ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 33 อาทิตย์อัสดงกลางดงหลิว
เมื่อจูลั่วเปิดจดหมายจากซูหลี ชายชราร่างอ้วนก็นั่งยิ้มอยู่ด้านข้าง ไม่เป็นห่วงเท่าไหร่นัก เขารู้ว่าซูหลีนั้นแข็งแกร่งและมีกระบี่ที่น่ากลัว แต่ก็เป็นเพียงแค่จดหมายฉบับหนึ่ง ต่อให้บรรจุเอาไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่ของซูหลีก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ แล้วจะทำร้ายจูลั่วได้อย่างไรกัน
ชายชรามองท่าทีลังเลของจูลั่วอย่างดูถูก คิดว่านครจิงตูควรมีการจัดการเสียใหม่
แต่เมื่อเจตจำนงกระบี่พุ่งออกมาจากซองจดหมายและทั่วทั้งสวนหมื่นหลิวกลายเป็นมืดมิด ชายชราร่างอ้วนก็รู้ตัวว่าตนนั้นคิดผิดไป
กระบี่ของซูหลี่นั้นแข็งแกร่งน่ากลัวกว่าที่เขาจินตนาการไว้
ด้วยเพียงเจตจำนงกระบี่บนแผ่นกระดาษ เขาก็สามารถสะกดข่มสุดยอดฝีมือในแปดมรสุมได้เช่นนั้นเชียวหรือ
แม้ว่าจูลั่วจะยังบาดเจ็บ แต่นี่ก็เกินกว่าที่จะคาดถึงได้
ระดับของเจตจำนงนี้แทบจะเรียกได้ว่าเหนือกว่าจูลั่วไปหนึ่งขั้นเต็ม!
ต่อให้เป็นจิตตานุภาพของนักปราชญ์ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้
นอกยอดฝีมือในตำนานอย่างโจวตู๋ฟู เฉินเสวียนป้า จักรพรรดิไท่จงและหวังจือเช่อแล้ว ยังมีใครทำได้อีก
ซูหลีไม่ใช่นักปราชญ์ แต่วิถีกระบี่ของเขากลับสูงส่งเทียมเทพเซียนแล้ว!
เมื่อเขาเห็นวิหคทองทะยานผ่านสวนและพระจันทร์บนท้องฟ้ายามราตรีหม่นแสงลงอย่างฉับพลัน ชายชราก็มีสีหน้าตกใจ เขากระเด็นไปโดยไม่มีเวลาให้คิดด้วยซ้ำ
จูลั่วก็อยู่ในสถานการณ์อันตราย หากไม่ลงมือในตอนนี้ ก็จะสายเกินไป
ชายชราร่างอ้วนส่งเสียงร้องโหยหวน มือทั้งสองของเขาพุ่งผ่านอากาศเบื้องหน้า ตบตีไปยังวิหคทองที่ก่อตัวขึ้นจากเจตจำนงกระบี่ที่ลุกไหม้
เขาดูประหนึ่งภูเขาเนื้อ แต่ก็ปลิวไปอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือทั้งสองลอยต่ำลง กระพืออยู่ช้าๆ ราวปีกนก
กระบี่วิหคทองเป็นวิชาลับของหลีซาน ซูหลีเป็นผู้บัญญัติขึ้น เจตจำนงกระบี่นี้ร้อนแรงหาใดเปรียบมิได้ เมื่อกระบี่พุ่งออก ก็จะอาบโลกนี้ด้วยแสงและความร้อนอันไร้สิ้นสุด พลังของมันไม่อาจสะกดได้
ย้อนกลับไปที่การสอบใหญ่และในสวนโจว เมื่อใดก็ตามที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่วิหคทอง แม้แต่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็ยังจำเป็นต้องหลบเป็นการชั่วคราว
วันนี้ เจตจำนงกระบี่วิหคทองนั้นออกมาจากมือของซูหลี่เองและพลังอำนาจของมันก็เกินจินตนาการ
ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอาจถูกเจตจำนงกระบี่เผาจนกลายเป็นควันก่อนจะได้สัมผัสมันเสียอีก
แม้แต่ยอดฝีมือที่มีระดับการฝึกตนสูงก็ยังทำได้เพียงแค่สิ่งที่จูลั่วทำ นั่นคือพึ่งพาเจตจำนงกระบี่ของกระบี่แสงจันทร์เพื่อรับมือกับมัน แต่ไม่อาจปะทะซึ่งหน้าได้
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าชายชราจะมีสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็ยังส่งฝ่ามือทั้งสองบินไปยังเจตจำนงกระบี่วิหคทอง
ไอปราณที่ไม่อาจบรรยายได้ปรากฏขึ้นในสวนหมื่นหลิว ซึ่งบัดนี้ได้พังราบไปแล้ว
ไอปราณนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง มันยังคงอ่อนด้อยกว่าเจตจำนงกระบี่แสงจันทร์ ทว่าไอปราณนี้ก็แผ่รัศมีของความเก่าแก่โบราณออกมา
ราวกับมีดวงตะวันอยู่ระหว่างฝ่ามือของชายชรา ส่องสว่างเจิดจ้าหาใดเปรียบ!
ภายใต้แสงนี้ ชายชราร่างอ้วนไม่มีสีหน้าปีติยินดีหลงเหลืออีกต่อไปแม้แต่น้อย คิ้วเมตตาและนัยน์ตาอ่อนโยนได้เปลี่ยนไปเป็นความภาคภูมิยิ่งใหญ่ ภาพของพยัคฆ์และมังกรปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
เขาในตอนนี้ไม่เหลือคราบของชายชราผู้มั่งมีจากชนบทแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขาคือจักรรพรรดิ์อย่างเห็นได้ชัด!
…
พลังปราณอันทรงพลังสามสายปะทะกันอยู่ในสวนหมื่นหลิว
ดวงจันทราบนท้องฟ้าทอแสงสีเงินลงมาอย่างยากเย็นยิ่ง
สุริยันเจิดจ้าค้ำยันม่านรัตติกาลซึ่งกำลังร่วงลงอย่างไม่หยุดหย่อน
เจตจำนงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนเปรียบประดุจวิหคเพลิงที่บินไปมาระหว่างสุริยันจันทรา
ต้นชวีหลิวทนหนาวหลายหมื่นต้นเริ่มลุกไหม้
มิใช่ภาพที่เกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์อัสดง หากแต่เป็นเปลวเพลิงที่แท้จริง
สวนที่เย็นเยียบยามเหมันต์ดูเหมือนจะกลายเป็นขุมนรกโลกันตร์อันเต็มไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงโดยพลัน
ด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ เปลวเพลิงกระเด็นไปทุกทิศทาง ต้นสนที่ลุกไหม้โค่นล้ม บ่อน้ำแหลกลาญ กำแพงพังทลาย
หลังจากผ่านไปนาน พลังปราณที่อาละวาดอยู่นั้นก็สงบลงในที่สุด
เรือนสวนกลายเป็นซากปรักหักพัง สระน้ำไม่อาจสะท้อนภาพได้อีกต่อไป
จูลั่วเอนกายพิงต้นหลิวที่หักโค่นข้างสระ ใบหน้าขาวซีด หน้าอกมีลอยคราบเลือด และที่สาหัสที่สุดก็คือบาดแผลที่ข้อมือซ้ายของเขา
ชายชราร่างอ้วนยืนอยู่บนโต๊ะไม้ที่ผุพัง ร่างพ่วงพีของเขาเกือบทำให้โต๊ะพังทลายลงและดูเหมือนว่าจะพังลงได้ทุกเมื่อ ไม่มีความสุขใจหรือความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิเหลือให้เห็นบนใบหน้าอวบอ้วน เหลือเพียงความเหนื่อยล้าและความน่าเกลียดเท่านั้น
เขาร่ำๆ จะถึงเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน หากมิใช่เพราะกลัวการตอบสนองของคนในนครจิงตู ไม่แน่ว่าเขาอาจก้าวข้ามไปแล้วก็เป็นได้ ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาได้แสดงความแข็งแกร่งที่เทียบได้กับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
แม้กระนั้นเขากับจูลั่วก็ยังพ่ายแพ้ และแพ้อย่างน่าอนาถอีกด้วย หากเป้าหมายที่แท้จริงของเจตจำนงกระบี่นั้นไม่ใช่จูลั่ว หากวิชาประจำตระกูลของเขากับกระบี่วิหคทองไม่ได้มีต้นกำเนิดร่วมกันแล้วละก็ เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีเขาคอยช่วยเหลือ จูลั่วก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้
และคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่จดหมายของซูหลี
จูลั่วค่อยๆ ยืนขึ้นและมองไปรอบกาย
สวนหมื่นหลิวอันงดงามไร้ที่ติได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงพื้นดินแห้งแล้งเท่านั้น ต้นหลิวที่อยู่ไกลออกไปยังคงเผาไหม้อยู่
สวนหมื่นหลิวยังอยู่ ทว่าไม่สมกับชื่อของมันอีกต่อไป
เขาเองก็เช่นกัน
เขารู้ดีว่านี่เป็นการล้างแค้นของซูหลี
เรื่องนี้เขาไม่อาจพูดอะไรได้
“อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่อาจมีส่วนร่วมกับเรื่องในนครจิงตูได้อีก”
จูลั่วกล่าวกับชายชราร่างอ้วน โดยไม่หันหน้าไปมอง สีหน้าเลื่อนลอยอยู่บ้าง
ชายชราร่างอ้วนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่าว่าแต่ความเป็นไปได้ที่จูลั่วจะไม่อาจกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งที่เคยมีไปได้ตลอดกาล การที่เขาจะหลุดออกจากตำแหน่งในแปดมรสุมก็มีความเป็นไปได้สูง
สำหรับจูลั่ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหาวิธีจัดการกับอนาคตของตระกูลและพรรคไร้รัก เพราะทั้งสองเป็นมรดกที่แท้จริงของเขา
ชายชราร่างอ้วนแบกร่างใหญ่โตปานภูเขาเดินตุปัดตุเป๋ออกจากสวนหมื่นหลิวไป
นอกเมืองฮั่นชิว ผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยเขาขึ้นสู่รถม้าขนาดยักษ์ด้วยความยากเย็นยิ่ง
ชายวัยกลางคนใบหน้าผัดแป้ง เสียงแหลมสูงกระซิบ “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น”
“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเคยคิดว่าหากงานใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ สิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือชิงราชรถนั่นจากจวนอ๋องเหลียง”
ชายชราร่างอ้วนหรี่ตามองไปทางเมืองสวินหยางและกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้นั่งอีกหรือไม่ ตลอดชีวิตที่เหลือนี้”
ที่เห็นเขามองไปยังเมืองสวินหยาง แต่อันที่จริงแล้วมองไปทางจิงตูต่างหาก
เขาพูดถึงราชรถของจวนอ๋องเหลียง แต่อันที่จริงแล้วหมายถึงราชบัลลังก์ของวังหลวง
ชายวัยกลางคนรู้สึกสับสนอย่างยิ่งกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในสวนหมื่นหลิว แต่เมื่อได้ยินสียงท่านอ๋องถอนหายใจ เขาก็ยิ่งสับสนกว่าเดิม
เขาและขุนพลทหารเหล่านี้ต่างก็เป็นข้ารับใช้ในจวนอ๋อง กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งจากจิงตู ในช่วงหลายปีมานี้เขาและผู้คนเหล่านี้ต่างก็ได้ทำการเสี่ยงอย่างมากในการช่วยเหลือท่านอ๋องปล่อยข่าวลือออกไป หากแผนการใหญ่ของท่านอ๋องล้มเหลว พวกเขาจะมีทางรอดชีวิตไปได้หรือ
“อู๋ฉยงปี้เข้าจิงตูแล้ว”
ชายวัยกลางคนอยากจะปลุกขวัญของท่านอ๋อง จึงรีบแจ้งข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมา
ชายชราร่างอ้วนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แม้ว่าอู๋ฉยงปี้เองก็เป็นหนึ่งในแปดมรสุม แต่นางไม่เคยเป็นหนึ่งในเป้าหมายการดึงตัวของเขา เพราะว่านางเป็นหญิง
เหตุใดนักพรตหญิงชราผู้นั้นถึงไปจิงตู หรือว่าจะเกิดเรื่องอีกแล้ว