ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 47 ร่วมบำเพ็ญ
อย่าทำอะไร เฉินฉางเซิงย่อมเข้าใจได้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า
แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นนั้นถูกทำลายโดยโจวตู๋ฟู ป้ายอนุสรณ์ที่ควรอยู่ตรงนี้ถูกเขาเอาไปและควรจะตั้งอยู่ในสวนโจว จึงหมายความว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะอยู่กับเขาและสวีโหย่วหรง เมื่อเขามองเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นเมื่อครู่ เขาก็มีความรู้สึกปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้เห็นสภาพอันสมบูรณ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์นี้
เขาอยากจะลองดูว่าลูกปัดหินเม็ดใดที่เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์นี้และติดตั้งมันใหม่อีกครั้ง…
สวีโหย่วหรงไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น เพราะนางรู้ว่าหากแผ่นป้ายอนุสรณ์กลับมายังสุสานดั้งเดิม ย่อมทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีและยอดฝีมือทั้งโลกจะรับรู้
“มีแผ่นป้ายอนุสรณ์ทั้งหมดสิบเอ็ดแผ่นป้ายที่ตั้งอยู่ภายนอก”
เขามองไปที่ปลายยอดของสุสานเทียนซูและกระซิบ “หากแผ่นป้ายส่วนหน้าใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นเป็นเส้นแบ่ง ไม่ได้หมายความว่ามีทั้งหมดสิบสองป้ายหรอกหรือ”
สุสานเทียนซูเป็นสถานที่ลึกลับอย่างมาก
ยอดของมันดูเหมือนใกล้มาก ทว่าห่างไกลราวกับเสียดฟ้า
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงรู้ว่าก่อนที่โจวตู๋ฟูจะนำแผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ไป ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์ส่วนหน้าในสุสานเทียนซู
สวีโหย่วหรงเสนอว่า “เราควรถามใครสักคนเรื่องนี้”
เฉินฉางเซิงแสดงความประหลาดใจและถามกลับ “ถามใคร”
“ข้าเคยถามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แต่นางไม่ยอมพูด”
สวีโหย่วหรงมองไปทางหนึ่งของสุสานเทียนซูและกล่าวต่อ “แต่ต้องมีคนอื่นอีกที่รู้”
เฉินฉางเซิงถาม “เราจะเริ่มเมื่อไรดี”
สวีโหย่วหรงม้วนชุดขึ้นและนั่งขัดสมาธิตรงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จากนั้นผายมือให้เขามานั่งทางขวาของนาง
นางใช้นิ้วเรียวยาวเขียนลงไปบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่อยู่ห่างไปหลายฉื่อ ขีดเขียนดั่งสายลม ตัวอักษรปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า
นางเขียนอย่างรวดเร็ว ไม่มีช่องว่างระหว่างการเขียน ชัดเจนยิ่งเฉกเช่นกระบี่ที่นางใช้ตัดผ่านพายุหิมะบนสะพานหน่ายเหอ
แม้แต่นักปราชญ์ที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะเข้าใจตัวอักษรที่นางเขียนเพียงหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น ไม่อาจจะเข้าใจทั้งหมดได้
คนเดียวที่สามารถเข้าใจสิ่งที่นางเขียนก็คือเฉินฉางเซิงที่นั่งอยู่บนหญ้าข้างกายนาง
เมื่อนางเขียนเสร็จก็ถึงคราวของเฉินฉางเซิง นิ้วเฉินฉางเซิงหนักแน่นมั่นคงยิ่ง ทุกเส้นสายราวกับปอกด้วยมีด สลักด้วยสิ่ว
เมื่อนิ้ววาดไปในอากาศ ก็นำพาสายลมตามไปด้วย เมื่อสายลมหายไป ก็ไม่เหลือสิ่งใดไว้เบื้องหลัง สำหรับแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือร่องรอยใดเอาไว้
แต่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงกลับจ้องมองไปที่แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นด้วยสมาธิแน่วแน่ เพราะพวกเขาสามารถจดจำตัวอักษรที่เพิ่งเขียนไปได้อย่างครบถ้วน
ลายเส้นเหล่านั้นมีทั้งตัวอักษรมีทั้งภาพ
แบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งร้อยแปดกระบวนท่า เมื่อรวมกันแล้วก็จะกลายเป็นวิชาดาบสองท่อน
ย้อนกลับไปในสวนโจว เมื่อภูเขาใหญ่บรรจุโลงหินภูเขาไฟเปิดออก พวกเขาได้ค้นพบผนังที่จารึกเพลงดาบที่แข็งแกร่งและโด่งดังที่สุดในโลก
วิชาดาบสองท่อนที่โจวตู๋ฟูเหลือทิ้งไว้นั้นลึกลับอย่างแท้จริง กระบวนท่าทั้งร้อยแปดดูเหมือนจะเป็นเคล็ดวิชาดาบที่เป็นเอกเทศ ทว่าในความจริงแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแต่ทำความเข้าใจทั้งร้อยแปดกระบวนท่าอย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวิชาดาบสองท่อนได้อย่างถ่องแท้สมบูรณ์
ในตอนนั้น หนานเค่อได้นำคลื่นอสูรมาโจมตีพวกเขา พวกเขาจึงไม่มีเวลา ได้เพียงจดจำมันเอาไว้แทน สวีโหย่วหรงจดจำจากตอนแรก และจดจำได้ทั้งหมดสามสิบเจ็ดกระบวนท่า เฉินฉางเซิงเริ่มจำจากตอนท้ายสุด และจำได้ทั้งหมดหกสิบเก้ากระบวนท่า จากนั้น พวกเขาก็มาพบกัน ไหล่ชนไหล่ ส่งยิ้มให้แก่กัน วิชาดาบสองท่อนหายไปจากผนัง!
สิ่งนี้หมายความว่า เพียงพวกเขาทั้งสองเท่านั้นที่จะทำให้วิชาดาบสองท่อนปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากออกจากสวนโจว ทั้งสองก็แยกจากกันคัดลอกวิชาดาบนี้ออกมา ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าวิธีที่โจวตู๋ฟูใช้ในการบันทึกวิชาดาบนั้นเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความอัศจรรย์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ด้วยระดับการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาในตอนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะนำเอาเส้นเหล่านั้นออกมาจากห้วงแห่งจิตและวาดลงบนกระดาษ
สิ่งนี้หมายความว่า เพียงตอนที่พวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกวิชาดาบสองท่อนได้
ย้อนกลับไปในสุสานโจว เฉินฉางเซิงเคยกล่าวไว้ว่า “มาฝึกร่วมกันเถอะ”
ในตอนนี้มันดูเหมือนว่าคำพูดนั้นเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำหาใดเปรียบ
หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็กลับมาอยู่ด้วยกันในที่สุด ได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาดาบนี้ร่วมกันในที่สุด
แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นในกระท่อมนั้นเคยถูกโจวตู๋ฟูใช้วิชาดาบสองท่อนนี้ตัดออก แม้จะผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี หรือแม้แต่หลายพันปี ก็ยังหลงเหลือเจตจำนงดาบเอาไว้
ตรงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นมีร่องรอยของวิชาดาบสองท่อนที่ลึกลับหาใดเปรียบปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพื่อที่จะศึกษาทำความเข้าใจและฝึกฝนแล้ว ไม่มีที่ใดเหมาะสมไปกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว
เหตุแท้จริงที่พวกเขาเข้ามาในสุสานเทียนซูแห่งนี้ ก็เพื่อสิ่งนี้เอง
เวลาล่วงผ่านไปช้าๆ ขณะตะวันเหมันต์เคลื่อนคล้อย
มีเพียงความเงียบสงบเบื้องหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น
เหนือแท่นสูง ช่องเปิดหลังคา และน้ำใสในคลอง ดวงตาหลายคู่จับจ้องมายังที่แห่งนี้
คู่หนุ่มสาวนั่งไหล่ชนกันอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเงียบงัน
ใครก็มองว่าพวกเขากำลังจู๋จี๋กัน
ใครจะไปคิดว่าพวกเขากำลังศึกษาเคล็ดวิชาดาบ บำเพ็ญเพียร
แน่นอนว่าการศึกษาเคล็ดวิชาดาบและบำเพ็ญเพียรก็เป็นวิธีที่พวกเขาจู๋จี๋กัน
……
……
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบแผ่น ความลับของสวนโจว การเผชิญหน้าของสองขุมกำลัง มีเหตุผลมากมายที่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะเป็นห่วงกังวลซึ่งกันและกัน
อย่าว่าแต่พวกเขารักใคร่กันเลย ในสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรื่องอย่างพ่อลูกห้ำหั่น สามีภรรยาแตกแยก ก็เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนที่เกี่ยวข้องต่างก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง มีความปราดเปรื่องเหนือกว่าเรื่องราวทางโลก อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังจมอยู่ปลักตมของการทำร้ายกันและกัน เพราะเหตุใดละหรือ ก็เพราะผลประโยชน์นั้นเหนือกว่าเรื่องทางโลกไปมากอย่างไร
โชคยังดีที่ แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบแผ่น ความลับของสวนโจว และวิชาอันลึกลับยิ่งใหญ่หาใดเปรียบนั้น ต้องฝึกร่วมกันเท่านั้น จึงมีสาเหตุมากมายที่ดูเหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาไม่อาจแยกจากกันได้ไปตลอดชั่วชีวิต
มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ร่วมกันฝึกวิชาดาบสองท่อน ศึกษาคัมภีร์แห่งกาลเวลา ครุ่นคิดเรื่องการทำลายค่ายกลที่หวังจื่อเช่อทิ้งไว้ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การนัดพบที่สุสานเทียซูจบลง ทั้งคู่ต่างก็มีความเข้าใจในคัมภีร์สวรรค์มากขึ้นและยังสามารถเข้าใจถึงวิชาดาบสองท่อนได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเข้าใจคัมภีร์กาลเวลาได้ทั้งหมด ทว่าก็มีเวลาที่ดีร่วมกัน
พวกเขาออกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น แต่ไม่ได้ออกจากสุสานเทียนซูโดยตรง ทว่าใช้เส้นทางอ้อมสุสานเทียนซูไปยังคลองที่อยู่ด้านใต้ของสุสาน
คลองตื้นน้ำใสไหลผ่านทุ่งหินก่อให้เกิดลวดลายอันซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ภูเขาด้านบนกลับเป็นเส้นทางที่เรียบง่ายอย่างที่สุด ทางเดินภูเขานั้นตรงอย่างยิ่ง ทอดยาวจากตีนเขาไปสู่ยอด ขั้นบันไดสร้างจากหินขาว นี่คือถนนเสินในตำนาน
เฉินฉางเซิงไม่แปลกตากับภาพนี้ ในวันแรกที่เขามายังสุสานเทียนซู ก็ได้มายังที่แห่งนี้
ในคืนวันนั้นเอง เขากับพวกก็ได้เห็นสวินเหมยตื่นจากฝันของสุสานเทียนซูและมายังที่แห่งนี้ ก้าวข้ามคลองพุ่งสู่ดวงดาวบนผิวน้ำไปจนถึงศาลา เขาหวังจะเดินบนถนนเสินเพื่อไปถึงยอดของสุสานเทียนซู จากนั้นสวินเหมยก็ล้มลงในอ้อมแขนของเขา
การตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินขึ้นถนนเสินของสวินเหมยทำให้เขา โก่วหานสือและพวกประทับใจจนยากจะลืม สำคัญยิ่งกว่าสมุดบันทึกที่เขาทิ้งไว้เสียอีก เมื่อเขามองดูถนนเสินที่ทอดตรงไปยังยอดเขาตรงปลายถนน มันก็ดูเหมือนยาวไกลจนถึงท้องฟ้า เฉินฉางเซิงคิดอย่างเงียบงัน จะมีวันใดที่เขาจะเดินจากจุดนี้ไปยังจุดนั้นเช่นกัน
หากต้องการจะเดินขึ้นถนนเสิน ก็จำต้องผ่านศาลาแห่งนี้ ใต้ศาลามีคนผู้หนึ่ง ร่างกายปกคลุมไว้ด้วยชุดเกราะหนักที่เก่าแก่ แม้แต่ใบหน้าและมือก็ยังปกคลุมไปด้วยโลหะขึ้นสนิม เขาดูเหมือนกับรูปปั้น แต่ไม่มีรัศมีแห่งความตายออกมาจากร่าง มีแต่ความรู้สึกเก่าแก่โบราณที่พบเจอเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วน
……