ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 38 เป้าหมายที่แท้จริงของกระบี่เผานภา
“เป็นไปไม่ได้!” นักพรตหญิงชราร้องเสียงแหลม
ครั้นสัมผัสได้ว่าแม้แต่เส้นทางแห่งจิตของนางก็ยังแตกร้าวด้วยกระบี่เผานภา นางก็ทั้งโกรธทั้งตกใจเจียนบ้า
ไยสำนักฝึกหลวงถึงได้มีเจตจำนงกระบี่ของซูหลีได้ ซูหลีคาดเดาได้อย่างไรว่านางจะมา เมื่อยืนยันแล้วว่าเจตจำนงกระบี่นี้เป็นกระบี่เผานภา นางก็คำนึงถึงคำถามเหล่านี้ขึ้นมาอย่างเป็นกังวล แต่ที่นางตกใจและโกรธจนถึงขนาดงงงันก็คือ เหตุใดเจตจำนงกระบี่นี้ถึงได้ทรงพลังยิ่งนัก เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าซูหลีนั้นเป็นยอดฝีมือในวิถีแห่งกระบี่ ทว่ามันถึงขั้นที่นางรับไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงเจตจำนงกระบี่ที่ซูหลีทิ้งเอาไว้ในสำนักฝึกหลวงเท่านั้น ไม่ใช่กระบี่ของเขาจริงๆ ด้วยซ้ำไป!
นางใช่ว่าเป็นยอดฝีมือทั่วไป เป็นถึงหนึ่งในแปดมรสุมที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีแล้ว เคยเชื่อว่าต่อให้ซูหลีก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ นางก็ยังล้ำหน้าเขาอยู่หลายปี ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์สูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับนางในแง่ของการฝึกบำเพ็ญ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า…นางไม่อาจรับมือได้แม้แต่เจตจำนงกระบี่เดียวของซูหลี
หลังจากตัวสั่นด้วยความโกรธ นักพรตหญิงชราก็ตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อนางจ้องมองกระบี่เพลิงที่น่าหวาดกลัวนั่น ความปรารถนาที่จะหนีก็ฝังรากลงไปในเส้นทางแห่งจิต
หากแม้นเป็นในอดีต นางคงจะต้องทำการต่อสู้ต่อไป ทว่าบัดนี้นางยืนยันแล้วว่าไม่ใช่คู่มือของซูหลี แล้วเหตุใดนางถึงไม่หนีไปเล่า นางมายังนครจิงตูโดยไม่บอกสามี ดังนั้นย่อมไม่มีใครมาช่วยนาง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ซูหลีไม่ใช่ใต้เท้าสังฆราชหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เขาเป็นคนเลือดเย็น คนบ้าไร้หัวใจ คนที่กล้าจะสังหารแปดมรสุม!
แม่น้ำลั่วปั่นป่วนด้วยคลื่นนับไม่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ในคืนหิมะโปรยลูกคลื่นทั้งหลายดูเหมือนกับกองกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับซ้อนกัน เมื่อเจตจำนงกระบี่ฟันลงอีกในทันใด แม่น้ำลั่วก็ดังก้องไปด้วยเสียงร้องอย่างฝืนกลั้นของนักพรตหญิงชรา ร่างของนางหายไปในทันทีและปรากฏขึ้นอีกฝากหนึ่งของแม่น้ำ จากนั้นก็หายไปตามถนนหนทางของนครจิงตู
……
……
เฉินฉางเซิงและพวกใช้ความเร็วที่สูงสุดเพื่อไล่ตามรอยของอาคารบ้านเรือนที่พังทลายจากการหลบหนีของนักพรตหญิงชรา แม้กระนั้น เมื่อพวกเขามาถึงริมแม่น้ำลั่วก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว เหลือเพียงหิมะที่ปลิวละล่องใต้ท้องฟ้ายามราตรี เส้นด้ายที่ถูกตัดออกจากแส้ปัดและกระบี่เพลิงลอยอยู่เหนือแม่น้ำลั่ว
ด้ายเหล่านี้ไม่เหมือนกับดอกหลิวหรือเกล็ดหิมะ แม้แต่เศษด้ายที่เล็กที่สุดก็ยังบรรจุไว้ด้วยพลังมหาศาลสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย หากแส้ปัดโจมตีเต็มแรง อาจทำให้ทั้งแม่น้ำลั่วสั่นสะเทือน…สมกับเป็นสุดยอดฝีมือที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง!
ครั้นสัมผัสถึงพลังที่บรรจุอยู่ในเส้นด้าย เฉินฉางเซิงกับพวกก็หันไปมองเซวียนหยวนผ้อที่กล้าลงมือกับนักพรตหญิงชราโดยไม่รู้ตัว สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม ในขณะเดียวกันก็คิดว่ากระบี่เพลิงนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดถึงได้ตัดแส้ปัดพวกนี้จะขาดสะบั้นและบังคับให้นักพรตหญิงชราหนีไปได้
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” ถังซานสือลิ่วถามตามองไปยังกระบี่เพลิงที่ลอยอยู่กลางราตรี
ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงได้ทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ในจดหมาย จึงพอจะรู้อยู่บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น “นี่คือกระบี่ของซูหลี”
ถังซานสือลิ่วยังหวาดกลัวไม่คลาย คิดว่าหากมิใช่เพราะกระบี่นี้ สำนักฝึกหลวงคงต้องเต็มไปด้วยเลือดในคืนนี้ ต่อให้นักพรตหญิงชราไม่ทำอะไรรุนแรงกับเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วและซูม่ออวี๋เพราะเห็นแก่หน้านิกายหลวงและตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เจ๋อซิ่วต้องถูกเหยียดหยามอย่างแน่นอนในขณะที่เซวียนหยวนผ้อแม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจจะรักษาไว้ได้
การต่อสู้ของยอดฝีมือนั้นเกิดตั้งแต่สำนักฝึกหลวงมาจนถึงริมแม่น้ำลั่ว สร้างความตื่นตัวแก่ผู้คนมากมาย
ไม่นานหลังจากพวกเขามาถึงแม่น้ำลั่ว เปลวเพลิงก็ร่วงลงจากท้องฟ้าราตรี เซวียสิ่งชวนขี่กิเลนเมฆาอัคคีรุดมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะเดียวกันองครักษ์ทั้งสามที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยส่งมาจิงตู ก็ปรากฏกายขึ้นในความมืดมิดและล้อมรอบกายถังซานสือลิ่ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงกับพวกได้พบเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย จึงอดเหลียวมองไม่ได้
ท้องถนนสั่นสะเทือนไปด้วยฝีเท้าม้าที่ควบทะยาน เป็นไปได้อย่างมากว่าทหารม้าจากนิกายหลวงและราชองครักษ์เร่งรุดมา
เซวียสิ่งชวนมองดูเขื่อนกันคลื่นของแม่น้ำลั่วที่พังทลายและแนวบ้านเรือนที่แหลกลาญกลายเป็นซากปรักหักพัง ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เกิดอะไรขึ้น”
“อู๋ฉยงปี้มา” ถังซานสือลิ่วตอบ
หนึ่งในแปดมรสุมถึงกับแอบเข้ามาในนครจิงตูจริงหรือ สีหน้าของเซวียสิ่งชวนเปลี่ยนไป ครั้นมองไปยังกระบี่เพลิงใหญ่ยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำลั่ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาย่อมบอกได้ว่านี่ไม่ใช่กระบี่จริงแต่เป็นกระบี่ลวงตา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลก็คือ ด้วยระดับการฝึกบำเพ็ญของเขานั้นห่างไกลจากการเป็นคู่ปรับของกระบี่นี้อย่างมาก ดังนั้น ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ว่ากระบี่นี้เป็นของใครกัน
“ซูหลี…ทำไมเขาถึงได้ซ่อนเจตจำนงกระบี่ไว้ในสำนักฝึกหลวง”
เขามองไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิงและถาม “อย่าบอกข้าว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าอู๋ฉยงปี้จะมาทำร้ายพวกเจ้า”
นี่เป็นสิ่งที่นักพรตหญิงชราก็ไม่เข้าใจที่สุดก่อนนางจะจากไป และก็เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงเองก็ไม่เข้าใจ
ในตอนแรกเขานึกถึงจดหมายสองฉบับที่ผู้อาวุโสซูหลีได้ขอให้สวีโหย่วหรงมอบให้เขา จดหมายที่เขาถูกสั่งให้เผาหลังจากอ่านจบนั้นส่งมาเพื่อช่วยให้ทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ ในขณะที่จดหมายในอกเสื้อของเขาคือของวิเศษช่วยชีวิต ในตอนนี้ดูเหมือนว่าที่ซูหลีให้เขาเผาจดหมายฉบับแรกมีความหมายลึกล้ำบางอย่าง
มีแต่ยืมเพลิงในธรรมชาติเพื่อจุดวิญญาณของกระบี่เท่านั้น เจตจำนงกระบี่ของเพลงกระบี่เผานภาจึงจะแสดงอานุภาพออกมาได้เต็มที่ แต่ซูหลีสามารถยืนยันเวลาที่เจตจำนงกระบี่จะปรากฏขึ้นได้อย่างไร มันถูกกระตุ้นด้วยความกล้าอย่างหาเหตุผลไม่ได้ที่เซวียนหยวนผ้อแสดงออกมา หรือเพราะซูหลีคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอู๋ฉยงปี้จะมา เป็นแบบไหนเช่นไรกันแน่
ทหารม้านิกายหลวงและราชองครักษ์รีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ นักบวชจากพระราชวังหลีและขุนนางจากวังหลวงก็มา พวกเขาเริ่มเก็บกวาดสถานที่ ดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ แบกหินแบกทรายมาซ่อมเขื่อนที่พัง ที่เกิดเหตุเริ่มคึกคักมากขึ้นและกระบี่เผานภาบนท้องฟ้ายามราตรีก็เริ่มเสียแสงสว่างไป เริ่มเห็นได้ยากขึ้น
เซวียสิ่งชวนยังจับจ้องไปยังจุดนั้น
เฉินฉางเซิงกับพวกก็ยังคงจดจ้องอยู่เช่นกัน
เรื่องนี้ดูเหมือนจะได้ข้อยุติแล้ว ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่มีใครคิดเช่นนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ดังเช่นที่คาดไว้ ชั่วขณะต่อมา ท้องฟ้ายามราตรีเหนือแม่น้ำลั่วก็ลุกไหม้ขึ้นอย่างหาเหตุผลไม่ได้
ประหนึ่งมีวิหคทองจำนวนนับไม่ถ้วนได้บินออกมาจากดวงตะวันและลงมาสู่โลกมนุษย์ โลกอาบเอิบไปด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์และจิงตูก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากกลางคืนเป็นกลางวัน
พวกคนงานและทหารที่ทำงานซ่อมเขื่อนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตะลึงพรึงเพริด สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
กระบี่เผานภาเริ่มลุกไหม้และขยายตัวออก ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า มีความยาวอย่างน้อยครึ่งถนนหากมองจากพื้นดิน!
คนงานและทหารรวมถึงพวกชาวนครจิงตูก็ตื่นขึ้นอย่างตระหนก มองขึ้นไปยังกระบี่เพลิงขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เสียงร้องด้วยความตกตะลึงดังขึ้นนับไม่ถ้วน
กระบี่เผานภาลุกไหม้อย่างร้อนแรง
ไม่มีหิมะตกลงมาจากก้อนเมฆ ไม่มีเม็ดฝน ไม่มีแม้กระทั่งหมอกให้เห็น
เมฆบนท้องฟ้ายามราตรีถูกเผาไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง เผยให้เห็นดวงดาวดารดาษเต็มฟ้า
เซวียสิ่งชวนหน้าซีดหาใดเปรียบในทันที รีบส่งเสียงตะโกนเตือนไปทางวังหลวง พร้อมกันนั้นเขาก็กระโดดขึ้นหลังกิเลนเมฆาอัคคีและบินไปในความมืดแห่งรัตติกาล!
เฉินฉางเซิงก็เดาได้เช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง พลางคิดว่า ผู้อาวุโส ไม่มีทาง ท่านก็จากไปแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องบ้าๆ ด้วย
นักพรตหญิงชราไม่เข้าใจว่าทำไมซูหลีถึงได้ทิ้งเจตจำนงกระบี่นี้ไว้ที่สำนักฝึกหลวง เซวียสิ่งชวนไม่เข้าใจ เฉินฉางเซิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะไม่ว่าวิถีกระบี่ของซูหลีจะสูงล้ำเพียงไร ต่อให้สามารถใช้กระบี่ตัดลิขิตสวรรค์ แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวของยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และลงมือโจมตีได้
เจตจำนงกระบี่สายนี้ของซูหลีทิ้งไว้ในสำนักฝึกหลวง ไม่ได้เตรียมเอาไว้เพื่อนักพรตหญิงชรา
เขาทิ้งจดหมายไว้บนโลกเจ็ดฉบับ และเจตจำนงกระบี่ที่ซ่อนไว้ในจดหมายที่เขาสั่งให้เฉินฉางเซิงเผาหลังจากอ่านจบนั้นแข็งแกร่งที่สุด
การที่นักพรตหญิงชรามายังสำนักฝึกหลวงและการที่เซวียนหยวนผ้อกระตุ้นเจตจำนงกระบี่ในขี้เถ้าขึ้น ส่งผลให้เจตจำนงกระบี่ขับไล่นักพรตหญิงชราไปตามทางผ่านของมัน
ใช่แล้ว ทางผ่าน ช่างบังเอิญดีแท้ เพราะมันทำเรื่องนี้ได้โดยไม่เสียแรงเพิ่มแต่อย่างใด
แม้ว่านักพรตหญิงชราจะเป็นหนึ่งในแปดมรสุม แต่ก็ยังไม่มีค่าพอให้ซูหลีจัดเตรียมเจตจำนงกระบี่เอาไว้ให้นางโดยเฉพาะ
เขามีแต่ความดูถูกและดูหมิ่นต่อนาง
คนที่เขาอยากสู้ด้วย เป้าหมายของเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ต้องเป็นคนผู้นั้นอยู่แล้ว
คนที่อยู่ในวังหลวงและอยู่ในวังหลวงมาตลอด
คนที่หาใช่คนธรรมดาสามัญ แต่เป็นถึงนักปราชญ์
เสียงหวีดหวิวดังขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรี เซวียสิ่งชวนขี่กิเลนเมฆาอัคคีทะยานขึ้นไปบนฟ้า แทงทวนที่ส่องประกายไฟในมือเข้าใส่กระบี่เผานภาที่ใหญ่โต!
แต่กระนั้น ก่อนที่ทวนของเขาจะสามารถสัมผัสต้องกระบี่เผาฟ้า มันก็ชะงักไป ลมรุนแรงพลันพัดใส่ประกายไฟ ทำให้ทวนหล่นลงพื้น
เซวียสิ่งชวนและกิเลนเมฆาอัคคีร่วงลงไปในแม่น้ำและพ่นโลหิตออกมาคำโต
กระบี่เพลิงอันใหญ่โตเคลื่อนไหวในที่สุด นำเอาเปลวเพลิงและความร้อนมากมายจนนับไม่ถ้วนไปด้วย มันพุ่งผ่านท้องฟ้าจากแม่น้ำลั่วไปยังวังหลวง!
สำหรับคนที่ได้เห็นภาพอันน่าตื่นตานี้จากบนพื้นดินต่างก็รู้สึกตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วและคนอื่นมองดูด้วยสายตาที่ชื่นชมและนับถือ มีแต่ฝึกฝนจนถึงระดับนี้จึงจะเรียกได้ว่าถึงตายก็ไม่เสียดายจริงไหม
ใบหน้าเจ๋อซิ่วเฉยชา ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เขาคิดในใจ ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ สักวันหนึ่งจะเป็นวันที่ข้าเอาชนะเจ้าได้!
นับตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูหนาว หิมะก็ได้ตกลงมาทั่วทั้งนครจิงตู ทว่าเมฆบนท้องฟ้าก็แทบไม่เคยกระจายหายไป จนกระทั่งคืนนี้ เจตจำนงกระบี่สายนั้นกลายเป็นกระบี่เผานภาที่ใหญ่โตแผ่แสงกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและกระจายความร้อนลงสู่ผืนปฐพี เมฆหิมะถูกเผาหายไป เผยให้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้า
ขณะกระบี่เผานภาพุ่งตรงไปยังวังหลวง เมฆหิมะก็ตรงหน้าสลายอันตรธานไป เผยให้เห็นดวงดาวเหนือนภาเป็นทางยาว ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับมีพู่กันวาดภาพบนแผ่นฟ้า ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนทอแสงลงมาตามทางที่กระบี่พุ่งผ่านไป
ดาวดวงแล้วดวงเล่าส่องสกาวบนท้องฟ้า แสงดาวเหล่านั้นไม่ได้สาดแสงลงมายังพื้นดิน หากแต่ติดตามกระบี่เพลิงเผานภาไป เป็นเส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วน
กระบี่เผานภาได้กลายสภาพเป็นมังกรในที่สุด!
ในตอนนี้ทั่วทั้งนครจิงตูต่างก็ตื่นกันหมดแล้ว
มีบางคนที่ไม่เคยนอนหลับ
เมื่อนักพรตหญิงชราเดินผ่านตรอกนั้น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ลืมตาขึ้น
นางก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นกานลู่
นอกจากสุสานเทียนซูแล้ว นี่ก็คือจุดที่สูงที่สุดของนครจิงตู จากที่นี่จะสามารถมองเห็นดวงดาวได้ใกล้ที่สุดและยังเห็นแผ่นดินอันกว้างไกลไพศาล
นางมองดูนักพรตหญิงชรายืนอยู่นอกสำนักฝึกหลวงด้วยสีหน้าเฉยชา
มองดูเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นในสำนักฝึกหลวง สีหน้าของนางก็ยังเฉยชา ทว่านางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะสนใจอยู่บ้าง
ในตอนนี้ กระบี่ได้บินจากริมแม่น้ำลั่วมายังวังหลวง
นางยืนอยู่บนแท่นกานลู่ สายลมพัดเข้าใส่ใบหน้าไร้ที่ติของนาง แต่ก็ไม่อาจทำให้สีหน้าเฉยชานั้นเปลี่ยนไป ทำได้เพียงพัดผมสีดำของนางให้ปลิวไหวไปเล็กน้อยเท่านั้น
นางเอามือไพล่หลัง ตามองดูมังกรกระบี่ที่ใกล้เข้ามาบนท้องฟ้ายามราตรี สีหน้านางสุขุมเยือกเย็น ทว่าแววตามีประกายน่ากริ่งเกรง
……