องเป็นกระบี่ของซูหลี
แม้ว่าการบำเพ็ญเพียรของซูหลีจะสูงมากและได้รับการยอมรับจากผู้คนว่ามีวิถีกระบี่สูงล้ำยากหยั่งถึง เมื่อเทียบกับแปดมรสุมกับสี่ผู้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็ยังต่ำกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเหตุผลมากมาย ชื่อของเขาไม่เคยถูกยกมาเทียบกับคนเหล่านี้
เขาเขียนจดหมายนี้ถึงจูลั่วย่อมเป็นเพราะเขาอยากจะบอกทั้งต้าลู่ว่า หากเขาต้องการ เขาย่อมสามารถทำลายพวกที่ถูกเรียกว่าแปดมรสุมเมื่อไรก็ได้
หากเป็นหลายร้อยปีก่อนยามที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด ไม่สิ ต่อให้เป็นแค่หลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่หนึ่งปีก่อน หากได้พบเจอกับจดหมายเช่นนี้ จู่ลั่วคงแค่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจและฉีกออก เหลือบมองดูความคมกล้าบนกระดาษนั้น เช่นนี้เขาจะได้ไม่ทำให้ชื่อเสียงของแปดมรสุมต้องมัวหมอง
ทว่าในตอนนี้ เขามีความลังเลอยู่บ้าง
เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เมืองสวินหยาง ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม
อาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นจากดาบของหวังผ้อ การลอบทำร้ายของหลิวชิงและแสงนับหมื่นจากฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิง อาการบาดเจ็บที่สาหัสที่สุดเกิดจากการโจมตีข้ามพันลี้ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ถูกดังเช่นที่หวังผ้อพูดไว้ในเมืองสวินหยาง เขานั้นแก่แล้ว
ซูหลีก็ย้ำเรื่องนี้ในการเยาะเย้ยครั้งนี้ เขาตายได้แต่ห้ามพ่ายแพ้ในการต่อสู้
สำหรับพรรคไร้รักและตระกูลจู เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่สูงไปถึงสวรรค์
นอกจากผู้คนจากจวนอ๋องเหลียงแล้ว ผู้คนในเมืองเทียนเหลียงต่างก็ต้องการการปกป้องจากเขา
จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาพ่ายแพ้
สวนนั้นเงียบงันอย่างที่สุด ต้นชวีหลิวทนหนาวสามหมื่นต้นเฝ้ารอการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิผ่านความหนาวเย็นอย่างอดทน
ชายชราร่างอ้วนเองก็อดทนอย่างยิ่ง มองดูจูลั่วอย่างสงบ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง จูลั่วก็ตัดสินใจในที่สุดและสูดหายใจเข้าลึก
สายลมรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลันและต้นหลิวหลายพันต้นก็เริ่มส่ายไหวไปตามสายลม ดูราวกับจะให้กำลังใจและก็ดูราวกับสั่นไหวด้วยความกลัว
ใบหน้าของจูลั่วไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป มีแต่ความเฉยชาและเย่อหยิ่ง
เขาเป็นยอดฝีมือที่เคยพุ่งเข้าสู่ทุ่งหิมะโดยมีแค่กระบี่ในมือ ต่อให้แก่ชราและได้รับบาดเจ็บ แต่เขาจะหวาดกลัวจดหมายฉบับเดียวได้อย่างไร
เขาวางมือลงบนจดหมาย ฉีกเปิดออกอย่างหนักแน่นมั่นคง
แสงกระบี่พุ่งออกมาจากจดหมายและแสงนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก
แสงกระบี่นี้เจิดจ้าจนพระอาทิตย์เหนือสวนยังเทียบไม่ได้ และทำให้ต้นหลิวมีควันลอยขึ้น นี่เป็นเวลากลางวัน ทว่าทั้งสวนกลับดูประหนึ่งเข้าสู่ยามสนธยาแล้ว
แสงกระบี่ปรากฏขึ้นในดวงตาของจูลั่ว แสงกระบี่นี้ไม่ได้มาจากจดหมาย ทว่ามาจากโลกของเขา
กระบี่แสงจันทร์พุ่งออกจากฝักและฟันเข้าใส่เจตจำนงกระบี่ที่ระเบิดออกมาจากจดหมาย
เสียงปะทะกันดังสนั่น สายลมรุนแรงกวาดไปทั่วสวนหมื่นหลิวและต้นหลิวทั้งสามหมื่นต้นก็สั่นไหวไปมา
ดวงจันทร์สว่างจ้าลอยขึ้นจากทิศเหนือและค้างอยู่กลางท้องฟ้า พยายามขับไล่ความมืดมิดที่ยังไม่ทันได้ก่อตัวอย่างเต็มที่
เจตจำนงกระบี่จากจดหมายไม่สนใจ ปล่อยแสงขนาดมหึมาออกมาสัมผัสทุกสรรพสิ่งในทันที ไม่ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่มี ล้วนตกอยู่ในเพลิงมอดไหม้!
ต้นหลิวลุกเป็นไฟในทันที สระน้ำแข็งถูกทุบและประกายไฟนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับวิหคเพลิง
วิหคทองทะยานขึ้นจากหลีซาน!
ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างพลันหม่นมัว!