ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 4 เพื่อนเก่าที่มาพร้อมสายลมและเกล็ดหิมะ
ก่อนหน้านางก็กำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ ในตอนนี้ก็คิดขึ้นมาอีกครั้ง และก็ไม่อาจจะสะกดเอาไว้ได้อีก
แน่นอนว่าไม่ใช่การคิดถึงเขา และก็ไม่ได้อยากไปเจอเขา
นางพูดกับตัวเอง
นางเพียงแค่ประหลาดใจอยู่บ้างก็เท่านั้น อยากจะไปดูเขา…ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อยากจะรู้ ว่าเขาอยู่ในจิงตูเป็นอย่างไร
ในสุสานโจว นางเคยพูดกับเขาคนนั้นถึงศิษย์พี่ชิวซานกับสัญญาหมั้น ก็เคยพูดไว้ว่าที่ตนสนใจที่สุดคือการทำไปตามใจ
ในตอนนี้หัวใจได้ตัดสินไว้แล้ว แน่นอนว่าก็จะไม่ลังเลอีก นางกลับห้องไปเปลี่ยนชุด หยิบร่มขึ้นมา แล้วก็เดินออกไปนอกเรือนท่ามกลางหิมะในยามราตรี
ซวงเอ๋อร์กำลังยกจานใส่เนื้อวัวเดินเข้ามา แล้วถามขึ้นอย่างตกตะลึง “คุณหนู ดึกดื่นขนาดนี้แล้วท่านยังจะออกไปอีกหรือ”
“ใช่”
“ท่านจะไปหาแม่นางม่ออวี่หรือ”
“…ใช่”
……
……
สำนักฝึกหลวงในตอนกลางคืนเงียบสงบเป็นอย่างมาก แต่ตรอกไป่ฮวาที่อยู่นอกสำนักกลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก แสงโคมจากหอสุราอาบไล้เกล็ดหิมะที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา บวกกับไอที่เกิดจากความร้อนภายในหอ ภาพที่เห็นจึงค่อนข้างจะดูเลือนราง สวีโหย่วหรงถือร่มยืนอยู่นิ่งๆ ตรงท้ายตรอก ชุดนักบวชสีขาว เสื้อคลุมสีแดง นี่ก็เป็นการดำรงอยู่ที่งดงามที่สุดในภาพอันเลือนรางนี้
เพราะว่าร่มกระดาษทอง จึงไม่มีใครรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนาง คนที่อยู่ในหอสุราเหล่านั้นไม่มีบุญจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าจึงไม่เกิดความกังวลอะไรขึ้นมา ต่างพูดคุยกันเสียงดังเหมือนตามปกติ ดื่มสุรากันอย่างเต็มที่ ตะโกนเรียกผองเพื่อน เกี้ยวพาหญิงสาว เสียงดนตรีในบางครั้งก็ถูกหยุดไป แต่เสียงหัวเราะและร้องเพลงกลับไม่เคยได้หยุดลง
เมื่อได้ยินบทเพลงที่ออกจะลามกซึ่งดังออกมาจากหอสุราเหล่านั้น สวีโหย่วหรงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
สำหรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง ตัวนางนั้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก นางเคยคาดเดาเอาไว้มากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในระยะห่างเพียงกำแพงกั้น ก็จะเป็นสถานที่ที่ซุกซ่อนคนชั่วเอาไว้
“เป็นเจ้าสำนักแล้ว ทำไมถึงไม่มาดูแลสักหน่อย”
น่าประหลาดอย่างมาก เพราะเรื่องนี้นางจึงเกิดความไม่พอใจต่อคนผู้นั้นเป็นอย่างมาก
สายลมยามราตรีพัดผ่าน เกล็ดหิมะปลิวไสว นางข้ามผ่านกำแพงสำนักไปอย่างไร้สุ้มเสียง กองทัพนิกายหลวงที่เฝ้าอยู่กลางหิมะเหล่านั้นล้วนไม่ได้รับรู้ถึงเลย เมื่อลงมาอยู่ภายในกำแพง ก็เผชิญหน้าเข้ากับทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่ข้างทะเลสาบมีห้องเรียงกันอยู่ พอจะสามารถได้กลิ่นของไม้ฟืน นางจึงเดาว่าที่นี่น่าจะเป็นห้องครัว จึงก้าวเท้าเดินเข้าไป เมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีคน ก็ผลักประตูเดินเข้าไปดูสักหน่อย
“อาหารก็ไม่เลวเลยจริงๆ”
นางมองวัตถุดิบที่อยู่ในห้องครัวของสำนักฝึกหลวง แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ แต่กลับไม่รู้สึกเลยว่าจากตำแหน่งของนางนั้นก็ออกจะผิดแปลกไปสักหน่อย
ในตอนที่นางมองเห็นเปลือกของกุ้งมังกรสีครามที่อยู่ในกองวัตถุที่เตรียมไว้เหล่านั้น ในที่สุดก็เชื่อคำพูดของซวงเอ๋อร์
นางส่ายหน้า ในใจคิดว่าถึงกับย้ายหอเฉิงหูมาจริงๆ คุณชายของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยผู้นั้นก็ช่างเป็นที่น่าประหลาดเสียจริง
นางเดินเลียบทะเลสาบ เดินไปจนถึงฝั่งตรงข้าม ก็ได้เห็นต้นไทรย้อยต้นนั้น หลังจากนั้นนางก็มองเห็นอาคารกับแสงไฟที่อยู่หลังกำแพงเตี้ยๆ ทางด้านนั้น
นางนึกถึงตอนที่อยู่ในวัดหิมะที่ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เขาเคยพูดถึงภาพเหล่านี้ และเล่าถึงเรื่องบางอย่าง แล้วยังมีข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น นางเดาได้ว่าที่นั่นน่าจะเป็นหอตำรา เขาค้นหาดาวโชคชะตาของตัวเองพบตอนที่อยู่ในหอแห่งนั้น
ใต้ต้นไทรย้อยไม่ไกลมีอาคารหลังเล็ก เมื่อเทียบกับโคมไฟที่ส่องสว่างกับความคึกคักของที่อื่นในสำนักฝึกหลวง อาคารหลังเล็กนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเงียบสงบกว่ามาก
นางตรงเข้าไปผลักประตูของอาคารหลังเล็ก ถือร่มกระดาษทองเดินเข้าไป
หลังจากนั้น นางก็หยุดเท้าลง
นี่เป็นชั้นแรก นางหยุดลงที่หน้าประตูของห้องแรก ที่รอยแยกของประตูสามารถได้กลิ่นยาที่กำจายออกมา
ในห้องที่อยู่ด้านหลังประตูมีเตียงหลังหนึ่ง
เจ๋อซิ่วนอนอยู่บนเตียงหลังนั้น
ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว แต่บาดแผลในส่วนของเส้นชีพจรก็ยังไม่ได้หายดี ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ เขายังต้องนอนอย่างสงบ
ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมา
เขาค่อยๆ กลอกตามองไปทางประตูห้อง สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่
สีหน้าของเขาในตอนนี้ถึงขนาดระมัดระวังยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยาขุนพลมารในสวนโจวเสียอีก
สายตาไปหยุดอยู่ที่ประตูห้อง ม่านตาของเขาค่อยๆ หดลง
แขนขวาที่อยู่ใต้ผ้าห่มของเขาค่อยๆ ขยับ แล้วจับไปที่กระบี่ธงชัยแม่ทัพมาร
ในวินาทีที่จับไปที่ด้ามกระบี่ หลังมือของเขาก็มีขนสีดำโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ม่านตาที่หดลงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว กระทั่งเตรียมพร้อมจะเปลี่ยนร่างอย่างไม่ลังเล เป็นเพราะว่าเขารู้สึกได้ว่า ผู้ที่อยู่นอกประตูห้องคนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก
ถ้าหากพูดถึงระดับพลัง คนที่อยู่นอกประตูผู้นั้นก็น่าจะไม่ต่างกับเขามาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่อันตรายเป็นอย่างมากกับเขา
นี่ก็คือจุดที่เป็นปัญหา
เพราะว่าพรสวรรค์ในสายเลือดที่มีความพิเศษกับสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาอย่างโหดร้าย ตั้งแต่เล็กเขาก็อยู่เคียงข้างมากับการฆ่าสังหาร อาศัยการฆ่าเผ่ามารเพื่อให้มีชีวิตรอด สามารถพูดได้ว่า เด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าอย่างเจ๋อซิ่วเป็นเด็กหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มากที่สุด หรือพูดได้ว่าการฆ่าสังหาร ในความรู้ของเขากระทั่งในความรู้ของทุกคน ในระดับเดียวกันกับเขาไม่มีทางมีใครที่สามารถเอาชนะเขาไปได้ ในตอนที่เขายังไม่ได้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ก็เคยคิดจะฆ่าโก่วหานสือที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้ว
แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า ต่อให้ตนไม่ได้รับบาดเจ็บ แล้วได้ฟื้นฟูจนอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าประหลาดเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าไม่เคยประมือกับคนที่อยู่นอกประตูผู้นั้น แต่ราวกับได้ประมือกับอีกฝ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้ง…เขายังไม่เคยเอาชนะได้เลย
ซึ่งนี่ก็เป็นความรู้สึกอันตรายกับความรู้สึกแปลกใจ ทำให้เขาค่อนข้างจะอ่อนไหว ดังนั้นจึงระมัดระวัง กระทั่งไม่ค่อยจะสบายใจ
คนที่อยู่นอกประตูห้องผู้นั้นเป็นใครกันแน่
……
……
สวีโหย่วหรงถือร่มกระดาษทอง มองประตูห้องอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
นางเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นใคร
นางกับอีกฝ่ายไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ที่จริงก็เคยพบกันมาหลายครั้ง
สถานที่ที่พวกเขาพบกันก็คือป้ายหินที่อยู่หน้าประตูของสำนักไม้เลื้อยกับสำนักต่างๆ
ในนั้นก็คือประกาศชิงอวิ๋น
ในสามปีที่ผ่านมา นางเป็นอันดับหนึ่งของประกาศชิงอวิ๋นมาโดยตลอด คนผู้นั้นก็เป็นอันดับสองของประกาศชิงอวิ๋นมาโดยตลอดเช่นกัน
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นสมัยก่อน นางจะต้องไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้ประมือกับอีกฝ่ายไปแน่ แต่ในตอนนี้นางรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายดี แน่นอนว่าไม่มีทางส่งคำเชิญไปแน่
ครู่หนึ่งให้หลัง นางก็หันกายเดินขึ้นไปที่ชั้นบน โดยที่ไม่ได้จงใจจะลบเสียงฝีเท้าของตน
……
……
จากเสียงฝีเท้าของอีกฝ่าย เจ๋อซิ่วฟังออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
แต่คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้เข้ามาในสำนักฝึกหลวงยามค่ำคืน
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงข่าวที่สะเทือนจิงตูในวันนี้เป็นที่สุดข่าวนั้น ไปจนถึงนกกระเรียนขาวที่ช่วงกลางวันอยู่ที่ข้างทะเลสาบไปครึ่งวันตัวนั้น ใบหน้าก็เผยความตกตะลึงออกมา
พริบตาเดียว เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินฉางเซิงในตอนนี้กำลังทำอะไร ความตกตะลึงพลันเปลี่ยนเป็นสงสารและเห็นใจในทันที
……
……
สวีโหย่วหรงเดินตรงไปที่ห้องของเฉินฉางเซิง
สำหรับนางแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร ไม่จำเป็นต้องเข้าใจสิทธิพิเศษของเจ้าสำนักอะไร ขอเพียงแค่เข้าใจเขาก็พอแล้ว
นางจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่อยู่ในสวนโจว ต่อให้จะลำบากหรือยุ่งสักแค่ไหน ต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งไม่มีเวลาจะอาบน้ำเลย เขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะล้างใบหน้ากับมือให้สะอาด
ชั้นนี้สะอาดเป็นอย่างมาก สะอาดอย่างถึงที่สุด สะอาดจนทำให้ผู้คนขนลุก
ไม่มีใยแมงมุม ไม่มีเศษกระดาษ ไม่มีขยะ กระทั่งแม้แต่รอยต่อของพื้นไม้ที่อยู่ตรงมุมก็ยังไม่เห็นเศษฝุ่นเลยแม้แต่น้อย พื้นทางเดินก็ราวกับถูกล้างด้วยน้ำหลายสิบรอบในทุกๆ วัน สะอาดจนแทบจะสามารถสะท้อนเห็นเงาคนได้แล้ว
สวีโหย่วหรงมองกระโปรงที่ตนสวมอยู่ รู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจอยู่บ้าง ในใจคิดว่าคนที่รักสะอาดล้วนไม่ปกติเช่นนี้หรือ
นางเดินไปทางห้องห้องนั้น รองเท้าที่เหยียบย่ำลงบนพื้น ไม่ได้ส่งเสียงออกมา เหลือทิ้งไว้เพียงหิมะกับดินโคลนที่ติดมาจากด้านนอก
เมื่อมาถึงหน้าประตู นางหันกลับไปมองรอยเท้าอันชัดเจนที่อยู่บนทางเดินแสนสะอาดเหล่านั้น ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา
เมื่อยืนยันได้ว่าในห้องไม่มีคน นางก็ผลักประตูแล้วเดินตรงเข้าไป