ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 49 ชีวิตที่ยากจะทนรับไหว...
“ข้าจะเรียนรู้ที่จะทำเหมือนกับว่าลูกปัดหินพวกนี้เป็นเครื่องประดับอันงดงาม มิใช่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์”
สวีโหย่วหรงมองเฉินฉางเซิงและกล่าวต่ออย่างสงบนิ่ง “ในตอนนี้ ข้ารู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว”
ไม่มีคนอาศัยอยู่ในกระท่อมสวินเหมยมาเป็นเวลานานแล้ว ที่แห่งนี้จึงมีฝุ่นจับหนา ทว่าเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ก็ยังอยู่ครบถ้วนดี
เฉินฉางเซิงเก็บกระหล่ำปลีสองหัวกับพริกไทยจำนวนหนึ่งมาจากสวน เคลือบเนื้อแห้งด้วยน้ำผึ้งแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ วางลงบนข้าวสวยกลายเป็นอาหารที่หอมกรุ่นน่ากินขึ้นมา
สวีโหย่วหรงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งแต่ก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยถึงการสอบใหญ่ครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงและการประชุมใหญ่จู่สือในปีหน้า รวมไปถึงเรื่องที่จะออกจากสุสานเทียนซูอย่างไร
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็นและป้องกันไม่ให้ใครเดาได้จนกลายเป็นข่าวลือไปทั่วนครจิงตูอีก พวกเขาจึงตกลงที่จะแยกกันออกไป สวีโหย่วหรงจะออกไปก่อน แล้วให้ฉินฉางเซิงจะอยู่ในสุสานเทียนซูต่อไปอีกหนึ่งวัน กระนั้นก็ตาม พวกเขาหารู้ไม่ว่า ยิ่งพยายามปกปิดยิ่งรังแต่จะก่อความกังขา ทำให้ยากที่จะปกปิดความสัมพันธ์ของพวกเขาจากคนอื่นได้
จะเรียกว่าเป็นการหลอกตัวเองก็คงได้
แต่กระนั้นก่อนที่สวีโหย่วหรงจะออกไป กระท่อมน้อยหลังนี้ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน
ผู้มาก็คือผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์จากสำนักต้นไหว จี้จิ้น บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าสวีโหย่วหรงเป็นใครหรืออาจจะคาดเดาบางอย่างได้ เมื่อเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่งของรั้ว สีหน้าจึงกระวนกระวายใบหน้าซีดขาว ความเกลียดชังไม่ยอมรับในดวงตาหายไปแทนที่ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนยากจะอธิบายได้
เฉินฉางเซิงเตรียมจะพูดออกไปแต่สวีโหย่วหรงส่งสัญญาณให้เขาเงียบปากไว้
นางเดินไปยังรั้วแขนเสื้อพลิ้วไหว มองจี้จิ้นและกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้าจะแจ้งให้ยกเลิกคุณสมบัติการเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของเจ้า และขับเจ้าออกจากสุสานเทียนซู”
แสงแดดลอดผ่านกิ่งเหมยและต้นส้มส่องต้องใบหน้านาง
ใบหน้าอันงดงามนี้แฝงไว้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งยิ่งใหญ่
เพราะในยามที่นางพูด นางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ผู้สูงส่ง
การจะเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูนั้นนับเป็นงานที่ยากมาก ต้องสาบานอย่างแข็งขันในพิธีสาบานเลือดอันบรรจุเอาไว้ด้วยพลังของวิถีสวรรค์
ครั้นสาบานด้วยการสาบานเลือดแล้วและกลายเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ก็จะได้รับสิ่งที่เป็นความฝันชั่วชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียร ได้อิสระในการศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้ทุกเวลา ในขณะเดียวกันก็เสียอิสรภาพที่จะไปจากสุสานเทียนซู ตลอดชั่วชีวิตทำได้เพียงศึกษาทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ห้ามออกจากสุสานเทียนซูแม้แต่เพียงก้าวเดียว
นับตั้งแต่นิกายหลวงตั้งกฎนี้ขึ้นมาจนถึงบัดนี้ ก็ผ่านมานานเป็นอสงไขยปี กฎนี้เคยถูกทำลายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นเป็นยามที่ซูหลีบุกเข้าสุสานเทียนซู ก่นด่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์สองคนที่มาจากสำนักกระบี่หลีซานชุดใหญ่ และใช้กำลังลากตัวพวกเขากลับเขาหลีซาน
ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์สองคนนั้นได้กลายเป็นสองผู้อาวุโสในโถงบทบัญญัติของหลีซานและกลายเป็นตัวการหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาภายในของหลีซาน
ความดึงดูดใจของสุสานเทียนซูที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรนั้นรุนแรงเกินไป เหมือนกับฝันที่ไม่มีทางจบลงได้
ยิ่งมีความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋ามากเท่าไร ยิ่งศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อยากจากไปมากขึ้นเท่านั้น
แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างสวินเหมย ก็ยังใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะตื่นจากฝันนี้ได้
การจะยกเลิกสาบานเลือดของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์และขับไล่เขาออกจากสุสานเทียนซูนั้นเป็นสิ่งที่ใต้เท้าสังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ทำได้ และผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ถูกผลสะท้อนกลับของคำสาบานเลือดก็จะเจ็บปวดอย่างที่สุด
สิ้นคำพูดของสวีโหย่วหรง เฉินฉางเซิงก็เห็นว่าหน้าของจี้จิ้นขาวซีด ร่างกายสั่นไม่หยุด เขาก็ระแวดระวังขึ้นมา
ในมุมมองของเขา การที่จี้จิ้นถูกหยามเกียรติเช่นนี้ ได้รับการลงโทษรุนแรงเช่นนี้ เขาต้องโกรธเคืองจนถึงขนาดบ้าคลั่งพอที่จะโจมตีสวีโหย่วหรงได้
แต่จี้จิ้นก็ไม่ได้ลงมือด้วยความโกรธ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สงบลงในที่สุด เขาคำนับให้สวีโหย่วหรงผ่านรั้วที่กั้นอยู่
เขาตบมือและยกมือขึ้นดูเหมือนให้ความเคารพอย่างสูง
สุ้มเสียงเขาสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอย่างมากแต่ก็ผิดหวังเช่นกัน
“ขอบคุณความเมตตาของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จี้จิ้นจะจำไว้มิรู้ลืม ข้ายินดีตอบแทนด้วยชีวิต”
เมื่อเขามองดูร่างของจี้จิ้นหายไปในป่า เฉินฉางเซิงก็รู้สึกสับสน
“ทำไม”
“เพราะเขาอยากจะออกไป”
“ข้าได้ยินมาว่า…ผลสะท้อนกลับของคำสาบานเลือดนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง”
“ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการไร้อิสระ”
“แต่พวกเขาไม่ได้มาเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ด้วยความสมัครใจหรอกหรือ”
“เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดของผู้คนก็มักจะเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน”
สวีโหย่วหรงเดินมาข้างกายเขา กล่าวว่า “สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย สุสานเทียนซูเป็นเสมือนฝันที่งดงามที่สุดแต่ก็ยังเป็นกรงขังที่ยาวนานที่สุดเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงจำได้ว่าเคยได้ยินคำพูดที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน
นางกล่าวต่อ “อันที่จริงข้าก็มีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว ข้าตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมอาจารย์อาที่สำนักและปรึกษากับราชวังหลีเพื่อยกเลิกกฎนี้เสีย”
เฉินฉางเซิงมองดูใบหน้าที่งามสง่าหาใดเปรียบของนางก็พบว่าช่างงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เขาพูดออกมาจากใจ “เจ้าเป็นคนดี”
จากนั้นก็กล่าวเสริม “หากพระราชวังหลีไม่ยอมรับคำขอของสถานศึกษาหนานซี ก็รอให้ข้าเป็นสังฆราช แล้วข้าจะยกเลิกกฎนี้”
สวีโหย่วหรงตอบอย่างแผ่วเบา “เจ้าก็เป็นคนดี”
……
……
วันต่อมา เฉินฉางเซิงออกจากสุสานเทียนซู กลับสู่สำนักฝึกหลวงภายใต้การคุ้มกันของมุขนายกหลายคน
เวลานี้ยังเช้าตรู่ แสงอรุณเพิ่งเริ่มให้ความอบอุ่นและท้องฟ้าฝั่งตะวันตกยังคงมืดมิดดุจราตรี เขาเพิ่งจะเตรียมตัวไปยังครัวที่ซ่อมเสร็จใหม่ๆ ข้างทะเลสาบเพื่อหาเซวียนหยวนผ้อและหาอะไรกิน แต่ก็ตระหนักว่ามีคนอยู่บนต้นไทรย้อยซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น เขาถามด้วยความประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง “มีเรื่องอะไร”
นอกเสียจากจะมีสถานการณ์ที่พิเศษและหาได้ยากยิ่งเกิดขึ้น ถังซานสือลิ่วย่อมไม่มีทางตื่นเช้าเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนกิ่งของต้นไทรย้อยใหญ่ทอดมองไกลออกไป เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืนหรือเพิ่งตื่นมา ถังซานสือลิ่วยังคงมองไกลออกไป ไม่หันกลับมามองเฉินฉางเซิง เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เจ็บปวดที่สุดในโลกใบนี้”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า
ถังซานสือลิ่วเย้ย “สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในโลกก็คือตอนที่พวกเราทำงานอย่างหนักจนเหนื่อยล้าราวกับหมูหมา บางคนกลับไปนัดเที่ยวกับสาวอย่างสบายอารมณ์ แล้วยังให้คนช่วยเก็บความลับให้ ดีมาก…ถึงขนาดไปแอบพบคนรักของเจ้าในสุสานเทียนซู”
หลังจากสำนักฝึกหลวงรับศิษย์ใหม่เข้ามา บททดสอบแรกของพวกศิษย์ก็คือการสอบใหญ่ ด้วยการสอบใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ถังซานสือลิ่วและซูม่ออวี๋จึงงานยุ่งอย่างที่สุด แม้แต่เจ๋อซิ่วก็ยังมาช่วยสอนพวกศิษย์อยู่เป็นระยะๆ ใช้เลือดเนื้อทุกหยาดหยดสอนให้พวกเขาได้รู้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
แต่กระนั้นเฉินฉางเซิงที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงกลับไม่สนใจในเรื่องนี้เลย
สาเหตุที่แท้จริงของความเจ็บปวดในใจถังซานสือลิ่วก็คือ ส่วนที่เขาต้องเก็บความลับ
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงได้รู้จักกันในสวนโจว มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ไปพบกันเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ทั่วทั้งนครจิงตูมีเขาคนเดียวที่รู้ความลับนี้
เมื่อเป็นความลับ หากวันใดความลับถูกเปิดเผย คนที่รู้ความลับก็จะรู้สึกโล่งอกอย่างมาก ดังเช่นเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงในช่วงหลายวันมานี้
แต่คนที่รู้ความลับนี้แต่ไม่อาจจะพูดออกไปให้คนอื่นรู้ ต้องทนกับความเจ็บปวดและแรงกดดันที่มากขึ้นไปอีก
มีข่าวลือแพร่ไปทั่วนครจิงตูและทุกคนก็รู้ว่าเฉินฉางเซิงกำลังหลงรักสวีโหย่วหรงแต่กลับถูกสวีโหย่วหรงปฏิเสธ ถังซานสือลิ่วอยากจะพ่นความลับนี้ใส่หน้าคนพวกนั้นยิ่งกว่าสิ่งใด อยากจะเปิดหอเฉิงหูและยืนบนหลังคาตะโกนบอกเรื่องนี้ออกไป ประกาศว่าสองคนนี้คบกันลับๆ ให้โลกรู้
ทว่าเขาก็ไม่อาจทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากและถึงขนาดโกรธอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงมองอีกฝ่ายและรู้สึกสับสน “ตอนนั้น เจ้าเป็นคนบอกเองว่าข้าต้องทนรับมันให้ได้”
ถังซานสือลิ่วมองกลับมาและกล่าว “แต่ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”