ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 5 แมลงปอไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือ
นี่เป็นห้องที่เรียบง่ายอย่างมากห้องหนึ่ง มีเพียงเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะตัวหนึ่ง ชั้นหนังสือสองแถว ตู้เสื้อผ้าใบหนึ่ง แล้วก็อ่างสามใบ
อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี สิ่งแรกที่สวีโหย่วหรงทำหลังจากที่เข้ามาในห้องก็คือเปิดตู้เสื้อผ้า
ในตู้เสื้อผ้าก็เรียบง่ายเป็นอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นเสื้อผ้าสีขาว ที่มากที่สุดก็เป็นชุดเครื่องแบบของสำนักฝึกหลวง นอกจากกลิ่นของสบู่ใบไม้ที่มีอยู่จางๆ แล้ว ก็ไม่มีกลิ่นใดอื่นอีก
สำหรับเรื่องนี้ นางก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ในตอนที่นางเห็นผ้าขนหนูกับผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ด้านล่างสุดของตู้เสื้อผ้ากว่าห้าสิบผืน ก็ยังนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
นางปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเดินไปที่หน้าชั้นหนังสือ นางหยิบหนังสือออกมาดูอย่างไม่ใส่ใจสองสามเล่ม ก็พบว่าล้วนเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์แนวลี้ลับซึ่งเป็นที่นิยมในจิงตูในช่วงหลายปีมานี้ ดังนั้นนางจึงนิ่งเงียบไปอีกช่วงหนึ่ง
ตั้งแต่เล็กอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนเชี่ยวชาญ ดังนั้นในตอนนี้ก็เลยไม่พยายามจะพัฒนาตัวเองแล้วหรือ
ทันใดนั้น นางก็มองเห็นของชิ้นหนึ่งที่อยู่บนชั้นหนังสือ สีหน้าจึงตะลึงงันไปเล็กน้อย
นั่นเป็นแมลงปอไม้ไผ่ตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผ่านไปนานมากแล้ว มันเริ่มซีดเหลืองแล้ว และดูเหมือนว่าจะเคยถูกน้ำมาก่อน ที่ขอบก็ใกล้จะเปื่อยยุ่ยแล้ว…นางรู้สึกว่าค่อนข้างจะคุ้นตา จึงคิดอยู่นานถึงนึกขึ้นมาได้ นี่เป็นสิ่งที่ตอนยังเล็ก นางได้แนบมันไปให้เขากับจดหมาย
เมื่อนึกถึงเรื่องในตอนเด็กเหล่านั้น นางก็มึนงงไปบ้าง มองดูแมลงปอไม้ไผ่ที่ผ่านไปหลายปีตัวนี้ ก็ยังถูกเขาเก็บเอาไว้…เอาเถอะ ถึงแม้จะเก็บเอาไว้ไม่ดีนัก แต่อย่างไรเสียก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ ที่แท้ก็เป็นคนที่ระลึกถึงวันเก่าๆ หรือ นางค่อนข้างจะพอใจ แต่ที่ตามมาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ถึงได้รู้สึกโกรธขึ้นมาอีก หลังจากนั้นนางถึงได้สำนึกตัวขึ้นมา เหตุผลที่โกรธก็เป็นตัวนางเอง เช่นนั้นสรุปแล้วควรจะโกรธหรือว่าดีใจกันเล่า นางคิดถึงปัญหาข้อนี้ แต่กลับไม่รู้ตัวว่าบนใบหน้าของตนมีรอยยิ้มค้างอยู่ตลอด
นางนำแมลงปอไม้ไผ่วางกลับไปบนชั้นหนังสืออย่างระมัดระวัง แล้วเดินไปที่เตียง แน่นอนว่านางไม่ได้นั่งลงไป เพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น
ผ้าห่มถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย และสะอาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูเตียงหรือบนปลอกหมอนก็ล้วนมองไม่เห็นส่วนไหนที่ไม่สะอาด แม้แต่เส้นผมก็ยังไม่มีเลยสักเส้น ไม่สิ…นั่นคืออะไร
…ในมุมหนึ่งของปลอกหมอนมีเส้นผมเส้นหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ยากอยู่
สวีโหย่วหรงนิ่งเงียบไป
เส้นผมเส้นนั้นทั้งยาวและละเอียดเล็กเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกถึงไอเย็นได้เล็กน้อย
ครู่หนึ่งให้หลัง นางถึงได้พบว่าหน้าต่างของห้องนั้นเปิดอยู่
คืนนี้มีหิมะตก เกล็ดหิมะได้โปรยปรายเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ทำให้โต๊ะหนังสือชื้นไปมุมหนึ่ง
นางค่อนข้างจะไม่เข้าใจ คนอย่างเฉินฉางเซิงที่ทั้งสุขุมหนักแน่นอีกทั้งยังมีโรครักความสะอาด ตอนที่ออกจากห้องจะไม่ปิดหน้าต่างได้อย่างไร
ต่อให้จะไม่ใส่ใจกับหิมะ แต่ถ้าหากที่ถูกพัดเข้ามาเป็นเศษฝุ่นกับใบไม้ร่วงเล่าจะทำอย่างไร
หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดบานนี้ หรือว่าจะเปิดทิ้งเอาไว้ให้ใคร
สวีโหย่วหรงพลันสติขึ้นมาอย่างกะทันหัน
การคาดเดาเช่นนี้ การอนุมานที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ ไม่ได้ใช้ในการต่อสู้กับการบำเพ็ญเพียร แต่กลับใช้กับการขุดคุ้ยความจริงของเส้นผมเส้นนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตนกลายมาเป็นคนเช่นนี้แล้ว
นางส่ายหัว แล้วหันกายเดินมาที่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดประตูตู้ออก เตรียมที่จะหยิบผ้าขนหนูออกมา เพื่อจะเช็ดหิมะที่ตกลงบนโต๊ะหนังสือเหล่านั้นให้สะอาด
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในนาทีถัดมา กลับทำให้นางเข้าใจว่า การคาดเดากับความไม่พอใจเหล่านั้น ไม่ใช่ตนที่เปลี่ยนเป็นคนใช้ไม่ได้ แต่เจ้าคนผู้นั้นต่างหากที่เดิมทีก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้อย่างมาก
เกล็ดหิมะปลิวไสว กลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายเข้ามา สตรีนางหนึ่งพลันลอยข้ามหน้าต่าง แล้วร่อนลงภายในห้อง
ในเวลาเดียวกันที่เข้ามาในหูของสวีโหย่วหรง ก็ยังมีคำพูดอีกประโยคหนึ่ง
“อย่าโทษว่าพี่สาวไม่เคยพูดกับเจ้า คู่หมั้นของเจ้าผู้นั้นไม่พอใจเจ้าอย่างมาก เจ้าต้องระวังสักหน่อย นิสัยของนางถ้าได้ระเบิดออกมา หึๆ พูดขึ้นมาแล้ว เจ้าอย่าได้พูดกับนางเป็นอันขาด ถึงเรื่องที่ข้ามักจะมานอนที่นี่ ไม่เช่นนั้น…”
ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
เพราะสตรีนางนั้นพบว่าผู้ที่อยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าไม่ใช่เฉินฉางเซิง
สวีโหย่วหรงปิดประตูตู้ลง แล้วมองไปทางสตรีนางนั้น นางรู้สึกว่าอาจารย์พูดถูก บนโลกใบนี้เรื่องที่ห้ามไม่ได้ที่สุดก็คือคำพูด เจ้าพูดอะไรไว้ เรื่องนั้นก็มักจะเกิดขึ้นไปตามที่เจ้าพูด
ยกตัวอย่างเช่นก่อนจะออกจากจวนขุนพลเทพตงอวี้ ซวงเอ๋อร์ถามนางว่านางไปทำอะไร นางไม่ได้พูดความจริง นางพูดว่าจะไปหาม่ออวี่ ดังนั้น ในตอนนี้…นางก็เลยได้เจอกับม่ออวี่
เพียงแต่ไม่ใช่ในพระราชวัง และก็ไม่ใช่สวนส้มจี๊ดที่นางพักอาศัยอยู่ แต่เป็นห้องบนชั้นสามในสำนักฝึกหลวง
……
……
ม่ออวี่อ้าปากค้าง ครู่หนึ่งแล้วก็ยังพูดไม่ออก หลังจากนั้น นางก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะแหบแห้ง “สามารถทำเป็นไม่เห็นข้าได้หรือไม่”
สวีโหย่วหรงมองนางนิ่งๆ แล้วพูดขึ้น “ข้าเห็นเจ้าไปแล้ว”
ม่ออวี่ใช้มือขวาเท้าหน้าผาก แล้วใช้มือซ้ายชี้ไปที่นางพลางพูดขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งรีบถาม ให้ข้าทำความเข้าใจกับสถานการณ์ก่อน”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นนิ่งๆ “เจ้าค่อยๆ คิดดูก่อน”
ม่ออวี่ในตอนนี้ค่อนข้างจะไร้คำพูดจริงๆ ในสมองก็ค่อนข้างจะสับสน นางคิดจะอาศัยเรื่องที่สวีโหย่วหรงกลับจิงตูมาหยอกล้อเฉินฉางเซิงสักรอบ ในเวลาเดียวกันก็คิดจะมาเตือนเขาสักหน่อย แต่ใครจะไปคิด ว่าจะเจอกับตัวหลักของเรื่องในห้องของเฉินฉางเซิง อีกทั้งยังถูกนางได้ยินประโยคนั้นเข้าอีก
“อันดับแรก พวกเราควรจะมีความเข้าใจที่ตรงกันก่อน นั่นก็คือเจ้าต้องใจเย็นแล้วฟังที่ข้าอธิบาย”
ม่ออวี่วางมือลงมา มองนางอย่างเคร่งขรึมจริงจังแล้วพูดขึ้น “นิสัยเสียของเจ้าที่ข้าพูดถือว่าข้าว่าร้ายเจ้าลับหลัง แต่เรื่องนอนเรื่องนี้เจ้าจะต้องอย่าได้เข้าใจผิด”
สวีโหย่วหรงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ว่าต่อสิ”
ม่ออวี่เห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางโมโหแล้วจริงๆ ในใจก็ถอนหายใจไปครั้งหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “นอนก็เป็นเพียงการนอนเฉยๆ ไม่ใช่การนอนแบบที่เจ้าคิดนั่น”
“อ๋อ เช่นนั้นเป็นการนอนแบบไหนล่ะ” รอยยิ้มของสวีโหย่วหรงยิ่งเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมา
ม่ออวี่พูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะจนใจ “อย่างไรเสียเจ้าก็อย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาด”
สวีโหย่วหรงมองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เห็นเพียงแค่นางสวมชุดนอนสีแดง เปลือยเท้าทั้งสอง เรือนผมสีดำปรกบ่า ดูมีความชื้นอยู่บ้าง แล้วยังมีเกล็ดหิมะอยู่นิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะเพิ่งอาบน้ำมา
“อืม เชิญเจ้าบอกข้า ว่าอย่างไรถึงจะไม่เข้าใจผิด”
ม่ออวี่มองตามสายตาของนางมาที่ร่างของตน ในใจก็เต้นแรงขึ้นมา หลังจากครั้งก่อนที่เฉินฉางเซิงพูดไว้ นางก็อาบน้ำก่อนที่จะมาทุกครั้งจริงๆ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคยชิน คืนนี้เองก็มาเช่นนี้อย่างเป็นธรรมชาติ…เช่นนั้น ต่อให้กระโดดลงไปในมหาสมุทรแห่งดวงดาวก็ยังล้างมลทินไม่ออกแล้วจริงๆ
ก็อย่างที่เรียกว่ากระปุกที่ตกแตกไปแล้วก็มักจะส่งเสียงข่มขวัญไปก่อน ม่ออวี่ในตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าแก้ตัวไปก็ไร้ผล นางกลับมีเหตุผลที่จะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำขึ้นมา นางมองไปที่สวีโหย่วหรงแล้วพูดขึ้น “เรื่องราวนี้ยาวมาก ข้าคิดว่าเจ้าก็คงไม่มีความสนใจที่จะฟัง เจ้าล่ะ ข้ากลับยากจะฟังเรื่องราวของเจ้าอย่างมาก กลับจิงตูมาวันแรกไม่อยู่ที่บ้านตัวเอง เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
สวีโหย่วหรงเดินไปที่หน้าต่าง ไม่ได้พูดและก็ไม่ได้มองนาง แสงจากนอกกำแพงสำนักสาดส่องไปยังหิมะ สะท้อนกลับมาถึงใบหน้าของนาง
ม่ออวี่มองใบหน้าอันงดงามของนางที่แม้แต่ตัวเองก็ยังอิจฉาอยู่บ้าง ดวงตาของนางสั่นไหวแล้วถามขึ้นต่อ “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เกิดหวั่นไหวแล้วหรือ”
สวีโหย่วหรงมองนางแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้น “ตอนนั้นที่เจ้าพูดในจดหมายถึงเรื่องของเขากับมังกรดำ…เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“จริงแท้แน่นอน ในตอนนั้นเขากับนางก็กอดอยู่ด้วยกัน” ม่ออวี่เห็นว่าสามารถเบี่ยงประเด็นไปได้ ไหนเลยจะพลาดโอกาสนี้ นางแทบจะใช้ชื่อของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาสาบาน เพียงแต่นางนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก “แต่ก็เหมือนเมื่อครู่ที่เจ้าเห็นข้าเข้ามา ได้ยินที่ข้าพูดประโยคนั้น ที่ตาเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง”
สวีโหย่วหรงไม่ได้พูด ราวกับกำลังมีความคิด
ม่ออวี่นึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะถามเรื่องนี้ไปทำไม เจ้าคงไม่ได้มีความรู้สึกกับเขาจริงๆ หรอกนะ มิน่าเล่าวันแรกที่เจ้ากลับจิงตูก็มาหาเขา!”
“ข้ากับเขามีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ หลังจากกลับจิงตูแล้วมาหาเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา”
สวีโหย่วหรงสงบอย่างมาก มีเพียงมือทั้งสองข้างซึ่งไพล่อยู่ด้านหลังที่กำแน่น แสดงให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วนางกังวลเป็นอย่างมาก
ม่ออวี่คิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างสงบถึงเพียงนี้ จึงพูดขึ้นอย่างตกตะลึง “ในตอนแรกที่เจ้าเขียนมาในจดหมายไม่ได้พูดเช่นนี้ เพื่อทำลายสัญญาหมั้นของพวกเจ้า ข้านั้นจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเลย เจ้าจะต้องคิดให้ชัดเจน เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ที่ข้าล่วงเกินไปคือเจ้าสำนักฝึกหลวง ใต้เท้าสังฆราชในอนาคต ถ้าหากในตอนนี้เจ้าบอกกับข้าว่าเจ้าเตรียมจะอยู่กับเขาแล้วจริงๆ ข้าจะไม่ยอมจบกับเจ้า!”
สวีโหย่วหรงมองเรือนผมสีดำที่เปียกชื้นของนางกับชุดนอน แล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยจริงๆ แต่เขาน่าจะไม่รู้สึกว่านี่เป็นการล่วงเกินหรือเปล่า”
ม่ออวี่ไม่อาจจะแก้ตัว จึงพูดขึ้นอย่างอับอายและเคียดแค้น “คนอื่นไม่รู้ เจ้ากับข้าล้วนรู้ดี ใต้เท้าสังฆราชได้ยกเลิกสัญญาหมั้นระหว่างพวกเจ้าไปแล้ว ต่อให้ข้ากับเขาจะเป็นอย่างไร เจ้ามีสถานะอะไรมาวุ่นวาย”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
ม่ออวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่”
สวีโหย่วหรงก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ก็ยังไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
มีเพียงคนที่คุ้นเคยกับนางที่สุด ถึงจะรู้ว่าในตอนนี้แม้ภายนอกของนางจะดูสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ม่ออวี่มองนางแล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าก็อัดอั้นจนตายไปเถอะ”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นอย่างสงบ “เขาไปที่ไหนแล้ว”
ม่ออวี่เลิกคิ้วแล้วพูดขึ้น “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไปจริงๆ นะ”
ก็เป็นในตอนนี้เอง เสียงดนตรีที่นอกกำแพงสำนักพลันดังขึ้นมา ม่ออวี่จึงมองไปทางนั้น ต่อให้เป็นเกล็ดหิมะที่ตกหนักในยามราตรีก็ไม่อาจจะบดบังสายตาของนาไปได้ นางเห็นเพียงแสงโคมส่องสว่างที่หอสุราทางด้านนั้น นางรำกำลังร่ายรำอยู่กลางโถง
“เจ้าอย่าโกรธไป ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ตรงนั้น” นางมองสวีโหย่วหรงแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น
สวีโหย่วหรงมองไปทางด้านนั้น ก็อยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสุราจริงๆ คนผู้นั้นกำลังดื่มสุรา ข้างกายยังมีเด็กหนุ่มอยู่อีกสามสี่คน แล้วก็ยังมีหญิงสาวมากมายเดินไปเดินมา ราวกับผีเสื้อที่อยู่กลางมวลบุปผาไม่ปาน
ช่างทำอะไรโดยไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ
นางมองหอสุราอย่างสงบ คิดอย่างเงียบๆ ก็เป็นตอนนี้เอง นางเห็นนางรำผู้หนึ่งที่กำลังร่ายรำอยู่กลางโถงเหมือนจะยืนไม่มั่นคง จึงสะดุดล้มลงสู่อ้อมกอดของคนผู้นั้น…
ไม่รู้เพราะอะไร นางพบว่าตนเองยากจะรักษาความสงบของเส้นทางแห่งจิต หน้าอกค่อยๆ ขยับขึ้นลงน้อยๆ
……
……
“สวีโหย่วหรงกลับมาก็ให้กลับมา เจ้าจะกลัวอะไร แล้วเจ้าจะกลัดกลุ้มอะไรอีก อย่าได้มีอุปสรรคในใจ ควรจะสู้ก็สู้เสีย”
ในหอสุรา ถังซานสือลิ่วถือกาสุรา โดยรับมาจากนางรำผู้นั้น เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เดิมทีชายหญิงก็เท่าเทียมกัน ขอเพียงแค่เจ้าอย่ามีความคิดที่ว่าไม่สามารถสู้กับสตรีซึ่งเป็นความคิดคร่ำครึเช่นนี้ การต่อสู้นี้ก็จะต้องสู้”
ตอนที่เขาพูด นางรำผู้นั้นที่อยู่ในอ้อมอกของเขากำลังเงยหน้ามองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความยกย่องและความสุขสม
สีหน้าของนางรำที่อยู่ข้างเฉินฉางเซิงผู้นั้นกลับมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่เพียงเพราะเฉินฉางเซิงนั่งอย่างมีกฎเกณฑ์เกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่นิ้วมือก็ไม่ได้สัมผัส และก็เป็นเพราะทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้ดีว่า คู่หมั้นของเจ้าสำนักหนุ่มของสำนักฝึกหลวงผู้นี้เป็นใคร นางเป็นเพียงหญิงนางโลม จึงไม่อยากจะไปล่วงเกินจวนขุนพลเทพตงอวี้กับหงส์สวรรค์ที่สูงศักดิ์ผู้นั้น
“ข้าเตรียมที่จะแพ้ เจ้ารู้สึกว่าได้หรือไม่”
อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็พูดขึ้น
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบไป