ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 41 การพบกันของเหนือใต้และการเริ่มทำลายค่ายกล
ซูหลีจากไปแล้ว แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป และเหตุการณ์ใหญ่ของโลกมนุษย์ก็ดำเนินไปอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
ตามสัตย์จริงแล้ว เป็นเพราะซูหลีจากไป เหตุการณ์ใหญ่นี้ถึงมีโอกาสสำเร็จได้ สามารถดำเนินต่อไปได้
ในวันที่สิบเจ็ดหลังจากที่สวีโหย่วหรงกับพวกจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาถึงนครจิงตู ประมุขตระกูลชิวซาน ตัวแทนจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายจากแดนใต้ก็มาถึงชายแดนต้าโจว พรรคฉางเซิงได้ปิดพรรคเป็นเวลาสามปี แต่พรรคสำนักที่ปกติแล้วติดอยู่กับพรรคฉางเซิงได้ส่งตัวแทนมา
เวลาผ่านไป ตัวแทนจากขุมกำลังต่างๆ ในแดนใต้ก็เริ่มมานั่งในห้องประชุมมากขึ้นเรื่อยๆ
การบรรจบกันของเหนือใต้มิใช่เพียงชื่อในบันทึกโบราณหรือจินตนาการอีกต่อไป มันใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
สำหรับชาวแดนใต้ ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาพบเจอหลังจากการจากไปของซูหลีและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ คือพวกเขาไม่มียอดฝีมือในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะเจรจาหรือที่อื่นใดก็ตาม แม้แต่โต๊ะอาหารพวกเขาก็ยังรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างเสียมิได้
คาดไม่ถึงว่าวังหลวงและนิกายหลวงต่างก็ไม่ได้ฉวยโอกาสจากความแตกต่างของความแข็งแกร่งนี้เรียกร้องสิ่งที่ไม่สมเหตุผล ในทางกลับกัน พวกเขาแสดงความใจกว้างซึ่งยากจะพบเห็นได้ ให้คำยืนยันสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของแดนใต้
มีแต่คนที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะมองเห็นการประกระบี่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเจรจาได้
นี่เป็นการประกระบี่ระหว่างซูหลีกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และใต้เท้าสังฆราช
ด้วยความกล้าและปัญญาเหนือจินตนาการ ซูหลีได้สละสิทธิ์ที่จะล้างแค้นคนที่ไล่ล่าเขาระหว่างเดินทางกลับแดนใต้ เมื่อเขาเดินทางจากไปพร้อมกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แดนใต้ก็เสียความมั่นใจไปจนหมด จึงพยายามป้องกันไม่ให้การเจรานี้เป็นการฝังตัวเองลงในปลักโคลนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้านี้
แล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราชก็ให้การตอบแทนที่เหมาะสมแก่เขา ให้แดนใต้ได้รับข้อเสนอที่ใจกว้างกว่าปกติ
ในรายละเอียดของการเจรจา การตอบแทน การปฏิบัติอย่างใจกว้างที่เกิดขึ้นนี้ หลังจากการบรรจบกันของเหนือใต้ แดนใต้จะยังคงมีความเป็นอิสระอยู่มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ความเป็นอิสระนี้ได้เหนือกว่าที่แดนใต้จะฝันถึงได้แล้ว
พวกเขาไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเขตปกครอง ไม่ต้องตัดแบ่งส่วนการปกครอง พวกเขาสามารถจัดการขุนนางของตนได้โดยไม่ต้องขอการอนุมัติจากนครจิงตู แค่ต้องถูกตรวจสอบจากนครจิงตูทุกสามปี ภาษีอากรก็เป็นไปอย่างยุติธรรม ในแง่ของการจัดสรรงบประมาณนั้นก็โน้มเอียงไปทางดินแดนที่ยากจนในแดนใต้
นอกจากนี้ แดนใต้ยังได้รับผลประโยชน์อื่นอีกมาก โดยเฉพาะในเรื่องการสอบใหญ่และการสอบขุนนาง นับจากนี้ไป พวกเขาไม่จำเป็นต้องยึดตามส่วนแบ่งจากนครจิงตูอีกต่อไป แต่ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเขตปกครองอื่นๆ คำนวณสัดส่วนจากจำนวนประชากร ด้วยผลงานของแดนใต้ในช่วงหลายปีมานี้ พวกเขาจะได้ประโยชน์มากมายในการสอบใหญ่
แน่นอนว่าชาวใต้ก็ไม่อาจได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ก่อนที่การเจรจาจะจบลง มีหลายเรื่องได้ถูกยืนยันเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือในอนาคตเรื่องการทหารและการต่างประเทศต้องอยู่ในอำนาจจัดการของนครจิงตู ส่วนที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือชายแดนนับหมื่นลี้ทางเหนือในทุ่งหิมะ ในอดีตพรรคและตระกูลชั้นนำของแดนใต้ต่างก็ส่งยอดฝีมือไปยังป้อมปราการทางตอนเหนือเพื่อช่วยต่อต้านกองทัพมาร อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือเหล่านี้ถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ ยินดีรับฟังคำแนะนำแต่ไม่ยอมรับคำสั่ง แต่ในตอนนี้ยอดฝีมือพวกนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการขนส่งและเรื่องที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่ากองทัพของมนุษย์นั้นแข็งแกร่งขึ้นมากเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเสมอมา เป็นเป้าหมายหลักของการบรรจบกันของเหนือใต้
เมื่อการเจรจาการบรรจบกันของเหนือใต้กำลังก้าวหน้าสู่ความสำเร็จไปช้าๆ ทหารและยอดฝีมือของโลกมนุษย์ก็เสริมกำลังในชายแดนเหนือ ขบวนเสบียงเดินทางจากใต้เป็นแนวยาวหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ไปยังแนวชายแดนสำคัญทั้งสิบเอ็ดเส้นทาง พวกเขาเตรียมพร้อมปะทะกับทหารม้าของเผ่ามารที่มุ่งลงใต้มาทุกเมื่อ เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเผ่ามารคงไม่ยอมนิ่งเฉยดูพวกมนุษย์ทำการบรรจบกันของเหนือใต้ให้สำเร็จ พวกมันต้องทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเจ้ากุนซือ คนชุดดำผู้ชั่วร้ายเลวทราม บางทีเขาอาจได้ลงมือทำแผนการเจ้าเล่ห์บางอย่างไปแล้วก็ได้
สถานการณ์ชายแดนเหนือค่อนข้างตึงเครียด ที่สองข้างของโต๊ะเจรจาก็ค่อนข้างเคร่งเครียด หากแต่เป็นความตึงเครียดที่แตกต่างกันสองชนิด ในการเจรจา สวีโหย่วหรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าในมุมมองเชิงจิตวิทยาแล้ว นางเป็นตัวแทนที่สำคัญที่สุด เพราะนางเป็นทั้งชาวโจวและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ในเวลาเดียวกัน เป็นธรรมดาที่นางจะงานยุ่งทั้งวัน ถูกพวกตัวแทนจากทางใต้เรียกหาในขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารพูดคุยกับวังหลวงของต้าโจว โชคยังดี นางอาศัยอยู่ในวังหลวง จึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะได้พบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เฉินฉางเซิงไม่ได้พบนางมาสิบกว่าวันแล้วและรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เขารู้ว่านางกำลังทำในสิ่งที่สำคัญมากดังนั้นเขาจึงไม่บ่นแต่อย่างไร ด้วยความเป็นคนที่เห็นค่าของเวลาเหนือสิ่งอื่นใด เขาจึงไม่เสียเวลาไปกับการคิดถึงและรอคอย เขาอาศัยความเย็นของฤดูหนาวคลุมจิตใจและทำความเข้าใจลูกปัดหินทั้งห้า ทบทวนเคล็ดวิชาดาบสองท่อน เขายังสอนบทเรียนให้กับพวกนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาไม่สิ้นสุด แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเรื่องสำคัญอื่นๆ ด้วย
วันธรรมดาวันหนึ่งกลางลมหิมะในฤดูหนาว เขาซื้ออาหารจำนวนมากและของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ในตลาด หลบสายตาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนรอบสำนักฝึกหลวงอยู่ใต้ร่มกระดาษทอง ซ่อนตัวจากการเฝ้ามองของทหารองครักษ์จนมาถึงต้นไม้นอกกำแพงตำหนัก จากนั้นก็ใช้ลมแรงหิมะโปรยบดบังสายตาผู้คน กระโดดลงไปในบ่อน้ำสะพานอุดรใหม่
กระดาษไผ่ซับมันวางอยู่บนพื้น กินพื้นที่กว่าครึ่งบ้าน มีอาหารร้อนกรุ่นน่ากินมากมายวางเรียงรายอยู่ กลิ่นไอควันหอมหวนชวนน้ำลายสอ มีทั้งหางกวางนึ่ง เป็นย่าง ห่านย่าง บ๊ะจ่างเป็นโหล แต่ครั้งนี้ไม่มีอุ้งตีนหมี…เพราะเซวียนหยวนผ้อทำให้ไม่มีใครในสำนักฝึกหลวงกินอาหารชนิดนี้อีก
เฉินฉางเซิงใช้สองนิ้วคีบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากบรรจงเช็ดมือจนไร้คราบมัน ก็เงยหน้าขึ้นมองมังกรดำและกล่าว “ถังถังใช้หอเฉิงหูเป็นโรงครัวของสำนักฝึกหลวง…ข้าลืมบอกเจ้าไป…แต่นอกเหนือจากกุ้งมังกรครามแล้ว ข้านำของอย่างอื่นจากด้านนอกมาด้วย ข้ารู้สึกว่ามันรสชาติดีกว่า”
ที่ใจกลางของอาหารเหล่านี้มีกุ้งมังกรครามกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ อยู่
เฉินฉางเซิงยิ้มในยามที่พูด เขายิ้มอย่างหมดจดแสดงความปีติที่มาจากใจ
ได้นำอาหารชั้นดีมากมายมาให้มังกรดำกิน เขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง
ร่างกายใหญ่โตปานภูเขาของมังกรดำค่อยๆ ร่อนลงมา ไอความเย็นที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูดกดทับลงมาบนควันที่ลอยอยู่เหนืออาหารเหล่านั้น
เฉินฉางเซิงรีบดึงเอากระบี่ออกมาและฟันลง เจตจำนงกระบี่ที่มีแสงไฟอ่อนจางก็พุ่งขึ้น อาหารเหล่านั้นก็อุ่นขึ้น ไม่ได้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งไป
เขาใช้กระบี่เผานภาออกไป
คืนนั้นเมื่อหลายวันก่อน เขาได้ทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ในจดหมายเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างกระบี่เผานภาของซูหลีกับปิ่นหงส์ไม้ดำของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้มอบประโยชน์บางอย่างแก่เขา
แม้ว่าเขาไม่อาจพูดได้ว่าบรรลุถึงขั้นสูงของวิถีกระบี่ แต่ด้วยการบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าเขาได้เป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่แล้ว
เว้นเสียแต่ว่า…การใช้กระบี่เผานภาที่ยากจะตีความอย่างเหลือแสนในการอุ่นอาหารนั้น ออกจะไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม
แต่มังกรดำไม่เชื่ออย่างนั้น นางรู้สึกว่านี่เหมาะสมอย่างยิ่ง
นางรู้สึกพึงพอใจที่เฉินฉางเซิงเหน็ดเหนื่อยจัดวางอาหารเต็มพื้น มีทั้งกุ้งมังกรครามสูงเป็นภูเขา และยิ่งพึงพอใจมากขึ้นกับวิธีอุ่นอาหารโดยใช้กระบี่เผานภา เพราะนี่แสดงว่าในสายตาของเขา การที่นางได้กินอาหารอุ่นสดใหม่นั้นสำคัญกว่าสิ่งที่เรียกว่าเกียรติภูมิของวิถีแห่งกระบี่
นางตัดสินใจจะยกโทษให้เรื่องที่เขาไม่ได้มาเยี่ยมนางเป็นเดือนแล้ว
เสียงร้องของมังกรที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อน ทรงเกียรติและห่างไกล ดังก้องไปทั่วพื้นที่อันหม่นมัวและหนาวเย็นนี้
เฉินฉางเซิงสะดุ้งเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมมังกรดำถึงได้ไม่รีบกินแต่กลับต้องการให้เขาเรียนภาษามังกรก่อน จากนั้นก็นึกได้ว่าเขานำอาหารมาให้มังกรดำหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเห็นางกินต่อหน้าเขาเลย
“อ้า…”
“เอ้อ…”
“อี้…”
“อู้..”
“ชู่…”
เสียงทุ้มต่ำและยิ่งใหญ่ของมังกรดำดังก้องสะท้อนอยู่ในถ้ำ ในขณะที่เฉินฉางเซิงตั้งใจเรียนภาษานี้อย่างเงอะงะงุ่มง่าม
เฉินฉางเซิงเรียนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ จนกระทั่งเสียงแหบแห้ง ห้วงแห่งจิตว่างเปล่า ร่างกายอ่อนล้าอย่างที่สุด แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะฟันกระบี่เผาสวรรค์ออกไปเป็นระยะๆ เพื่อให้เป็ดย่างห่านย่างยังคงหอมกรุ่นอุ่นดี
หนวดของมังกรดำลอยขึ้นเป็นระยะๆ ปัดเศษหิมะที่อยู่บนกองภูเขากุ้งมังกรคราม กลายเป็นภาพที่งดงามมาก
หลังจากเวลาผ่านไปนาน บทเรียนภาษามังกรวันนี้ก็จบลงในที่สุด มังกรดำพ่นลมหายใจใส่ใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ทำให้เกิดชั้นน้ำแข็งบางๆ ขึ้นในทันที เขาใช้มือเช็ดเกล็ดน้ำแข็งออกและรู้สึกเย็นขึ้นมาทันที เขารู้สึกสดชื่นและความเหนื่อยล้าก็หายไปจนสิ้น
“ข้ามาที่นี่เพื่อดูสักหน่อย”
เฉินฉางเซิงไม่ลืมเรื่องสำคัญที่สุด วิ่งตรงไปด้านหลังจนได้เห็นโซ่ทั้งสองเส้น ที่ปลายด้านหนึ่งของโซ่ติดอยู่กับผนังหินและมีสองขุนพลในตำนานดึงเอาไว้ เมื่อเทียบกับร่างใหญ่ยักษ์ของมังกรดำแล้ว โซ่ทั้งสองเส้นก็เสมือนกับเส้นด้ายเล็กๆ แต่มัดกังขังมังกรดำเอาไว้อย่างแน่นหนา
พอจะเดาได้ว่าหลายร้อยปีมานี้ มังกรดำคงพยายามดึงโซ่ทั้งสองออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ
เฉินฉางเซิงใช้เวลาส่วนใหญ่หลังจากออกจากสวนโจวกลับมาจิงตูเพื่อคิดหาวิธีที่จะทำลายโซ่นี้ ทว่าก็ล้มเหลวเช่นกัน
ค่ายกลที่หวังจื่อเช่อวางไว้บนกำแพงหินนั้นซับซ้อนและน่าอัศจรรย์เกินไป ประดุจทะเลดวงดาวก็มิปาน
อวี่กงและฉินจง ขุนพลเทพทั้งสองได้ทิ้งดวงจิตบางส่วนเอาไว้ที่ผนังหิน ซึ่งทรงพลังอย่างยิ่งราวกับสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
ยุคดอกไม้บานครั้งก่อนนั้นห่างจากปัจจุบันนี้เกือบพันปีแล้ว ทว่าตำนานเหล่านั้นก็ยังเป็นตำนาน แม้ว่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงจิตก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสู้ได้ ไม่ใช่เขตแดนที่เขาจะสามารถสัมผัสได้ นั่นคือเขตแดนที่เรียกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ใต้ผนังหิน ภายใต้สายตาของตำนานที่จับจ้องมา เขาก็ยังอ่านตำราในมืออย่างเงียบงัน
ตำราที่เขาอ่านค่อนข้างเก่า ชื่อว่า “ตำรารวมภาพค่ายกลปรมาจารย์เซ่อหยาง”
ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์ของหวังจื่อเช่อเป็นใคร ในเวลานั้นยามที่เขาเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาในสำนักเทียนเต้าช่วงวัยกลางคน เขาก็ทำให้นครจิงตูอาบด้วยแสงดาวอย่างฉับพลันและทำให้ต้าลู่สั่นสะเทือน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์เขาคือใคร เฉินฉางเซิงค้นหาตำรับตำราหลายร้อยเล่มในห้องสมุดของสำนักฝึกหลวง พบว่าในบ้านเกิดของหวังจื่อเช่อมีนักพรตธรรมดาแซ่อู๋อยู่
บ้านเกิดของหวังจื่อเช่อคือเซ่อหยาง
นักพรตแซ่อู๋นี้ก็คือปรมาจารย์แห่งเซ่อหยาง
……