ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 46 สืบสานเรื่องเก่าหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น
จี้จิ้นจากสำนักต้นไหวแห่งแดนใต้ หลังจากกล่าวคำสาบานเลือดว่าจะเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่อาจไปจากสุสานเทียนซูได้ตลอดชีวิต
ปีกลายคนผู้นี้ได้ช่วยเหลือศิษย์จากสำนักต้นไหวนามจงฮุ่ย ให้มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์และทำความเข้าใจจนเขาเหนือกว่าเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือได้ในเวลานั้น เขาเย้ยหยันตำหนิวิธีทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์ของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสืออย่างรุนแรง แต่เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือกลับใช้ความจริงตอบโต้กลับมาจนเขาต้องเงียบไปด้วยความอับอาย
จี้จิ้นจ้องมองเฉินฉางเซิงดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูและเกลียดชัง
แม้ว่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์จะไม่อาจออกจากสุสานเทียนซูได้ แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก ข่าวคราวจากภายนอกสุสานเทียนซูก็เข้าหูเขาทีละเล็กทีละน้อย
เฉินฉางเซิงใช้เวลาวันเดียวมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ส่วนหน้าทั้งหมด จนกลายเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยที่สุด เขาเข้าไปในสวนโจว เหมือนจะตายไปแต่กลับกลายเป็นว่ารอดชีวิตมาได้ เขาเดินทางร่วมกับซูหลีกลับแดนใต้ เพียงวันเดียวก็ก้าวหน้าพันลี้ในวิถีแห่งกระบี่ เอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวที่อยู่สูงกว่าระดับของเขาได้ ถึงขนาดเอาชนะความภาคภูมิใจแห่งยุคอย่างสวีโหย่วหรง ทั้งยังได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง…
จงฮุ่ย ศิษย์สำนักต้นไหวที่เขาฝากฝังความหวังไว้ได้อันดับสามในการสอบใหญ่ปีที่แล้ว เป็นรองแค่เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือเท่านั้น ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี จงฮุ่ยได้ก้าวหน้าขึ้นมากมายและทำให้แดนใต้ตื่นตะลึง แต่เขาจะเทียบกับเฉินฉางเซิงได้อย่างไรกัน
ช่างโหดร้ายนัก ที่นี่คือสุสานเทียนซู สุสานเทียนซูที่เขายินดีจะมอบชีวิตและอิสระภาพเพื่อที่จะสามารถอยู่ที่นี่ได้!
แล้วเจ้ากลับเดินเข้ามาหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน!
สวีโหย่วหรงไม่รู้จักจี้จิ้น แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่มีการบำเพ็ญเพียรลึกล้ำยากหยั่งถึง และยังเป็นปรปักษ์กับเฉินฉางเซิงอย่างเห็นได้ชัด
เฉินฉางเซิงเหมือนจะเข้าใจว่าความโกรธของจี้จิ้นนั้นมาจากไหน เขาโค้งกายเล็กน้อยไม่กล่าวอะไร
โดยหลักการแล้วต้องเป็นจี้จิ้นที่คำนับให้เขา แต่เขารู้สึกว่าด้วยวัยของจี้จิ้นและชีวิตที่ใช้อยู่ในที่แห่งนี้ เขาควรเป็นฝ่ายทักทายก่อน
แต่จี้จิ้นดูเหมือนจะไม่สนใจทักทายกลับ เพียงแค่จ้องกลับมา
สวีโหย่วหรงสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ดวงตานางที่จับจ้องยังจี้จิ้นเริ่มเป็นประกายกว่าเดิม
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและนำนางไปอีกด้านของเส้นทางภูเขาเพื่อเดินผ่านไป
สองมือที่พ้นออกมาจากแขนเสื้อของจี้จิ้นนั่นสั่นเทา และเมื่อเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเดินผ่านร่างเขา บนมือทั้งสองก็มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะไม่กล้าทำ
เขาใช้ชีวิตช่วงปีที่ผ่านมาอย่างหดหู่และหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ระบายอารมณ์ เฉินฉางเซิงย่อมเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
แต่แม้ว่าเขาจะอยู่ในสุสานเทียนซู ครอบครัวและสำนักต้นไหวยังคงอยู่ภายนอก
หากเขาไม่ต้องการให้ครอบครัวและสำนักต้นไหวถูกเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยความโกรธของนิกายหลวง เขาก็ต้องไม่ทำอะไร
เขาไม่จำเป็นต้องคำนับให้เฉินฉางเซิง แต่ก็ไม่อาจลงมือทำอะไรได้เช่นกัน
……
……
ดวงตะวันลอยขึ้นและเมฆก็เริ่มกระจายตัวไป นครจิงตูในหน้าหนาวนั้นให้ความรู้สึกที่ต่างไป อาบย้อมไปด้วยความงามอันเปิดเผยกว้างใหญ่
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในสุสาน จ้องมองถนนในนครจิงตูจากระยะไกล คิดว่าตนเองเคยนั่งอยู่บนต้นไทรย้อยในสำนักฝึกหลวงและมองดูถนนกับลั่วลั่ว เขากล่าวขึ้น “ข้าเคยให้ลั่วลั่วช่วยข้าสืบเรื่องของเจ้า เมื่อ…ข้าพบเจ้าแล้ว ก็รู้สึกว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับนาง ข้าจึงได้บอกเรื่องนี้ในจดหมายที่เขียนถึงนาง”
สวีโหย่วหรงตอบอย่างแผ่วเบา “ในยามที่ข้าอยู่ที่หลีซาน คิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ข้าจึงบอกศิษยืพี่เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจว ศิษย์พี่รู้สึกเป็นห่วงข้าอยู่บ้าง ไม่กี่วันก่อนหลังจากกินเนื้อซี่โครงกัน ข้าก็ได้เขียนจดหมายถึงเขา”
หลังจากพบกันวันนั้นบนสะพานหน่ายเหอ และจากนั้นก็กินเนื้อซี่โครงด้วยกัน พวกเขาก็ยืนยันแล้วว่าควรจะทำเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง นี่เป็นลักษณะของผู้มีความรับผิดชอบ แม้ว่าเขากับนางจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ หรือคิดเรื่องของพวกเขาจริงจังนัก แต่พวกเขาก็ยังคงทำเช่นนั้น
สิ่งที่พวกเขาบอกในจดหมายทั้งสองฉบับนั้นก็คือวิธีที่พวกเขาใช้แสดงความตั้งใจออกมา
จากสวนโจวจนถึงตอนนี้ เขาและนางได้แสดงถึงความสนใจที่มีต่อกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ใช้วิธีที่ออกจะพิเศษอยู่บ้าง อย่างเช่นการปัดหิมะเอย แตะไหล่เอย หรือไม่ก็เขียนจดหมายไปหาคนอื่น
ดวงตาเฉินฉางเซิงกระจ่างใสยิ่งนัก ประดุจสายธารเล็กๆ สามารถมองเห็นความยินดีที่ว่ายอยู่ในดวงตาคู่นั้นราวกับปลา
สวีโหย่วหรงกระซิบ “ข้าให้เจ้ามาที่สุสานเทียนซูไม่ใช่เพราะ…เพราะเรื่องจริงจัง”
คำพูดของนางนั้นไม่สมบูรณ์ ทีว่า ‘ไม่ใช่เพราะ’ ในประโยคนั้นอันที่จริงควรเป็น ‘ไม่ใช่เพียงเพราะ’
มาพบกันที่สุสานเทียนซู จะมีเรื่องจริงจังอันใดให้ทำได้ เป็นธรรมดาที่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผ่นป้ายอนุสรณ์
ด้านหลังของพวกเขาเป็นกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ บทกลอนถูกจากรึกไว้อย่างชัดเจนบนผิวของแผ่นป้าย แต่การทำความเข้าใจนั้นกลับยากแสนเข็ญ
เฉินฉางเซิงเดินเข้าหาแผ่นป้ายอนุสรณ์ นึกถึงเมื่อปีกลายที่เขามาดูแผ่นป้ายนี้ก็รู้สึกเศร้าอยู่บ้าง
“ในตอนนั้น ข้ากำลังหุงข้าวในกระท่อมในขณะที่แสงสาดส่องลงมาบนรั้ว…”
เขาอธิบายสิ่งที่เขาได้ประสบมาตอนที่เขามองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์จนได้หยั่งรู้โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยรวมถึงวิธีการต่างๆ ที่เขาใช้อีกด้วย
สวีโหย่วหรงรับฟังอย่างเงียงงัน สองมือที่อยู่ด้านหลังสั่นเป็นระยะๆ ในสายลมอันสดชื่น ประหนึ่งว่านางกำลังใช้ถาดดาวโชคชะตาคำนวณตามที่เขาพูด
หลังจากเฉินฉางเซิงกล่าวจบ นางก็เริ่มอธิบายประสบการณ์และสิ่งที่นางได้จากการมองแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าครั้งแรก “…ดังนั้นในแก่นแท้ เงานั้นก็ยังคงสั่นไหวอยู่ในรังสีแห่งแสง”
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่แน่ใจและถามกลับ “หมึกที่ใช้ในการลอกลายนั้นต่างก็มีเงาที่ต่างไปของตัวเอง นี่ไม่ทำให้ความหมายบางอย่างหายไปหรอกหรือ”
สวีโหย่วหรงตอบ “หนังสือลอกลายแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ซึ่งเก็บอยู่ที่สถานศึกษาหนานซีนั้นทำขึ้นโดยเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรก โดยการใช้เจตจำนงของสวรรค์ประทับไว้ในดวงวิญญาณของนาง จากนั้นก็ประทับภาพนั้นลงบนแผ่นป้ายใหม่ อย่างน้อยก็รักษาความหมายที่แท้จริงเอาไว้ได้สองสามส่วน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกคารวะสุดใจต่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างนิกายฝั่งใต้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
การที่รักษาความหมายที่แท้จริงไว้สองสามส่วนนั้นอาจจะฟังดูน้อยนิด แต่ต้องรู้ว่านี่คือความหมายที่แท้จริงของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ การที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้ความหมายแท้จริงนี้ประทับอยู่ในวิญญาณของนางและยังสามารถถ่ายทอดออกไป นี่ก็นับได้ว่าเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์แล้ว
การลอกลายแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เช่นนี้ย่อมแตกต่างไปจากแผ่นลอกลายที่ขายอยู่หน้าโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่ออย่างสิ้นเชิง
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องของแผ่นลอกลายอยู่ในตอนนี้ เงาที่ข้าพูดถึงนั้นคือเงาของพู่กันที่จารึกอยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์” สวีโหย่วหรงอธิบาย
เฉินฉางเซิงนั้นเข้าใจได้ช้าอยู่บ้าง จึงถามขึ้น “เจ้าเคยมาสุสานเทียนซูเพื่อดูแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วอย่างนั้นหรือ”
สวีโหย่วหรงกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย “ตอนอายุได้ห้าขวบก็ถูกจักรพรรดินีลากมาที่นี่”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไป คิดดูแล้ว ช่างเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นพูดอะไรไม่ออกอย่างแท้จริง
หลังจากมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นต่อไป พวกเขาพบเห็นผู้ดูแผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนเล็กน้อยอยู่เป็นระยะๆ ไม่ได้มีมากเท่าไรนัก และคนเหล่านี้ก็อยู่ภายในสุสานเทียนซูแห่งนี้มาหลายปี เส้นทางแห่งจิตของพวกเขานั้นหนักแน่นมั่นคงมานานแล้ว มีเพียงความมุ่งมั่นตั้งใจอยู่กับแผ่นป้ายอนุสรณ์ ดังนั้นการที่คนทั้งสองมาถึงจึงไม่เป็นที่สังเกตแต่อย่างไร
คนทั้งคู่เดินอยู่ในสุสานอย่างผ่อนคลาย พูดคุยเรื่องประสบการณ์การดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ครั้งแรกของตนและการหยั่งรู้ที่ได้รับ ตอนนี้เมื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบกันก็ได้รับประโยชน์มากขึ้นไปอีก
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น ตะวันเหมันต์ก็มาถึงจุดสูงสุด
ไม่มีใครอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์และมองดูฐานแผ่นป้ายอนุสรณ์อย่างเงียบงัน
สวีโหย่วหรงเดินมาข้างกายและส่ายหน้าให้กับเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่น “อย่า”
……